สวัสดีครับ
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1137 - 1138
ม็อคค่าปาท่องโก๋ในตอนนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักพูดคุยกับผู้กำกับหนังไทยท่านหนึ่ง ที่มีตำแหน่งเป็นถึงรักษาการนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย มีภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นเฉพาะตัว และผลงานที่ผ่านมานั้น น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง...
ไล่ตั้งแต่ “ตายโหง” (ตอนศพแทงค์น้ำ) Insect in The Backyard ซึ่งเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่โดนสั่งห้ามฉาย หลังจากที่พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์พุทธศักราช 2551 มีผลบังคับใช้ “ฮักนะสารคาม” It Gets Better: ไม่ได้ขอให้มารัก
และผลงานล่าสุดที่กำลังจะเข้าโปรแกรมฉายคือ “เธอ เขา เรา ผี” ขอเชิญพบกับเธอ “กอล์ฟ: ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์”
Mr. Coffee: “เธอ เขา เรา ผี” มีที่มาอย่างไรครับ
กอล์ฟ: ได้เคยคุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ไว้ว่าอยากทำหนังโรแมนติกคอมิดี้แนวผู้ชาย-ผู้หญิง เพราะคนจะติดภาพว่าเป็นผู้กำกับหนังกะเทย และทำหนังที่โดนแบนด้วย พอมาทำ “ไม่ได้ขอให้มารัก” ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ก็เป็นหนังกะเทยอีก ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราทำ “ตายโหง” ภาคแรก ทำ “ฮักนะสารคาม” ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่หนังกะเทย ก็เลยอยากทำหนังทั่วไปบ้าง เลยเอาเรื่องมาเสนอเสี่ยเจียง ว่าชีวิตในกองถ่ายมันน่าสนใจมากนะ เพราะคนมันเยอะ คือเอาชีวิตตัวเองช่วงที่เป็นช่างแต่งหน้าแล้วแอบชอบทีมอาร์ตมาเล่า
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากเล่าคือ เวลาอยู่คนเดียวเรามักจะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่สัมผัสได้ เพราะตัวเราก็มี Sense ทางด้านนี้ เลยมาคิดว่าตอนนี้เราเป็นคน ตายไปจะกลายเป็นผีหรือเปล่า วิญญาณยังอยู่หรือเปล่า เลยมาตั้งคำถามว่าแม้ต่อไปเราไม่มีร่างกาย แต่ความรู้สึกของเรายังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็เลยกลายเป็นพล็อตที่ว่า เมื่อเรามีแฟนแต่แฟนไม่ได้เรื่อง กับมีผีที่มีหัวใจ และยังอยู่ใกล้ๆ แล้วมาตกหลุมรักคน อย่างไหนดีกว่ากัน
Mr. Coffee: ประมาณว่าผีดีกว่าคน
กอล์ฟ: ใช่ หนังเป็นเชิงสัญลักษณ์ ตรงที่ว่า เวลาคนเรามีแฟน มักจะมี Spec มีผู้ชายในอุดมคติว่าผู้ชายแบบนี้โคตรดีสำหรับเรา ถ้าเจอเรารักตาย แต่คนที่เราคบอยู่ทำไมมันเฮงซวย ทำไมเราไม่มีแฟนดีๆ แบบคนนั้นคนนี้ เกิดข้อเปรียบเทียบว่าทำไมคนที่มีอยู่จริง กับคนในอุดมคติ มันไม่เหมือนกัน ก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ถ้าต้องเลือกผู้ชายเลวๆ ที่มันจับต้องได้ กับผู้ชายดีๆ ที่มันไม่มีตัวตน จะเลือกอะไร
Mr. Coffee: แนวของหนังออกไปทิศไหน
