US BOX OFFICE March 14-16, 2014
(แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
หนังเข้าใหม่ สร้างจากวิดีโอเกมดัง Need for Speed คงต้องการความเร็วมากกว่านี้ เพื่อจะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 บนอันดับหนังทำเงิน เมื่อเปิดตัวได้เป็นรองหนังส่อแววไม่ดีอย่าง Mr. Peabody & Sherman ที่ฟื้นมาเข้าอันดับ 1 ได้สำเร็จ พาค่ายดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน ชนะดรีมเวิร์คส์ไปได้
กับการฉายสัปดาห์ที่สอง Mr. Peabody รายได้ตกแค่ 32% ทำเงินอีก 21.8 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเจ๋งกว่าหนังเดือนมีนาปีที่แล้ว The Croods ที่ทำไว้ 39% และดีกว่า 34% ของ How to Train Your Dragon หนังอีกเรื่องของดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน เล็กน้อบ ถึงตอนนี้หนัง Mr. Peabody กวาดเงินไปทั้งหมด 63.8 ล้านเหรียญ กับเสียงปากต่อปากที่ดี และไม่มีคู่ปรับตรงๆ หนังน่าจะถึง 100 ล้านแน่ๆ เมื่อจบโปรแกรม
300: Rise of an Empire รายได้ตก 57% ได้เงินมาอีก 19.2 ล้านเหรียญ โดยภาคแรกนั้นรายได้สัปดาห์ที่สองตก 54% ตอนนี้หนังฟันรายได้ไปแล้ว 78.4 ล้านเหรียญเฉพาะในอเมริกา
เปิดตัวด้วย 3,118 โรง Need for Speed ทำได้แค่อันดับ 3 กับรายได้ 17.8 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าน่าผิดหวัง เพราะต่ำกว่าหนังชุด Fast & Furious ที่รายได้เปิดตัวแย่สุดอย่าง Tokyo Drift ที่ทำไว้ 24 ล้านเหรียญด้วยซ้ำ แต่ก็พอๆ กับหนังที่สร้างจากวิดีโอ เกมเรื่องอื่นๆ อย่าง Resident Evil และ Max Payne ที่เปิดตัว 17.7 และ 17.6 ล้านเหรียญตามลำดับ ส่งให้หนังกลายเป็นงานเรื่องล่าสุดที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกม ที่เปิดตัวได้ไม่ดีนัก การที่เนื้อหาเกี่ยวกับรถซิ่งไม่ใช่สาเหตุที่หนังไม่เข้าเป้า และการตลาดของดิสนีย์ก็เลี่ยงอยู่แล้ว สาเหตุที่ทำให้หนังแป้ก น่าจะเป็นเพราะการดูเหมือนหนังเลียนแบบ ที่คอหนังมองว่าทำตาม Fast & Furious บวกกับตัวเรื่องที่ไม่น่าสนใจ คนดู 70% ของ Need for Speed เป็นผู้ชาย และอายุค่อนข้างมากเมื่อ 55% เกิน25 ปี สำหรับรายได้จากโรงสามมิติคิดเป็น 43% ของรายได้ทั้งหมด หนังได้คะแนน B+ จากซีนีม่สกอร์ ซึ่งบอกว่า ปากต่อปากจะไปแบบงั้นๆ ทำให้หนังไม่น่าไปได้ยาว และคงปิดรายได้ที่แถวๆ 50 ล้านเหรียญ
Non-Stop รายได้ตกแค่ 33% ทำเงินเพิ่มอีก 10.6 ล้านเหรียญ และทำรายได้รวมแซง Unknown ซึ่งเป็นการทำงานรวมกันครั้งก่อนของผู้กำกับ ฆัวเม คอลเลท์-เซอร์รา และเลียม นีสัน รายได้รวมของหนังถือว่าใช้ได้ที่ 68.8 ล้านเหรียญ
