สิ่งที่เกิดขึ้น.. แต่ก่อนเราแทบจะไม่เคยคิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ เพราะเกิดมาไม่เคยสักครั้งที่จะเจ็บปวดเพราะความรัก
ความผิดพลาดนี้ทำให้เราคิดอะไรได้มากมาย ทั้งจากตัวเราและจากมุมมองของคนอื่นๆที่เราได้อ่าน ได้ฟัง ได้เจอมา
สิ่งที่เรียนรู้ได้จากความผิดพลาดและความเจ็บปวด :
-
ธรรมชาติของผู้หญิงกับผู้ชายนั้นต่างกัน
"เมื่อผู้หญิงมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเกิดขึ้น เธอจะระบายอารมณ์นั้นออกมาโดยการพูดหรือเล่าให้ใครสักคนหนึ่งฟัง
อาจมีการวีนบ้าง เหวี่ยงบ้าง ใส่อารมณ์บ้าง แล้วแต่พื้นฐานนิสัยของแต่ละคน
เมื่อเธอระบายทุกอย่างออกมาหมดแล้ว เธอจะรู้สึกโล่งใจ ปลอดโปร่ง ความรู้สึกจะกลับมาเซ็ตใหม่ที่ศูนย์อีกครั้ง
เรื่องราวเก่าๆถือว่าจบและไม่ใส่ใจอีก ทำตัวปกติเรากับไม่มีอะไรเกิดขึ้น(เพราะเธอได้ระบายออกมาแล้ว)
ผู้ชายบางคนถึงกับแปลกใจว่าทำไมแฟนของพวกเขา บทจะงี่เง่าก็งี่เง่ามากๆ บทจะดีก็ดีราวกับนางฟ้า
เรื่องน่าตลก(ร้าย)สำหรับผู้ชายก็คือ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเอาอารมณ์ต่างๆไปลงไว้ที่คนรักของเธอ
เพราะคิดว่าผู้ชายที่เธอรักย่อมเข้าใจเธอดี ยอมรับเธอ และอดทนกับเธอได้เสมอ
ทั้งที่ความจริงคือในครั้งแรกๆผู้ชายจะง้อและพยายามทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม เพื่อให้ปัญหาตรงหน้าจบ
แต่ในใจของผู้ชายนั้น กลับไม่ได้กลับไปเซ็ตความรู้สึกไปที่ศูนย์เหมือนกับผู้หญิง
ผู้ชายจะค่อยๆติดลบทางความรู้สึกไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ความอดทนก็หมดลง
ความรักและความหวานชื่นที่เคยมีมาก็จะเริ่มจางลง เพราะมีสิ่งที่คอยบั่นทอน"
-
รักของผู้หญิงจะเริ่มจากศูนย์ไปร้อย และผู้ชายจะเริ่มจากร้อยไปศูนย์
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอิน~~ LucKy_RiN ลัล..ล้า..~~ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"เวลาผู้ชายรักเรา เค้าจะรักผู้หญิงเราจากร้อยไปหาศูนย์ ส่วนผู้หญิงมักจะเริ่มรักจากศูนย์ไปทะลุร้อย
นี่คือเหตุผลส่วนใหญ่ ที่ทำให้เค้ากับเรามีปัญหา
ธรรมชาติผู้ชายที่ดี ถ้าเค้ารักเราแล้ว เค้าจะรู้จักรักษาความรักของเค้าไว้ที่ร้อยที่เค้าให้มาและมันจะยังคงเท่าเดิม
และมันจะยิ่งทะลุร้อยแข่งกับผู้หญิง เมื่อผู้หญิงรู้จักรักษาความรักของเค้าและรู้จักคุณค่าในรักที่เค้าให้มานั้น
ชีวิตคู่ของคนส่วนใหญ่ เมื่อผู้หญิงได้รับความรักมาจากผู้ชาย
เมื่อได้รับ.. ได้รับ.. ก็กลับอยากได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้หญิงแต่ละคนแสดงออกไม่เหมือนกัน
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความรักและความดีที่ตัวเองมีอยู่
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความง๊องแง๊ง งี่เง่า ปัญญาอ่อน