กอล์ฟ: หนังรักของเรามันไม่ใช่รักแบบเพ้อฝัน ถึงแม้มันจะเป็นหนังผี แต่มันก็ไม่ได้เพ้อฝัน หนังรักของเราค่อนข้างจริง ไม่ว่าจะเป็น Love Scene หรือว่าคำพูดคำจาของคนที่อยู่ด้วยกัน ก็จะพูดกันไม่สุภาพเหมือนในละคร ค่อนข้างหยาบเพราะมาจากชีวิตคนในสังคมจริงๆ มีเลือดมีเนื้อ ส่วนที่เป็นผี ก็ต้องมีความน่ากลัวแหละ แต่ก็ไม่ใช่แบบตุ้งแช่ทุก 5 นาที เนื่องจากมันมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เลยจะออกมาเป็น โรแมนติกคอมมิดี้ที่มีผีในเรื่องด้วย
Mr. Coffee: ดูเหมือนว่าหนังน่าจะดูง่าย
กอล์ฟ: ดูง่ายสุดเท่าที่เคยทำมาแล้วค่ะ (หัวเราะ)
Mr. Coffee: เหตุผลที่เลือกนักแสดง
กอล์ฟ: “แม็ค” (สตีเว่น ฟูเรอร์ รับบท “เปิ้ล”) คงจะไม่เคยเห็นแน่ๆ เพราะเล่นหนังที่โดนแบน ส่วน “นิว” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต เล่นเป็น “หรั่ง”) ในบท ต้องเป็นคนหล่อ เป็นทีมอาร์ตก็จริง แต่เป็นคนหล่อ ทุกคนในกองถ่ายก็อยากได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ชายที่มี Sex Appeal สูง ทั้งผู้หญิง เกย์ กะเทย ทุกคนอยากได้หมด และนิสัยของตัวละครนี้ ทุกคนจะรัก หน้าตาดี ปฏิเสธคนไม่เป็น ก็เลยคุยกับเสี่ยเจียง และดูแล้ว “น้องนิว” น่าจะเหมาะสม และก็ได้ดู “นิว” ใน “จันดาราปฐมบท” ด้วย แถมเรียนการแสดงกับ “หม่อมน้อย” มาแล้ว ก็เลยมั่นใจในฝีมือการแสดง แต่แปลกที่ “นิว” เคยเล่นแต่หนังและละครพีเรียด เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เอามาเปลี่ยนแนว เพราะที่จริงเขาก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง และตัว “นิว” เองก็อยากเล่นโรแมนติกคอมิดี้อยู่แล้ว ส่วน “แม็กกี้” (อาภา ภาวิไล รับบท “ส้ม”) ตอนแรกยังไม่ได้เลือกมา เพราะตอนได้เห็นครั้งแรกใน “คน-โลก-จิต” ก็รู้สึกว่าเขาแก่เกินไป ก็เลยไม่ได้สนใจ ถึงแม้จะเล่นดีที่สุดในเรื่องแล้ว แต่เสี่ยเจียงก็บอกว่าลองดู “แม็กกี้” ใน “สูบคู่กู้โลก” เล่นเป็นสก๊อยต์ ซึ่งเปลี่ยนลุคได้แรงมาก ก็เลยสนใจ เพราะพอน้องไม่แต่งหน้าเข้ม ก็ยังดูใส ดูเด็ก บทในเรื่องนี้ของ “แม็กกี้” ที่จริงก็ยังแก่กว่าอายุจริง แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าจะเล่นได้หรือเปล่าเพราะบทนี้ต้องแบกทั้งเรื่อง แต่พอได้ทำ Workshop และซ้อมทุกๆ ฉากที่มีในหนัง ฉากจูบก็ต้องซ้อมๆ เพราะต้องไม่ให้เขินตอนถ่ายจริง ซ้อมจนเล่นได้ดีมาก
Mr. Coffee: แคสต์ไหม
กอล์ฟ: ไม่มีการแคสติ้งเลยค่ะ เพราะอย่าง “แม็ค” ก็เคยเล่นหนังกับเรามาก่อน พอพาไปให้เสี่ยเจียงดู เสี่ยบอกว่าใช้ได้ แต่ก็ช่วยส่งไปเรียนการแสดงกับ “หม่อมน้อย” ให้ด้วย จริงๆ “แม็กกี้” ก็ได้เรียนด้วย ส่วน “นิว” เรียนกับ “หม่อมน้อย” อยู่แล้ว ก็เลยได้เป็นลูกศิษย์ของ “หม่อมน้อย” กันทั้ง 3 คน
Mr. Coffee: กอล์ฟเชื่อในความรักของคนกับผีแค่ไหน