อันดับ 5 เป็นหนังใหม่ Tyler Perry's The Single Moms Club ที่เละตุ้มเป๊ะด้วยรายได้แค่ 8.1 ล้านเหรียญ ต่ำที่สุดในกลุ่มหนังที่กำกับโดยไทเลอร์ เพอร์รี ที่หนัง Daddy's Little Girls เมื่อปี 2007 ครองแชมป์อยู่จากการเปิดตัวแค่ 11.2 ล้านเหรียญ เมื่อย้อนดูในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหนังของไทเลอร์ เพอร์รี สถานการณ์ไม่ค่อยดี เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วหนังTyler Perry Presents Peeples ที่อำนวยการสร้างโดยเพอร์รี ก็ทำเงินไม่ผ่าน 10 ล้านเหรียญ พอเดือนธันวาฯ A Madea Christmas ก็แทบจะไม่ผ่าน 50 ล้านเหรียญซึ่งเผยให้เห้นผลลัพธ์ที่แย่ลงเรื่องๆ ของหนังชุด Madea และตอนนี้กับการเปิดตัวไม่ถึง 10 ล้านของ The Single Moms Club ซึ่งทางไลออนเกทส์ถือว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะหวังไว้มา หลังมีหนัง 16 เรื่องออกฉายภายใน 8 ปี ดูท่าคนดูจะหมดรักหนังของเพอร์รีซะแล้ว สำหรับคนดู The Single Moms Club เป็นหญิงถึง 79% และ 80% อายุมากกว่า 25 ปี แม้จะได้คะแนน A จากซีนีมาสกอร์ แต่หนังของเพอร์รีส่วนใหญ่จะได้คนดูเฉพาะวันแรกๆ ของการฉาย งานนี้หนังไม่น่าจะทำเงินเกิน 25 ล้านเหรียญได้ด้วยซ้ำไป
ตอนนี้ทางไลออนเกทส์ ถือว่าเจอสถานการณ์ย่ำแย่ในปีนี้ เพราะThe Legend of Hercules และ I, Frankenstein ก็ทำรายได้ไม่ดี แถม The Single Moms Club ก็เป็นหนังเรื่องที่สามของบริษัทที่เปิดตัวต่ำกว่า 9 ล้านเหรียญ ซึ่งสถิตินี้น่าจะจบลงด้วย Divergent ที่จะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า
The Grand Budapest Hotel เพิ่มโรงเป็น 66 โรง และขึ้นมาที่อันดับ 8 รายได้ 3.64 ล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็น 55,152 เหรียญต่อโรง มากพอจะเป็นสถิติหนังรายได้เฉลี่ยสูงสุดตลอดกาลสำหรับหนังที่ฉายวงจำกัดมากกว่า 50 โรง สุดสัปดาห์หน้า Budapest จะขยายโรงอีกเป็น 275 โรงอย่างน้อย
หนัง The Veronica Mars ที่เป็นการระดมทุนผ่านคิคสตาร์เตอร์ ทำเงิน 1.99 ล้านเหรียญจาก 291 โรง และรายได้มากกว่าครึ่งมาจากวันศุกร์ นั่นหมายความว่า หนังได้คนที่ต้องการดูหนังเรื่องนี้แทบจะหมดเกลี้ยงในทันที ทำให้ดูท่าว่าโอกาสจะยืนระยะนั้นมีไม่มาก แต่หนังก็พร้อมแล้วสำหรับการลงแผ่น แถมคนที่ร่วมลงทุนผ่านคิคสตาร์เตอร์ก็ได้หนังเวอร์ชันดิจิตอลไปแล้ว การทำหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการทดลองที่น่าสนใจ และแสดงให้เห็นว่าหนังสามารถประสบความสำเร็จได้พอประมาณ
หนังของเจสัน เบทแมน Bad Words เปิดตัว 113,301 เหรียญจาก 6 โรง รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 18,884 เหรียญ แต่บททดสอบที่แท้จริงของหนังจะมาถึงในวันที่ 28 มีนาคม เมื่อหนังตลกเรท อาร์เรื่องนี้เปิดตัวในวงกว้าง
