ทุกสิ่งมันเป็นของมันเช่นนั้นเอง

เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้วกฎสูงสุดนี้จะบอกกับเราว่า เมื่อมีเหตุจึงมีผล, เมื่อเหตุเกิดขึ้น ผลจึงเกิดขึ้น, เมื่อไม่มีเหตุก็จะไม่มีผล, เมื่อเหตุดับหายไป ผลก็จะดับหายไป, อีกทั้งผล ก็ยังมาเป็นเหตุให้เกิดผลใหม่ขึ้นมาได้อีก คือเรียกว่า เป็นเหตุ-เป็นผล, เป็นเหตุ-เป็นผล, เป็นเหตุ-เป็นผล ฯ ผลักดันและเกี่ยวโยงกันต่อๆไปเหมือนห่วงโซ่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ยังไม่เท่านั้น แม้เพียงเหตุๆเดียวก็ยังจะทำให้เกิดผลได้หลายผล และผลเพียงผลเดียวก็ยังมาจากหลายๆเหตุ (ที่เรียกว่าปัจจัย) อีกด้วย

นี่ก็แสดงถึงว่า สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาในโลกและในจักรวาลนี้ ล้วนมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม เพราะสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นมา จะมีการปรุงแต่งและผลักดันของเหตุและผลมากมายอย่างยุ่งเหยิงและสลับซับซ้อน จนเราไม่สามารถไปล่วงรู้ถึงสายโซ่ของเหตุและผลโดยละเอียดทั้งหมดของทุกสิ่งได้ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ที่เราจะต้องไปล่วงรู้ถึงเหตุและผลทั้งหมด ที่ปรุงแต่งผลักดันกันจนเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นมา เพียงเรารู้ว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมานี้ ล้วนเกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยทั้งสิ้น” เท่านี้ก็พอแล้ว เพราะเพียงเท่านี้ก็ทำให้เราได้ล่วงรู้ถึงความจริงพื้นฐานของสิ่งทั้งหลาย ที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาแล้วว่ามันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง.

สรุปได้ว่า เมื่อเราเข้าใจถึงเหตุและผลที่ปรุงแต่งผลักดันกันต่อๆไป จนเกิดสิ่งทั้งหลายขึ้นมาตามกฎสูงสุดของธรรมชาติแล้ว เราก็จะร้องอ๋อว่ามันเป็นของมัน “เช่นนั้นเอง” เพราะเกิดความเข้าใจอย่างแจ้งชัดว่า “เพราะมันมีเหตุอย่างนี้ๆ มันจึงเกิดผลอย่างนี้ๆขึ้นมาตามธรรมชาติ” แล้วความสงสัยว่าทำไมสิ่งนั้นจึงเป็นอย่างนี้? หรือทำไมคนนั้นจึงเป็นอย่างนี้? หรือทำไมชีวิตของเราหรือของคนอื่นๆจึงเป็นอย่างนี้? หรือมันมีอะไรมาทำหรือบังคับหรือควบคุมให้สิ่งทั้งหลายเป็นไป? เป็นต้น ก็จะหมดสิ้นไป แล้วก็จะทำให้เราเข้าใจชีวิต เข้าใจโลกอย่างถูกต้องตามที่มันเป็นอยู่จริง อันทำให้เราไม่เป็นคนแบกโลกเอาไว้ให้หนักเหนื่อยใจด้วยความโง่เขลา เพราะไม่รู้ความจริงของธรรมชาติที่ควรรู้นี้ และยิ้มได้แม้จะเกิดสิ่งเลวร้ายที่สุดขึ้นมาในชีวิตก็ตาม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่