กอล์ฟ: ส่วนตัวเชื่อว่าผีมีจริงค่ะ อายุขนาดนี้มีคนใกล้ตัวผ่านการตายไปเยอะ และเราก็รู้สึกว่าเค้ายังอยู่ตลอด อย่างเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกัน ตายไปก็ยังรู้สึกว่ามันยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน หรือพ่อเราตายไปนานแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่า เขายังอยู่ และถามว่าเชื่อในความรักของคนกับผีหรือไม่ ส่วนตัวเราก็เชื่อ เพราะความรักยังอยู่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่าล่าสุดในหนัง Timeline จดหมาย ความทรงจำ อันนี้ก็คือความรักระหว่างผีกับคน ตอนที่ดู The Letter ภาคแรกก็รู้สึกว่า พระเอกเห็นแก่ตัว ตายแล้วยังไม่ให้เมียมีคนอื่นเลย แต่มันก็แสดงถึงความรักของคนกับผี ถึงแม้คนจะจากไป แต่ความฝันของเขาก็ยังอยู่ และเราก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของคนที่เรารักถึงแม้จะจากไปแล้ว
Mr. Coffee: ดูเหมือนว่าตัวหนังจะมีการเลื่อนการฉายมาหลายครั้งมาก เกิดปัญหาจากอะไร
กอล์ฟ: ใช่ จริงๆ หนังเสร็จนานมากแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับการวางโปรแกรมของทางค่ายสหมงคลฟิล์ม เพราะมันก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง รวมถึงความเหมาะสม ไม่เกี่ยวกับตัวหนัง เป็นเหตุผลทางการตลาด
Mr. Coffee: ใน “ตายโหงตายเฮี้ยน” ทำไมถึงเปลี่ยนบทบาทจากผู้กำกับไปเป็นนักแสดง
กอล์ฟ: จริงๆ แล้ว พี่ “พจน์ อานนท์” ติดต่อให้ไปกำกับนั่นแหละค่ะ แต่คุยกันไม่ลงตัว เพราะเป็นคนกลัวผี แล้วพี่พจน์จะให้ไปทำตอน “ซ่องผี” ตอนแรกก็จะทำ แต่พอพี่พจน์ให้ไปถ่ายที่จริง กลายเป็นไปบอกเขาว่า กลัว ไม่ทำ แล้วพอดีมันมาชนกับช่วงที่หนังและละครของเราก็ถ่ายอยู่ด้วย ก็เลยให้ “ไมค์” (อชิร นกเทศ) ซึ่งก็เป็นเพื่อนสนิทกัน กำกับแทน “ไมค์” ก็บอกว่าต้องมาช่วยนะ คือถึงไม่มากำกับ ก็ต้องมาช่วยเล่น ก็บอกไปว่าเล่นนิดเดียวนะ แต่ไปๆ มาๆ มันไม่นิดเดียว มีกองถ่ายกี่วัน อยู่ครบทุกวันเลย (หัวเราะ)
Mr. Coffee: ใน It Gets Better จริงๆ แล้ว “พี่ต่าย เพ็ญพักตร์” ควรเข้าชิงรางวัลในฐานะอะไร นักแสดงนำชายหรือหญิง
กอล์ฟ: ที่จริงในบทเป็นบทนำชาย แต่เอาผู้หญิงมาเล่น พวกกองประกวดเขาก็จะดูเพศสภาพของนักแสดงเป็นหลัก เหมือนอย่างในหนังเรื่อง Transamerica ที่ Felicity Huffman เล่น แสนอชื่อเป็นดารานำหญิงทั้งๆ ที่เล่นเป็นผู้ชาย แต่ก็มีรางวัลอย่าง “คมชัดลึก อวอร์ด” ที่เสนอให้ “เบล” (นันทิตา ฆัมภิรานนท์) ได้เข้าชิงรางวัลสมทบหญิงทั้งๆ ที่ “เบล” เล่นเป็นกะเทย แล้วแต่กองประกวดค่ะ
Mr. Coffee: ใน It Gets Better ทำไมถึงเลือก “พี่ต่าย” มาเล่นแทนที่จะแคสต์กะเทยจริงๆ
กอล์ฟ: พูดจริงๆ เลยนะ ก็เพราะว่ากะเทยในบ้านเรา ไม่มีใครที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ บทนี้ทุกคนจะนึกถึง “พี่ม้า อรนภา” คือ “พี่ม้า” เป็นคนมีชื่อเสียง แต่ “พี่ม้า” ไม่ใช่นักแสดง ดังนั้นการที่จะเอา Layer ทุกชั้นของ “พี่ม้า” ออกแล้วมาเป็นนักแสดง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ “พี่ต่าย” เป็นนักแสดง และเราเชื่อว่ากะเทยทุกคนมีพี่ต่ายเป็น Idol เพราะสวยเหมือนทำศัลยกรรมมา หุ่นดี และเสียงใหญ่เหมือนผู้ชาย เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนเดียวที่เราคิดจะให้เล่นบทนี้ตั้งแต่เขียนบทคือ “พี่ต่าย” และ “พี่ต่าย” เป็นนักแสดงที่คิดมาละเอียด ทำการบ้านมาดีมาก ฉากที่นั่งถอนหนวด “พี่ต่าย” คิดมาให้เองเลย แถมพกแหนบกับกระจกเล็กๆ มาให้ด้วย (ยิ้ม)