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความหึงหวง ความไม่มีสาระ
แล้วเวลาผู้ชายเริ่มรับมือไม่ไหว ก็มักจะโดยกดดันด้วยคำที่ว่า "ใช่ซี๊.. ชั้นมันเก่าแล้วนี่ หมดโปรแล้วนี่ มีกิ๊กรึเปล่า บลๆๆ"
ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ชายอาจจะยังไม่มีอะไรในใจเลย แต่กลับโดนกล่าวหาไปแล้ว
จนวันหนึ่งผู้ชายเริ่มเบื่อและรับมือไม่ไหว ผู้หญิงก็คิดว่าผู้ชายเปลี่ยนไปทั้งๆที่ไม่ได้สำรวจตัวเองเลยว่าที่ผ่านมา
เราอยู่กับเค้ายังไงมาบ้าง ถ้าเราเป็นเค้า มองในมุมกลับกัน เรารับได้รึเปล่า
ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายเค้าไม่เข้าใจผู้หญิงเราหรอกว่าเราอยากได้อะไร เราโกรธเรื่องอะไร เราเสียใจ เราน้อยใจเรื่องไหน
ถ้าไม่อยากเสียเค้าไป มีอะไรบอกเค้าดีๆ บอกกันตรงๆ ว่าเมื่อกี๊ที่ทำแบบนั้น เสียใจจัง อย่าทำอีกเลยนะคะ
แล้วลองเปิดใจฟังเหตุผลเค้าดูว่าทำไมเค้าทำให้เราเสียใจ ถ้าเหตุผลเค้าไม่พอ ก็ค่อยๆปรับ ค่อยๆเรียนรู้กัน
อยากให้เค้าทำอะไรให้เราก็บอกผู้ชายเค้าไปตรงๆ เช่น เย็นนี้มารับได้รึเปล่า ถ้าเค้าบอกว่าไม่ได้ ก็ใช้เหตุผลพิจารณาต่อไปว่า
ทำไมเค้ามาไม่ได้ ถ้าเหตุผลเพียงพอ ก็โอเค รับฟังกัน ปล่อยวาง อย่าไปคาดหวัง
แต่ถ้าเหตุผลมันงี่เง่ามาก ก็คุยกันดีๆว่าทำไมเลือกแบบนั้น ทำไมไม่เลือกทำแบบนี้ ค่อยๆคุยกันอีก หาเหตุผลและทางอีกที่ดีที่สุดแก่ทั้งสองฝ่าย
มีอะไรให้บอกเค้าไป ไม่ชอบอะไรบอกเค้าไป แล้วรับฟังผู้ชายของเราด้วยความตั้งใจ อย่าไปยึดติด อย่าไปคาดหวัง
แล้วเราจะไม่เจ็บ และเมื่อเราปล่อยวางได้ คนรักเราจะยิ่งแคร์เรามากขึ้นด้วย เพราะผู้ชายเค้าชอบคนที่เข้าใจเค้า
ยิ่งเราให้เกียรติเค้า เค้าก็จะยิ่งให้ความรู้สึกดีๆกับเรากลับมา"
-
ความรักพิสูจน์ให้เห็นยามที่มีปัญหา ยามที่เขาไม่น่ารัก ยามที่เขาเปลี่ยนแปลง ยามที่เขาไม่ใช่คนที่คุณเคยรู้จักนี่แหละ
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอินหนึ่งในพันทิปค่ะ ขออภัยที่เราจำชื่อล็อกอินไม่ได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"ถ้าเรารักเขาเพราะเขาดี เพราะเขามีค่า เพราเขาน่ารัก เพราะเขาทำให้เรามีความสุข
วันหนึ่งถึงเขาไม่ทิ้งเรา เราก็จะทิ้งเขา เมื่อเขาไม่มีสิ่งดีๆเหล่านี้อีกแล้ว
ความรักไม่ใช่การแลกเปลี่ยน เธอให้ฉันบ้าง ฉันให้เธอบ้าง เธอไม่ให้ฉันแล้ว ฉันก็ไปหาจากที่อื่น
หรือ ฉันไม่มีอะไรให้เธอแล้ว เธอไปที่อื่นเถอะนะ
ความรักเพิ่มพูนขึ้นตามเวลา ความผิดพลาดและการให้อภัยทำให้รักกันมากขึ้น
อุปสรรคและปัญหาควรจะทำให้ความรักเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่ทำให้อ่อนแอและขาดสะบั้นลง
อดทนและให้อภัย เมื่อเกิดปัญหาก็ผ่านไปได้และรักกันมากขึ้น"
-
ทุกสิ่งมันเป็นธรรมชาติ พอรักก็อยากยึด อยากครอบครอง อยากเปลี่ยนแปลงเค้าให้เป็นแบบที่ใจเราต้องการ