ในตลาดนอกอเมริกา Need for Speed เปิดตัวแล้วในบางประเทศ และทำได้ดีด้วยตัวเลข 45.6 ล้านเหรียญ เกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 21.2 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับรายได้เปิดตัวของ Robocop ที่นี่ แล้วก็มากกว่ารายได้เปิดตัวของหนังในอเมริกาด้วย Need for Speed ทำรายได้อันดับ 1 ที่รัสเซีย (5.5 ล้านเหรียญ) และอังกฤษ (3.5 ล้านเหรียญ) แต่ทำได้ไม่ดีที่ออสเตรเลีย (1.4 ล้านเหรียญ), บราซิล (1.3 ล้านเหรียญ), เม็กซิโก (1.3 ล้านเหรียญ) และอิตาลี (1.1 ล้านเหรียญ) สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวที่เยอรมันนี และตลาดเล็กๆ อีกจำนวนไม่มากนัก
300: Rise of an Empire ได้เงินอีก 41.3 ล้านเหรียญ รายได้รวมนั้นเป็นที่น่าพอใจ 158 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหนังได้ฉายที่จีน Rise of an Empire น่าจะทำรายได้นอกอเมริกาเหนือหนังภาคแรกที่ทำไว้ 245 ล้านเหรียญ
Mr. Peabody & Sherman ได้เงินมาอีก 15 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 85 ล้านเหรียญ ตลาดที่เปิดตัวใหม่มีแค่อิตาลี ซึ่งทำเงินพอประมาณ 1.2 ล้านเหรียญ
ในที่สุด Frozen ก็เปิดตัวที่ญี่ปุ่น ซึ่งการรอคอยถือว่าคุ้มค่า เมื่อหนังทำรายได้ถึง 9.4 ล้านเหรียญ ต่ำกว่า Monsters University แค่ 13% โดยรายได้ปิดตัวที่ญี่ปุ่นทำได้ถึงกว่า 90 ล้านเหรียญ สำหรับรายได้ทั่วโลก Frozen ทำไปแล้ว 1.027 พันล้านเหรียญ แซง The Hobbit: An Unexpected Journey และ Alice in Wonderland เข้าไปอยู่ในอันดับ 15 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ถ้าหนังไปได้ดีที่ญี่ปุ่น ก็น่าจะขยับขึ้นไปถึงอันดับ 9 แซง The Dark Knight Rises
ถูกใจคลิกไลค์ได้ที่
www.facebook.com/Sadaos ติดตามข่าวสารวงการบันเทิงและบทวิจารณ์ภาพยนตร์-เพลงได้ที่
www.sadaos.com
Mr. Peabody ฟื้น พลิกเข้าที่ 1 เบียดหนังใหม่ Need for Speed หนังทำเงินอเมริกาสัปดาห์ล่าสุด
(แปล/เรียบเรียงจาก www.boxofficemojo.com)
หนังเข้าใหม่ สร้างจากวิดีโอเกมดัง Need for Speed คงต้องการความเร็วมากกว่านี้ เพื่อจะเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 บนอันดับหนังทำเงิน เมื่อเปิดตัวได้เป็นรองหนังส่อแววไม่ดีอย่าง Mr. Peabody & Sherman ที่ฟื้นมาเข้าอันดับ 1 ได้สำเร็จ พาค่ายดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน ชนะดรีมเวิร์คส์ไปได้
กับการฉายสัปดาห์ที่สอง Mr. Peabody รายได้ตกแค่ 32% ทำเงินอีก 21.8 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเจ๋งกว่าหนังเดือนมีนาปีที่แล้ว The Croods ที่ทำไว้ 39% และดีกว่า 34% ของ How to Train Your Dragon หนังอีกเรื่องของดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชัน เล็กน้อบ ถึงตอนนี้หนัง Mr. Peabody กวาดเงินไปทั้งหมด 63.8 ล้านเหรียญ กับเสียงปากต่อปากที่ดี และไม่มีคู่ปรับตรงๆ หนังน่าจะถึง 100 ล้านแน่ๆ เมื่อจบโปรแกรม
300: Rise of an Empire รายได้ตก 57% ได้เงินมาอีก 19.2 ล้านเหรียญ โดยภาคแรกนั้นรายได้สัปดาห์ที่สองตก 54% ตอนนี้หนังฟันรายได้ไปแล้ว 78.4 ล้านเหรียญเฉพาะในอเมริกา