Mr. Coffee: ระหว่างกำกับหนังกับกำกับละครแตกต่างกันอย่างไร
กอล์ฟ: คือกอล์ฟจับที่หัวใจของมัน การเล่าเรื่องทั้งหมดมันเหมือนกันหมด ต่างกันที่สื่อและการเล่าเรื่อง คือจะแยกว่าเล่าเป็นละคร เล่าเป็นหนัง หรือเล่าเป็นละครเวที มันก็คนละแบบ จริงๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องเล่า ขึ้นกับว่าเล่าผ่านอะไร หนังคือการเล่าเรื่องด้วยภาพ โดยมีเสียงมาประกอบให้สมบูรณ์ แต่ละครโทรทัศน์มันเกิดมาจากละครวิทยุคือการเล่าเรื่องด้วยเสียงแล้วนำภาพมาเติมให้สมบูรณ์ ถ้าจับจุดนี้ถูก ก็กำกับได้ทุกอย่าง ซึ่งก็จะมีคนสงสัยว่าขายวิญญาณหรือเปล่า ทำไมทำทุกอย่างไปหมด ก็เพราะเราจับหัวใจของแต่ละอย่างได้ ก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ลำบากใจ สนุกกับมัน เพราะอยู่ที่ว่าเรากำลังเล่าเรื่องนี้ผ่านอะไร แต่ที่จริงก็มีหนังบางประเภทที่เล่าเรื่องด้วยเสียง จะเป็นหนังที่พูดเยอะๆ มันก็เป็นสไตล์ของแต่ละคนค่ะ
Mr. Coffee: ชอบหน้าที่อะไรในวงการหนังมากที่สุด
กอล์ฟ: เป็นคนชอบเล่าเรื่อง เล่าผ่านอะไรก็ได้ ก็คงชอบการเป็นผู้กำกับ เพราะสามารถเล่าเรื่องได้ มันเป็นตัวเรา อยากฝากให้ดูผลงานล่าสุด “คาราบาว” The Series ตอน “บัวลอย” เป็นความพยายามที่จะเล่าเรื่องที่มีเนื้อหาที่เป็นตัวเราจริงๆ อยากให้ลองดูกัน เป็นงานทีวีที่กอล์ฟภูมิใจ
****สนใจลองดู “คาราบาว” The Series ตอน “บัวลอย” ได้ ที่นี่ครับ ****
Mr. Coffee: งานอื่นๆ
กอล์ฟ: ที่จริงกำกับละครเวทีเป็นงานแรกมาตั้งแต่ ม.5 และตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็กำกับมาตลอด ตอนสอนที่วิทยาลัยก็สอนทำละครเวที แต่เป็นงานที่ต้องใช้เวลามากและทุ่มเทกับมัน ส่วนโฆษณาไม่มีใครกล้าจ้าง สงสัยกลัว Character (หัวเราะ) ที่จริงก็อยากทำ ส่วน MV เคยมีบ้าง แต่ศิลปินไม่ดัง ล่าสุดก็เพิ่งกำกับ MV “เธอ เขา เรา ผี” อนาคตอยากกลับไปทำละครเวทีมากที่สุด เพราะมันสดมาก กอล์ฟเคยทำละครเวทีแนวสืบสวน ค่อนข้างเครียด จนจบก็ไม่เฉลย คนดูออกไปถกกันใหญ่ ซึ่งมันสนุกมาก อยากทำอีก
(มีต่อในความเห็นถัดไปครับ)
ม็อคค่าปาท่องโก๋ : “จับหัวใจให้อยู่ ก็ทำได้ทุกอย่าง” ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์
ขออนุญาต นำคอลัมน์ "ม็อกค่าปาท่องโก๋" ที่ผมเขียนประจำในเนชั่นสุดสัปดาห์นั้น มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน เพื่อขอคำแนะนำ คำติชม เพื่อปรับปรุงงานเขียนต่อไปในอนาคตเรื่อยๆครับ ขอบคุณครับ
เนชั่นสุดสัปดาห์ เล่มที่ 1137 - 1138
ม็อคค่าปาท่องโก๋ในตอนนี้ จะพาทุกท่านไปรู้จักพูดคุยกับผู้กำกับหนังไทยท่านหนึ่ง ที่มีตำแหน่งเป็นถึงรักษาการนายกสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย มีภาพลักษณ์ภายนอกที่โดดเด่นเฉพาะตัว และผลงานที่ผ่านมานั้น น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง...