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอินหนึ่งในพันทิปค่ะ ขออภัยที่เราจำชื่อล็อกอินไม่ได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"อยากให้เค้าถึงบ้านแล้วโทรบอกเราสักหน่อย โดยเราใช้คำว่า "เป็นห่วง" แต่จริงๆแล้วมันก็แค่สนองกิเลสเรา
ที่อยากให้เค้ารายงานตัว เท่านั้นเอง
ลองปรับที่ตัวเองก่อน เช่นว่า เค้าจะทำอะไร จะโทรไม่โทร.. ธรรมชาติของเค้า อย่าไปคิดเยอะ ปรุงแต่งมาก
เพราะที่เราทุกข์เนี่ยนะ เพราะเกิดจากความคิดของเราเองล้วนๆ มองดูใจตัวเองตอนมันดิ้น ไม่ได้อย่างใจ
แล้วเราจะรู้ว่า เออนะ เอาแต่ใจจริงวุ้ย!!
สำหรับบางคู่ที่หมดรักแล้ว ไม่ใช่ว่าจะกลับมารักอีกไม่ได้ แต่ถ้าจะกลับมารักอีกได้เราต้องไม่ใช่คนแบบเดิมๆ
มีคนบอกว่า "ถ้าเราทำเหตุแบบเดิมๆ ผลที่ได้มันก็ได้แบบเดิมๆ" ต่อให้คนรักกลับมาคืนดี แต่เราเป็นแบบเดิม
สุดท้าย ผลมันก็จะเป็นแบบเดิมนั่นเอง
สำคัญมากคือกลับมารักตัวเองก่อน ให้ความสำคัญ ให้คุณค่ากับตัวเองก่อน เค้าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร
ความสุขของเรามันไม่ได้ไปผูกติดอยู่ที่เค้า เราก็มีความสุขเองได้
การลองปรับตัวแบบนี้.. ทั้งหมดก็เพื่อตัวเราเอง เค้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่กลับมาก็ว่ากันไป
อย่างน้อยๆเมื่อมีความรักอีกครั้ง มันจะดีกว่าที่เคยเป็นมาแน่นอน"
-
พุทธศาสนามองว่าความรักมีสองประเภท (บางส่วนของข้อความ : พระไพศาล วิสาโล)
"กล่าวคือ ประเภทหนึ่งเป็นความรักที่มีความยึดมั่น ถือมั่นเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเพื่อตอบสนองตัวตน
หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตันตน เราเรียกว่า
"สิเนหะ หรือเสน่หา"
เป็นความรักที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า รักแบบมีเงื่อนไข เช่น ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน
ความรักอีกประเภทหนึ่งเป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตน
เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่า
"เมตตา"
ความรักที่เจือด้วยกิเลส ที่ยังผูกติดกับเรื่องตัวตน ที่จริงแล้วเราไม่ได้รักสิ่งนั้นอย่างจริงจังหรอก
เรารักตัวเรา แต่เนื่องจากสิ่งนั้นให้ความสุขเรา ปรนเปรอเรา เราเลยผูกใจ ปรารถนาสิ่งนั้น
แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นไปดั่งใจหวัง ไม่พะเน้าพะนอเรา ไม่ปรนเปรอเรา เราก็เกลียด ผิดหวัง เสียใจ
ถ้าเข้าใจความรักและรักอย่างมีเมตตา ต่อให้เราถูกคนรักทำร้ายจิตใจ หรือเขาเปลี่ยนแปลงไป
เราก็จะไม่เจ็บ ไม่ปวด หรือเจ็บปวดน้อยที่สุด ด้วยความที่เรามีเมตตานั่นเอง"
-
ถ้าจำเป็นต้องอยู่กับคู่ชีวิตที่เราหมดศรัทธา หมดรัก หมดใจ