เปิดตัวด้วย 3,118 โรง Need for Speed ทำได้แค่อันดับ 3 กับรายได้ 17.8 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าน่าผิดหวัง เพราะต่ำกว่าหนังชุด Fast & Furious ที่รายได้เปิดตัวแย่สุดอย่าง Tokyo Drift ที่ทำไว้ 24 ล้านเหรียญด้วยซ้ำ แต่ก็พอๆ กับหนังที่สร้างจากวิดีโอ เกมเรื่องอื่นๆ อย่าง Resident Evil และ Max Payne ที่เปิดตัว 17.7 และ 17.6 ล้านเหรียญตามลำดับ ส่งให้หนังกลายเป็นงานเรื่องล่าสุดที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกม ที่เปิดตัวได้ไม่ดีนัก การที่เนื้อหาเกี่ยวกับรถซิ่งไม่ใช่สาเหตุที่หนังไม่เข้าเป้า และการตลาดของดิสนีย์ก็เลี่ยงอยู่แล้ว สาเหตุที่ทำให้หนังแป้ก น่าจะเป็นเพราะการดูเหมือนหนังเลียนแบบ ที่คอหนังมองว่าทำตาม Fast & Furious บวกกับตัวเรื่องที่ไม่น่าสนใจ คนดู 70% ของ Need for Speed เป็นผู้ชาย และอายุค่อนข้างมากเมื่อ 55% เกิน25 ปี สำหรับรายได้จากโรงสามมิติคิดเป็น 43% ของรายได้ทั้งหมด หนังได้คะแนน B+ จากซีนีม่สกอร์ ซึ่งบอกว่า ปากต่อปากจะไปแบบงั้นๆ ทำให้หนังไม่น่าไปได้ยาว และคงปิดรายได้ที่แถวๆ 50 ล้านเหรียญ
Non-Stop รายได้ตกแค่ 33% ทำเงินเพิ่มอีก 10.6 ล้านเหรียญ และทำรายได้รวมแซง Unknown ซึ่งเป็นการทำงานรวมกันครั้งก่อนของผู้กำกับ ฆัวเม คอลเลท์-เซอร์รา และเลียม นีสัน รายได้รวมของหนังถือว่าใช้ได้ที่ 68.8 ล้านเหรียญ
อันดับ 5 เป็นหนังใหม่ Tyler Perry's The Single Moms Club ที่เละตุ้มเป๊ะด้วยรายได้แค่ 8.1 ล้านเหรียญ ต่ำที่สุดในกลุ่มหนังที่กำกับโดยไทเลอร์ เพอร์รี ที่หนัง Daddy's Little Girls เมื่อปี 2007 ครองแชมป์อยู่จากการเปิดตัวแค่ 11.2 ล้านเหรียญ เมื่อย้อนดูในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหนังของไทเลอร์ เพอร์รี สถานการณ์ไม่ค่อยดี เมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้วหนังTyler Perry Presents Peeples ที่อำนวยการสร้างโดยเพอร์รี ก็ทำเงินไม่ผ่าน 10 ล้านเหรียญ พอเดือนธันวาฯ A Madea Christmas ก็แทบจะไม่ผ่าน 50 ล้านเหรียญซึ่งเผยให้เห้นผลลัพธ์ที่แย่ลงเรื่องๆ ของหนังชุด Madea และตอนนี้กับการเปิดตัวไม่ถึง 10 ล้านของ The Single Moms Club ซึ่งทางไลออนเกทส์ถือว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์ เพราะหวังไว้มา หลังมีหนัง 16 เรื่องออกฉายภายใน 8 ปี ดูท่าคนดูจะหมดรักหนังของเพอร์รีซะแล้ว สำหรับคนดู The Single Moms Club เป็นหญิงถึง 79% และ 80% อายุมากกว่า 25 ปี แม้จะได้คะแนน A จากซีนีมาสกอร์ แต่หนังของเพอร์รีส่วนใหญ่จะได้คนดูเฉพาะวันแรกๆ ของการฉาย งานนี้หนังไม่น่าจะทำเงินเกิน 25 ล้านเหรียญได้ด้วยซ้ำไป
ตอนนี้ทางไลออนเกทส์ ถือว่าเจอสถานการณ์ย่ำแย่ในปีนี้ เพราะThe Legend of Hercules และ I, Frankenstein ก็ทำรายได้ไม่ดี แถม The Single Moms Club ก็เป็นหนังเรื่องที่สามของบริษัทที่เปิดตัวต่ำกว่า 9 ล้านเหรียญ ซึ่งสถิตินี้น่าจะจบลงด้วย Divergent ที่จะเปิดตัวในสัปดาห์หน้า