ไล่ตั้งแต่ “ตายโหง” (ตอนศพแทงค์น้ำ) Insect in The Backyard ซึ่งเป็นหนังไทยเรื่องแรกที่โดนสั่งห้ามฉาย หลังจากที่พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดีทัศน์พุทธศักราช 2551 มีผลบังคับใช้ “ฮักนะสารคาม” It Gets Better: ไม่ได้ขอให้มารัก
และผลงานล่าสุดที่กำลังจะเข้าโปรแกรมฉายคือ “เธอ เขา เรา ผี” ขอเชิญพบกับเธอ “กอล์ฟ: ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์”
Mr. Coffee: “เธอ เขา เรา ผี” มีที่มาอย่างไรครับ
กอล์ฟ: ได้เคยคุยกับเสี่ยเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ) ไว้ว่าอยากทำหนังโรแมนติกคอมิดี้แนวผู้ชาย-ผู้หญิง เพราะคนจะติดภาพว่าเป็นผู้กำกับหนังกะเทย และทำหนังที่โดนแบนด้วย พอมาทำ “ไม่ได้ขอให้มารัก” ค่อนข้างประสบความสำเร็จ ก็เป็นหนังกะเทยอีก ทั้งๆ ที่จริงแล้วเราทำ “ตายโหง” ภาคแรก ทำ “ฮักนะสารคาม” ซึ่งที่จริงก็ไม่ใช่หนังกะเทย ก็เลยอยากทำหนังทั่วไปบ้าง เลยเอาเรื่องมาเสนอเสี่ยเจียง ว่าชีวิตในกองถ่ายมันน่าสนใจมากนะ เพราะคนมันเยอะ คือเอาชีวิตตัวเองช่วงที่เป็นช่างแต่งหน้าแล้วแอบชอบทีมอาร์ตมาเล่า
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากเล่าคือ เวลาอยู่คนเดียวเรามักจะรู้สึกเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่สัมผัสได้ เพราะตัวเราก็มี Sense ทางด้านนี้ เลยมาคิดว่าตอนนี้เราเป็นคน ตายไปจะกลายเป็นผีหรือเปล่า วิญญาณยังอยู่หรือเปล่า เลยมาตั้งคำถามว่าแม้ต่อไปเราไม่มีร่างกาย แต่ความรู้สึกของเรายังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ก็เลยกลายเป็นพล็อตที่ว่า เมื่อเรามีแฟนแต่แฟนไม่ได้เรื่อง กับมีผีที่มีหัวใจ และยังอยู่ใกล้ๆ แล้วมาตกหลุมรักคน อย่างไหนดีกว่ากัน
Mr. Coffee: ประมาณว่าผีดีกว่าคน
กอล์ฟ: ใช่ หนังเป็นเชิงสัญลักษณ์ ตรงที่ว่า เวลาคนเรามีแฟน มักจะมี Spec มีผู้ชายในอุดมคติว่าผู้ชายแบบนี้โคตรดีสำหรับเรา ถ้าเจอเรารักตาย แต่คนที่เราคบอยู่ทำไมมันเฮงซวย ทำไมเราไม่มีแฟนดีๆ แบบคนนั้นคนนี้ เกิดข้อเปรียบเทียบว่าทำไมคนที่มีอยู่จริง กับคนในอุดมคติ มันไม่เหมือนกัน ก็เลยเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาว่า ถ้าต้องเลือกผู้ชายเลวๆ ที่มันจับต้องได้ กับผู้ชายดีๆ ที่มันไม่มีตัวตน จะเลือกอะไร
Mr. Coffee: แนวของหนังออกไปทิศไหน