(*สำหรับภรรยา หรืออาจจะเป็นคู่รักทั้งหญิงหรือชายก็ได้ ลองปรับใช้ดูนะคะ : ข้อความจากเว็บยะฮู รอบรู้ค่ะ)
ถ้าหมดรัก หมดใจแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน เพราะเหตุผลใดๆก็ตาม ถ้าคุณต้องการความสงบสุข และจะไม่ทุกข์ไปกว่านี้ แต่อาจมีโอกาสจุดไฟรักให้ลุกเพลิงขึ้นมาใหม่เหมือนเมื่อเดิมหรือดีกว่าเดิมอีกก็ได้ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น ขอออกความคิดเห็นและให้คำแนะนำดังนี้ว่า
1. ให้คุณจับเข่าคุยกับคู่ชีวิต พูดคุยอย่างสงบและอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบังความรู้สึกแท้ๆของคุณเลย เพื่อให้เขาได้รับรู้ไว้ ขออย่าให้ความผิดพลาดในอดีตเป็นโซ่ล่ามชีวิตคุณทั้งสองไว้ สิ่งที่คุณจะทำจากนี้ไปก็สำคัญมากกว่าสิ่งที่เกิดในอดีต ถ้าคุณทั้งสองจะปรับความเข้าใจกันได้ คงจะมีผลดีมากกว่าผลเสีย
2. คุณทั้งสองควรจะต้องรู้ว่า ความต้องการของผู้ชายและของผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่ผู้ชายต้องการมากที่สุด มิใช่เซ็กส์ แต่คือเกียรติยศและศักดิ์ศรี จริงอยู่เขาคงชอบเซ็กส์ แต่การได้รับเกียรติก็ต้องมาก่อน ผู้หญิงต้องการความรัก ความใกล้ชิด ความทนุถนอม ความอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัย จากผู้เป็นสามี ถ้าเขาได้สิ่งเหล่านี้ เซ็กส์ถึงไหนถึงกันได้เสมอ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อย่าหวังเข้าใกล้เลย ไม่อยากให้แตะต้องตัวด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้รับความรัก ก็หมดรักหมดใจไปด้วยอย่างที่คุณว่านั่นแหละ แต่ผู้ชายจะให้สิ่งนี้กับคุณหรือใครก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีศรัทธาในตัวเขา มองเขาไม่ขึ้น หรือไม่ให้เกียรติ หรือให้ความเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะไม่มีแรงให้ความรัก หรือเป็นผู้นำที่มีพลังไม่ได้เลย และในใจเขาจะมีแต่ความระทมขมขื่นตลอดเวลา แต่พูดไม่ออก เพราะเขาอาจจะด้อยกว่าคุณ และต้องต่อสู้กับคุณอยู่เสมอไป คุณถามเขาได้ว่า ข้อคิดเห็นนี้เป็นความจริงหรือไม่? และเกี่ยวข้องกับปัญหาของคุณในขณะนี้หรือไม่? คุณทั้งสองจะรู้ดีที่สุด
3. เมื่อได้คุยกันแล้ว และให้อภัยกันแล้ว ในฐานะที่คุณกับเขายังต้องอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากัน คุณยังยินดีที่จะทำหน้าที่เป็นศรีภรรยาที่ดีให้แก่เขา และเป็นแม่บ้านให้แก่เขาอย่างดีที่สุดโดยไม่วางเงื่อนไขใดๆสำหรับเขาเลย เขาจะเป็นคนชนิดใดก็ไม่สนไม่ว่าอะไร และยินดีให้เขาร่วมหลับนอนด้วย และมีเพศสัมพันธ์ตามปกติที่เขาต้องการได้เสมอ คุณจะไม่ปฏิเสธเขาเลย แม้ว่าจะฝืนความรู้สึกของสตรีโดยทั่วไป และให้เขาได้รับรู้ไว้อย่างนั้นด้วย คุณจะทำได้ไหม? ตรึกตรองดูให้ดีนะครับ ลองดูสักหกเดือน ลองดูว่า จะออกหัวหรือออกก้อยกันแน่