The Grand Budapest Hotel เพิ่มโรงเป็น 66 โรง และขึ้นมาที่อันดับ 8 รายได้ 3.64 ล้านเหรียญ ซึ่งคิดเป็น 55,152 เหรียญต่อโรง มากพอจะเป็นสถิติหนังรายได้เฉลี่ยสูงสุดตลอดกาลสำหรับหนังที่ฉายวงจำกัดมากกว่า 50 โรง สุดสัปดาห์หน้า Budapest จะขยายโรงอีกเป็น 275 โรงอย่างน้อย
หนัง The Veronica Mars ที่เป็นการระดมทุนผ่านคิคสตาร์เตอร์ ทำเงิน 1.99 ล้านเหรียญจาก 291 โรง และรายได้มากกว่าครึ่งมาจากวันศุกร์ นั่นหมายความว่า หนังได้คนที่ต้องการดูหนังเรื่องนี้แทบจะหมดเกลี้ยงในทันที ทำให้ดูท่าว่าโอกาสจะยืนระยะนั้นมีไม่มาก แต่หนังก็พร้อมแล้วสำหรับการลงแผ่น แถมคนที่ร่วมลงทุนผ่านคิคสตาร์เตอร์ก็ได้หนังเวอร์ชันดิจิตอลไปแล้ว การทำหนังเรื่องนี้ ถือว่าเป็นการทดลองที่น่าสนใจ และแสดงให้เห็นว่าหนังสามารถประสบความสำเร็จได้พอประมาณ
หนังของเจสัน เบทแมน Bad Words เปิดตัว 113,301 เหรียญจาก 6 โรง รายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 18,884 เหรียญ แต่บททดสอบที่แท้จริงของหนังจะมาถึงในวันที่ 28 มีนาคม เมื่อหนังตลกเรท อาร์เรื่องนี้เปิดตัวในวงกว้าง
ในตลาดนอกอเมริกา Need for Speed เปิดตัวแล้วในบางประเทศ และทำได้ดีด้วยตัวเลข 45.6 ล้านเหรียญ เกือบครึ่งหนึ่งมาจากจีน ที่เปิดตัวด้วยรายได้ 21.2 ล้านเหรียญ ซึ่งพอๆ กับรายได้เปิดตัวของ Robocop ที่นี่ แล้วก็มากกว่ารายได้เปิดตัวของหนังในอเมริกาด้วย Need for Speed ทำรายได้อันดับ 1 ที่รัสเซีย (5.5 ล้านเหรียญ) และอังกฤษ (3.5 ล้านเหรียญ) แต่ทำได้ไม่ดีที่ออสเตรเลีย (1.4 ล้านเหรียญ), บราซิล (1.3 ล้านเหรียญ), เม็กซิโก (1.3 ล้านเหรียญ) และอิตาลี (1.1 ล้านเหรียญ) สัปดาห์หน้าหนังจะเปิดตัวที่เยอรมันนี และตลาดเล็กๆ อีกจำนวนไม่มากนัก
300: Rise of an Empire ได้เงินอีก 41.3 ล้านเหรียญ รายได้รวมนั้นเป็นที่น่าพอใจ 158 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าหนังได้ฉายที่จีน Rise of an Empire น่าจะทำรายได้นอกอเมริกาเหนือหนังภาคแรกที่ทำไว้ 245 ล้านเหรียญ
Mr. Peabody & Sherman ได้เงินมาอีก 15 ล้านเหรียญ รายได้รวมเป็น 85 ล้านเหรียญ ตลาดที่เปิดตัวใหม่มีแค่อิตาลี ซึ่งทำเงินพอประมาณ 1.2 ล้านเหรียญ
ในที่สุด Frozen ก็เปิดตัวที่ญี่ปุ่น ซึ่งการรอคอยถือว่าคุ้มค่า เมื่อหนังทำรายได้ถึง 9.4 ล้านเหรียญ ต่ำกว่า Monsters University แค่ 13% โดยรายได้ปิดตัวที่ญี่ปุ่นทำได้ถึงกว่า 90 ล้านเหรียญ สำหรับรายได้ทั่วโลก Frozen ทำไปแล้ว 1.027 พันล้านเหรียญ แซง The Hobbit: An Unexpected Journey และ Alice in Wonderland เข้าไปอยู่ในอันดับ 15 หนังทำเงินสูงสุดตลอดกาล ถ้าหนังไปได้ดีที่ญี่ปุ่น ก็น่าจะขยับขึ้นไปถึงอันดับ 9 แซง The Dark Knight Rises
ถูกใจคลิกไลค์ได้ที่ www.facebook.com/Sadaos ติดตามข่าวสารวงการบันเทิงและบทวิจารณ์ภาพยนตร์-เพลงได้ที่ www.sadaos.com