กอล์ฟ: หนังรักของเรามันไม่ใช่รักแบบเพ้อฝัน ถึงแม้มันจะเป็นหนังผี แต่มันก็ไม่ได้เพ้อฝัน หนังรักของเราค่อนข้างจริง ไม่ว่าจะเป็น Love Scene หรือว่าคำพูดคำจาของคนที่อยู่ด้วยกัน ก็จะพูดกันไม่สุภาพเหมือนในละคร ค่อนข้างหยาบเพราะมาจากชีวิตคนในสังคมจริงๆ มีเลือดมีเนื้อ ส่วนที่เป็นผี ก็ต้องมีความน่ากลัวแหละ แต่ก็ไม่ใช่แบบตุ้งแช่ทุก 5 นาที เนื่องจากมันมีความรักเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็เลยจะออกมาเป็น โรแมนติกคอมมิดี้ที่มีผีในเรื่องด้วย
Mr. Coffee: ดูเหมือนว่าหนังน่าจะดูง่าย
กอล์ฟ: ดูง่ายสุดเท่าที่เคยทำมาแล้วค่ะ (หัวเราะ)
Mr. Coffee: เหตุผลที่เลือกนักแสดง
กอล์ฟ: “แม็ค” (สตีเว่น ฟูเรอร์ รับบท “เปิ้ล”) คงจะไม่เคยเห็นแน่ๆ เพราะเล่นหนังที่โดนแบน ส่วน “นิว” (ชัยพล จูเลี่ยน พูพาร์ต เล่นเป็น “หรั่ง”) ในบท ต้องเป็นคนหล่อ เป็นทีมอาร์ตก็จริง แต่เป็นคนหล่อ ทุกคนในกองถ่ายก็อยากได้ เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ชายที่มี Sex Appeal สูง ทั้งผู้หญิง เกย์ กะเทย ทุกคนอยากได้หมด และนิสัยของตัวละครนี้ ทุกคนจะรัก หน้าตาดี ปฏิเสธคนไม่เป็น ก็เลยคุยกับเสี่ยเจียง และดูแล้ว “น้องนิว” น่าจะเหมาะสม และก็ได้ดู “นิว” ใน “จันดาราปฐมบท” ด้วย แถมเรียนการแสดงกับ “หม่อมน้อย” มาแล้ว ก็เลยมั่นใจในฝีมือการแสดง แต่แปลกที่ “นิว” เคยเล่นแต่หนังและละครพีเรียด เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่เอามาเปลี่ยนแนว เพราะที่จริงเขาก็เป็นวัยรุ่นธรรมดาคนหนึ่ง และตัว “นิว” เองก็อยากเล่นโรแมนติกคอมิดี้อยู่แล้ว ส่วน “แม็กกี้” (อาภา ภาวิไล รับบท “ส้ม”) ตอนแรกยังไม่ได้เลือกมา เพราะตอนได้เห็นครั้งแรกใน “คน-โลก-จิต” ก็รู้สึกว่าเขาแก่เกินไป ก็เลยไม่ได้สนใจ ถึงแม้จะเล่นดีที่สุดในเรื่องแล้ว แต่เสี่ยเจียงก็บอกว่าลองดู “แม็กกี้” ใน “สูบคู่กู้โลก” เล่นเป็นสก๊อยต์ ซึ่งเปลี่ยนลุคได้แรงมาก ก็เลยสนใจ เพราะพอน้องไม่แต่งหน้าเข้ม ก็ยังดูใส ดูเด็ก บทในเรื่องนี้ของ “แม็กกี้” ที่จริงก็ยังแก่กว่าอายุจริง แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง ตอนแรกก็กังวลเหมือนกันว่าจะเล่นได้หรือเปล่าเพราะบทนี้ต้องแบกทั้งเรื่อง แต่พอได้ทำ Workshop และซ้อมทุกๆ ฉากที่มีในหนัง ฉากจูบก็ต้องซ้อมๆ เพราะต้องไม่ให้เขินตอนถ่ายจริง ซ้อมจนเล่นได้ดีมาก
Mr. Coffee: แคสต์ไหม
กอล์ฟ: ไม่มีการแคสติ้งเลยค่ะ เพราะอย่าง “แม็ค” ก็เคยเล่นหนังกับเรามาก่อน พอพาไปให้เสี่ยเจียงดู เสี่ยบอกว่าใช้ได้ แต่ก็ช่วยส่งไปเรียนการแสดงกับ “หม่อมน้อย” ให้ด้วย จริงๆ “แม็กกี้” ก็ได้เรียนด้วย ส่วน “นิว” เรียนกับ “หม่อมน้อย” อยู่แล้ว ก็เลยได้เป็นลูกศิษย์ของ “หม่อมน้อย” กันทั้ง 3 คน
Mr. Coffee: กอล์ฟเชื่อในความรักของคนกับผีแค่ไหน