4. จากนี้ไป ไม่ต้องบอกสามีคุณให้รู้ แต่ทุกวันคุณก็อาบน้ำแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อยไม่ต้องฉุดฉาดอะไรแต่มีรสนิยมดี น่าดูน่ามอง ผมเผ้าสระและหวีให้เรัยบร้อยอยู่เสมอ รักษาอนามัยของร่างกายให้ดีไม่มีกลื่นตัวไดๆ ลงทุนซื้อโคโลญจ์กลิ่นหอมอ่อนๆฉีดนิดหน่อยที่อุ้งมือ แล้วลูบที่แขนและที่ลำคอพอที่จะให้ได้กลิ่นจางๆ เฉพาะเวลาเข้าใกล้ๆถึงตัวคุณจึงจะได้กลื่นนั้น ให้ทำอย่างนี้จนเป็นนิสัยไปตลอดชีวิตของคุณ และคุณจะกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างลึกซึ้งที่สุด ถ้าสามีคนนี้ตาถั่วตาบอดก็แล้วไป ถ้าตายังใสอยู่ ในไม่ช้า ตาเขาจะมีประกายดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ไม่งั้น คิดว่าฝึกไว้สำหรับแฟนคนต่อไปก็แล้วกันนะ ไม่เสียหายอะไร มิใช่หรือ?
แต่ลองให้โอกาสตัวคุณและกับสามีคนนี้ก่อนไปสักหกเดือน ขีดปฏิทินไว้ทุกวันก็ได้ ไม่นาน ใจรักที่ดีกว่าเก่า อาจจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งก็ได้
...............................................................................................................................................
สุดท้าย เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเราก็ดึงใจให้กลับมารักตัวเอง มีสติและกลับมาเป็นเราคนเดิมที่อยู่ได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ไม่ยึดติดใครมากเกินไป
ได้เปลี่ยนมุมมอง ปรับตัว และรู้จักข้อผิดพลาด รู้จักถนอมความรัก ไม่ทิ้งขว้างมันอีก
และทำให้ได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว "ความทุกข์จริงๆอายุสั้น แต่เรามักยืดอายุมันโดยการคิดวนเวียนซ้ำซาก"
หวังว่าข้อความของเราคงช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ
ใครที่กำลังมีช่วงเวลาเลวร้าย หรือกำลังมีปัญหาที่เกิดมาจากความรัก เราขอให้ทุกคนผ่านมันไปได้ด้วยดีค่ะ
หรือใครอยากระบายอะไร ก็เล่าสู่กันฟังได้นะ ช่วยกันๆ
**ปล. ขออนุญาตเข้ามาอีดิทเพิ่มนะคะ เพราะเพิ่งเห็นว่าขึ้นเป็นกระทู้แนะนำทั้งห้องสยาม และห้องชานเรือน ที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวค่ะ
ข้อคิดดีๆสำหรับคู่รักทุกคู่ ขออย่าให้มีใครเจ็บปวดซ้ำรอยแบบเราอีกเลย
ความผิดพลาดนี้ทำให้เราคิดอะไรได้มากมาย ทั้งจากตัวเราและจากมุมมองของคนอื่นๆที่เราได้อ่าน ได้ฟัง ได้เจอมา
สิ่งที่เรียนรู้ได้จากความผิดพลาดและความเจ็บปวด :
- ธรรมชาติของผู้หญิงกับผู้ชายนั้นต่างกัน
"เมื่อผู้หญิงมีเรื่องไม่สบายใจอะไรเกิดขึ้น เธอจะระบายอารมณ์นั้นออกมาโดยการพูดหรือเล่าให้ใครสักคนหนึ่งฟัง
อาจมีการวีนบ้าง เหวี่ยงบ้าง ใส่อารมณ์บ้าง แล้วแต่พื้นฐานนิสัยของแต่ละคน
เมื่อเธอระบายทุกอย่างออกมาหมดแล้ว เธอจะรู้สึกโล่งใจ ปลอดโปร่ง ความรู้สึกจะกลับมาเซ็ตใหม่ที่ศูนย์อีกครั้ง
