สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
มันคือ ค่าความเสี่ยงจริงๆ นะครับ
ผมทำงานเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน มาเกือบทั้งชีวิต
Foreign exchange rate risk คือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ทุกแห่งที่มีธุรกรรมเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศ ย่อมต้องมีแน่นอน และธนาคาร จะ settle ตลอด
จขกท เข้าใจ ถูกแล้วครับ ทางแบงค์มีทั้งขาที่ได้กำไร และขาที่ขาดทุน
... สมมุติว่า
แบงค์ต้องจ่ายเงินร้านค้า 100 USD ใช้เงิน 3100 บาท ... mark to market ณ สิ้นวัน
วันต่อมา
แบงค์เก็บเงินลูกค้า 100 USD แต่เรทที่ visa ลงมาเหลือ 30.8 THBUSD ... หมายความว่า เก็บเงินจากลูกค้าได้แค่ 3080 บาท
... หากไม่มีความเสี่ยง แล้วธนาคาร ต้อง mark loss ที่เกิดขึ้นจากอะไร ??
เพราะธุรกรรมที่เกี่ยวกับ fx มีทั้งสองขา แน่นอนว่ามีทั้งกำไรและขาดทุน
bank เจ้าของบัตร อาจใช้ส่วนที่ชาร์จตรงนี้ มา cover ส่วนที่จะต้องขาดทุนได้
แล้วฝั่งที่ กำไรล่ะ ทำไมไม่จ่ายคืน ... เอาตามตรง ที่ธนาคารเขียนไว้ คือ ค่าความเสี่ยงไม่เกิน 2.0% /2.5%
แสดงว่า ธนาคารอาจจะเก็บ 1.0% ก็ทำได้ (แต่คงไม่ค่อยมี เพราะทุกธุรกิจต้องแสวงหากำไร)
ส่วนตัวผมคิดว่า ธนาคารจะคืนส่วนที่กำไรก็ได้ แต่ไม่ทำเอง เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
และลูกค้า ก็เซ็นยินยอมตอนเปิดบัตรไปแล้วว่า ... ยอมรับเงื่อนไข
หากมองจากฝั่งแบงค์ แบงค์ไม่ใช่ได้กำไรเสมอครับ
ผู้บริโภคเอง ควรศึกษาข้อมูลให้ดี และเลือกใช้บัตรเครดิตอย่างเหมาะสมมากกว่า
ผมสมมุติง่ายๆ
เวลาไปจ่าย counter service มีเสียค่าบริการ ... เพราะเราสะดวก
เวลาไปใช้จ่ายในสกุลเงินอื่น ถ้าเราถูกชาร์จค่าความเสี่ยง ... เราก็ได้รับความสะดวกเช่นเดียวกัน
ผมก็พร้อมที่จะจ่าย หากว่าทำให้ผมสะดวกขึ้น ... แค่นั้นแหละครับ
ผมทำงานเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน มาเกือบทั้งชีวิต
Foreign exchange rate risk คือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ทุกแห่งที่มีธุรกรรมเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศ ย่อมต้องมีแน่นอน และธนาคาร จะ settle ตลอด
จขกท เข้าใจ ถูกแล้วครับ ทางแบงค์มีทั้งขาที่ได้กำไร และขาที่ขาดทุน
... สมมุติว่า
แบงค์ต้องจ่ายเงินร้านค้า 100 USD ใช้เงิน 3100 บาท ... mark to market ณ สิ้นวัน
วันต่อมา
แบงค์เก็บเงินลูกค้า 100 USD แต่เรทที่ visa ลงมาเหลือ 30.8 THBUSD ... หมายความว่า เก็บเงินจากลูกค้าได้แค่ 3080 บาท
... หากไม่มีความเสี่ยง แล้วธนาคาร ต้อง mark loss ที่เกิดขึ้นจากอะไร ??
เพราะธุรกรรมที่เกี่ยวกับ fx มีทั้งสองขา แน่นอนว่ามีทั้งกำไรและขาดทุน
bank เจ้าของบัตร อาจใช้ส่วนที่ชาร์จตรงนี้ มา cover ส่วนที่จะต้องขาดทุนได้
แล้วฝั่งที่ กำไรล่ะ ทำไมไม่จ่ายคืน ... เอาตามตรง ที่ธนาคารเขียนไว้ คือ ค่าความเสี่ยงไม่เกิน 2.0% /2.5%
แสดงว่า ธนาคารอาจจะเก็บ 1.0% ก็ทำได้ (แต่คงไม่ค่อยมี เพราะทุกธุรกิจต้องแสวงหากำไร)
ส่วนตัวผมคิดว่า ธนาคารจะคืนส่วนที่กำไรก็ได้ แต่ไม่ทำเอง เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
และลูกค้า ก็เซ็นยินยอมตอนเปิดบัตรไปแล้วว่า ... ยอมรับเงื่อนไข
หากมองจากฝั่งแบงค์ แบงค์ไม่ใช่ได้กำไรเสมอครับ
ผู้บริโภคเอง ควรศึกษาข้อมูลให้ดี และเลือกใช้บัตรเครดิตอย่างเหมาะสมมากกว่า
ผมสมมุติง่ายๆ
เวลาไปจ่าย counter service มีเสียค่าบริการ ... เพราะเราสะดวก
เวลาไปใช้จ่ายในสกุลเงินอื่น ถ้าเราถูกชาร์จค่าความเสี่ยง ... เราก็ได้รับความสะดวกเช่นเดียวกัน
ผมก็พร้อมที่จะจ่าย หากว่าทำให้ผมสะดวกขึ้น ... แค่นั้นแหละครับ
{ ` j a n g s z ii * } ถูกใจ, Entersoul ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1229380 ถูกใจ, สมาชิกหมายเลข 1646044 ถูกใจ, Godgate ทึ่ง, Orangery Lemon ถูกใจ, Naraktisud ถูกใจ, wonder7th ถูกใจ, Asorapit ถูกใจ, neongray ถูกใจรวมถึงอีก 14 คน ร่วมแสดงความรู้สึก
แสดงความคิดเห็น
ทำไมแบ้งค์ต้องชาร์จค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
ส่วนยอดที่เรียกเก็บลูกค้าจะเข้าหลังจากนั้น ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะไม่เท่ากัน
คำถาม
1) แล้วทำไมแบ้งค์ ไม่ใช้อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่แบ้งค์จ่ายเงินไป เรียกเก็บลูกค้าเลยล่ะ?
2) กรณีที่มี ข้อจำกัดทางเทคนิคบางอย่าง ทำให้ เรียกเก็บด้วยอัตราแลกเปลี่ยน ณ วันที่ชำระค่าสินค้าไม่ได้
ทำไมแบ้งค์ถึงไม่ใช้วิธี คิดเงินส่วนต่างเพิ่มในกรณีที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้น และคืนเงินส่วนต่างในกรณีที่เงินบาทอ่อนลง
เพราะ จากกระทู้นี้ http://ppantip.com/topic/31807135 แสดงว่าแบ้งค์ทำได้
แต่แบ้งค์กลับ เลือกชาร์จ 2.5% เลย ซึ่งถ้าค่าเงินบาทอ่อนลง แบ้งค์ก็กำไร 2 ต่อ ทั้งจากค่าเงิน และค่าความเสี่ยง
และถ้าค่าเงินบาทแข็งขึ้น ก็มีโอกาสน้อยมาก ที่จะแข็งขึ้น 2.5% ในระยะเวลาแค่ 4 - 5 วัน
ดูไม่ค่อยเป็นธรรมกับลูกค้าเลย