กอล์ฟ: ส่วนตัวเชื่อว่าผีมีจริงค่ะ อายุขนาดนี้มีคนใกล้ตัวผ่านการตายไปเยอะ และเราก็รู้สึกว่าเค้ายังอยู่ตลอด อย่างเพื่อนสนิทที่อยู่ด้วยกัน ตายไปก็ยังรู้สึกว่ามันยังอยู่กับเรา ไม่ได้หายไปไหน หรือพ่อเราตายไปนานแล้ว เราก็ยังรู้สึกว่า เขายังอยู่ และถามว่าเชื่อในความรักของคนกับผีหรือไม่ ส่วนตัวเราก็เชื่อ เพราะความรักยังอยู่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกัน อย่าล่าสุดในหนัง Timeline จดหมาย ความทรงจำ อันนี้ก็คือความรักระหว่างผีกับคน ตอนที่ดู The Letter ภาคแรกก็รู้สึกว่า พระเอกเห็นแก่ตัว ตายแล้วยังไม่ให้เมียมีคนอื่นเลย แต่มันก็แสดงถึงความรักของคนกับผี ถึงแม้คนจะจากไป แต่ความฝันของเขาก็ยังอยู่ และเราก็รู้สึกได้ถึงตัวตนของคนที่เรารักถึงแม้จะจากไปแล้ว
Mr. Coffee: ดูเหมือนว่าตัวหนังจะมีการเลื่อนการฉายมาหลายครั้งมาก เกิดปัญหาจากอะไร
กอล์ฟ: ใช่ จริงๆ หนังเสร็จนานมากแล้ว แต่ขึ้นอยู่กับการวางโปรแกรมของทางค่ายสหมงคลฟิล์ม เพราะมันก็เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่ง รวมถึงความเหมาะสม ไม่เกี่ยวกับตัวหนัง เป็นเหตุผลทางการตลาด
Mr. Coffee: ใน “ตายโหงตายเฮี้ยน” ทำไมถึงเปลี่ยนบทบาทจากผู้กำกับไปเป็นนักแสดง
กอล์ฟ: จริงๆ แล้ว พี่ “พจน์ อานนท์” ติดต่อให้ไปกำกับนั่นแหละค่ะ แต่คุยกันไม่ลงตัว เพราะเป็นคนกลัวผี แล้วพี่พจน์จะให้ไปทำตอน “ซ่องผี” ตอนแรกก็จะทำ แต่พอพี่พจน์ให้ไปถ่ายที่จริง กลายเป็นไปบอกเขาว่า กลัว ไม่ทำ แล้วพอดีมันมาชนกับช่วงที่หนังและละครของเราก็ถ่ายอยู่ด้วย ก็เลยให้ “ไมค์” (อชิร นกเทศ) ซึ่งก็เป็นเพื่อนสนิทกัน กำกับแทน “ไมค์” ก็บอกว่าต้องมาช่วยนะ คือถึงไม่มากำกับ ก็ต้องมาช่วยเล่น ก็บอกไปว่าเล่นนิดเดียวนะ แต่ไปๆ มาๆ มันไม่นิดเดียว มีกองถ่ายกี่วัน อยู่ครบทุกวันเลย (หัวเราะ)
Mr. Coffee: ใน It Gets Better จริงๆ แล้ว “พี่ต่าย เพ็ญพักตร์” ควรเข้าชิงรางวัลในฐานะอะไร นักแสดงนำชายหรือหญิง
กอล์ฟ: ที่จริงในบทเป็นบทนำชาย แต่เอาผู้หญิงมาเล่น พวกกองประกวดเขาก็จะดูเพศสภาพของนักแสดงเป็นหลัก เหมือนอย่างในหนังเรื่อง Transamerica ที่ Felicity Huffman เล่น แสนอชื่อเป็นดารานำหญิงทั้งๆ ที่เล่นเป็นผู้ชาย แต่ก็มีรางวัลอย่าง “คมชัดลึก อวอร์ด” ที่เสนอให้ “เบล” (นันทิตา ฆัมภิรานนท์) ได้เข้าชิงรางวัลสมทบหญิงทั้งๆ ที่ “เบล” เล่นเป็นกะเทย แล้วแต่กองประกวดค่ะ
Mr. Coffee: ใน It Gets Better ทำไมถึงเลือก “พี่ต่าย” มาเล่นแทนที่จะแคสต์กะเทยจริงๆ
กอล์ฟ: พูดจริงๆ เลยนะ ก็เพราะว่ากะเทยในบ้านเรา ไม่มีใครที่เป็นนักแสดงมืออาชีพ บทนี้ทุกคนจะนึกถึง “พี่ม้า อรนภา” คือ “พี่ม้า” เป็นคนมีชื่อเสียง แต่ “พี่ม้า” ไม่ใช่นักแสดง ดังนั้นการที่จะเอา Layer ทุกชั้นของ “พี่ม้า” ออกแล้วมาเป็นนักแสดง มันเป็นไปไม่ได้ แต่ “พี่ต่าย” เป็นนักแสดง และเราเชื่อว่ากะเทยทุกคนมีพี่ต่ายเป็น Idol เพราะสวยเหมือนทำศัลยกรรมมา หุ่นดี และเสียงใหญ่เหมือนผู้ชาย เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนเดียวที่เราคิดจะให้เล่นบทนี้ตั้งแต่เขียนบทคือ “พี่ต่าย” และ “พี่ต่าย” เป็นนักแสดงที่คิดมาละเอียด ทำการบ้านมาดีมาก ฉากที่นั่งถอนหนวด “พี่ต่าย” คิดมาให้เองเลย แถมพกแหนบกับกระจกเล็กๆ มาให้ด้วย (ยิ้ม)
Mr. Coffee: ระหว่างกำกับหนังกับกำกับละครแตกต่างกันอย่างไร
กอล์ฟ: คือกอล์ฟจับที่หัวใจของมัน การเล่าเรื่องทั้งหมดมันเหมือนกันหมด ต่างกันที่สื่อและการเล่าเรื่อง คือจะแยกว่าเล่าเป็นละคร เล่าเป็นหนัง หรือเล่าเป็นละครเวที มันก็คนละแบบ จริงๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องเล่า ขึ้นกับว่าเล่าผ่านอะไร หนังคือการเล่าเรื่องด้วยภาพ โดยมีเสียงมาประกอบให้สมบูรณ์ แต่ละครโทรทัศน์มันเกิดมาจากละครวิทยุคือการเล่าเรื่องด้วยเสียงแล้วนำภาพมาเติมให้สมบูรณ์ ถ้าจับจุดนี้ถูก ก็กำกับได้ทุกอย่าง ซึ่งก็จะมีคนสงสัยว่าขายวิญญาณหรือเปล่า ทำไมทำทุกอย่างไปหมด ก็เพราะเราจับหัวใจของแต่ละอย่างได้ ก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่ลำบากใจ สนุกกับมัน เพราะอยู่ที่ว่าเรากำลังเล่าเรื่องนี้ผ่านอะไร แต่ที่จริงก็มีหนังบางประเภทที่เล่าเรื่องด้วยเสียง จะเป็นหนังที่พูดเยอะๆ มันก็เป็นสไตล์ของแต่ละคนค่ะ
Mr. Coffee: ชอบหน้าที่อะไรในวงการหนังมากที่สุด
กอล์ฟ: เป็นคนชอบเล่าเรื่อง เล่าผ่านอะไรก็ได้ ก็คงชอบการเป็นผู้กำกับ เพราะสามารถเล่าเรื่องได้ มันเป็นตัวเรา อยากฝากให้ดูผลงานล่าสุด “คาราบาว” The Series ตอน “บัวลอย” เป็นความพยายามที่จะเล่าเรื่องที่มีเนื้อหาที่เป็นตัวเราจริงๆ อยากให้ลองดูกัน เป็นงานทีวีที่กอล์ฟภูมิใจ
****สนใจลองดู “คาราบาว” The Series ตอน “บัวลอย” ได้ ที่นี่ครับ ****
Mr. Coffee: งานอื่นๆ
กอล์ฟ: ที่จริงกำกับละครเวทีเป็นงานแรกมาตั้งแต่ ม.5 และตอนอยู่มหาวิทยาลัยก็กำกับมาตลอด ตอนสอนที่วิทยาลัยก็สอนทำละครเวที แต่เป็นงานที่ต้องใช้เวลามากและทุ่มเทกับมัน ส่วนโฆษณาไม่มีใครกล้าจ้าง สงสัยกลัว Character (หัวเราะ) ที่จริงก็อยากทำ ส่วน MV เคยมีบ้าง แต่ศิลปินไม่ดัง ล่าสุดก็เพิ่งกำกับ MV “เธอ เขา เรา ผี” อนาคตอยากกลับไปทำละครเวทีมากที่สุด เพราะมันสดมาก กอล์ฟเคยทำละครเวทีแนวสืบสวน ค่อนข้างเครียด จนจบก็ไม่เฉลย คนดูออกไปถกกันใหญ่ ซึ่งมันสนุกมาก อยากทำอีก
(มีต่อในความเห็นถัดไปครับ)