เรื่องราวเก่าๆถือว่าจบและไม่ใส่ใจอีก ทำตัวปกติเรากับไม่มีอะไรเกิดขึ้น(เพราะเธอได้ระบายออกมาแล้ว)
ผู้ชายบางคนถึงกับแปลกใจว่าทำไมแฟนของพวกเขา บทจะงี่เง่าก็งี่เง่ามากๆ บทจะดีก็ดีราวกับนางฟ้า
เรื่องน่าตลก(ร้าย)สำหรับผู้ชายก็คือ ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเอาอารมณ์ต่างๆไปลงไว้ที่คนรักของเธอ
เพราะคิดว่าผู้ชายที่เธอรักย่อมเข้าใจเธอดี ยอมรับเธอ และอดทนกับเธอได้เสมอ
ทั้งที่ความจริงคือในครั้งแรกๆผู้ชายจะง้อและพยายามทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นไม่ว่าจะด้วยวิธีอะไรก็ตาม เพื่อให้ปัญหาตรงหน้าจบ
แต่ในใจของผู้ชายนั้น กลับไม่ได้กลับไปเซ็ตความรู้สึกไปที่ศูนย์เหมือนกับผู้หญิง
ผู้ชายจะค่อยๆติดลบทางความรู้สึกไปเรื่อยๆ และเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง ความอดทนก็หมดลง
ความรักและความหวานชื่นที่เคยมีมาก็จะเริ่มจางลง เพราะมีสิ่งที่คอยบั่นทอน"
- รักของผู้หญิงจะเริ่มจากศูนย์ไปร้อย และผู้ชายจะเริ่มจากร้อยไปศูนย์
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอิน~~ LucKy_RiN ลัล..ล้า..~~ ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"เวลาผู้ชายรักเรา เค้าจะรักผู้หญิงเราจากร้อยไปหาศูนย์ ส่วนผู้หญิงมักจะเริ่มรักจากศูนย์ไปทะลุร้อย
นี่คือเหตุผลส่วนใหญ่ ที่ทำให้เค้ากับเรามีปัญหา
ธรรมชาติผู้ชายที่ดี ถ้าเค้ารักเราแล้ว เค้าจะรู้จักรักษาความรักของเค้าไว้ที่ร้อยที่เค้าให้มาและมันจะยังคงเท่าเดิม
และมันจะยิ่งทะลุร้อยแข่งกับผู้หญิง เมื่อผู้หญิงรู้จักรักษาความรักของเค้าและรู้จักคุณค่าในรักที่เค้าให้มานั้น
ชีวิตคู่ของคนส่วนใหญ่ เมื่อผู้หญิงได้รับความรักมาจากผู้ชาย
เมื่อได้รับ.. ได้รับ.. ก็กลับอยากได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้ทำให้ผู้หญิงแต่ละคนแสดงออกไม่เหมือนกัน
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความรักและความดีที่ตัวเองมีอยู่
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความง๊องแง๊ง งี่เง่า ปัญญาอ่อน
บางคนอยากได้มากขึ้น ก็แลกกลับไปด้วยความหึงหวง ความไม่มีสาระ
แล้วเวลาผู้ชายเริ่มรับมือไม่ไหว ก็มักจะโดยกดดันด้วยคำที่ว่า "ใช่ซี๊.. ชั้นมันเก่าแล้วนี่ หมดโปรแล้วนี่ มีกิ๊กรึเปล่า บลๆๆ"
ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ชายอาจจะยังไม่มีอะไรในใจเลย แต่กลับโดนกล่าวหาไปแล้ว
จนวันหนึ่งผู้ชายเริ่มเบื่อและรับมือไม่ไหว ผู้หญิงก็คิดว่าผู้ชายเปลี่ยนไปทั้งๆที่ไม่ได้สำรวจตัวเองเลยว่าที่ผ่านมา
เราอยู่กับเค้ายังไงมาบ้าง ถ้าเราเป็นเค้า มองในมุมกลับกัน เรารับได้รึเปล่า
ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายเค้าไม่เข้าใจผู้หญิงเราหรอกว่าเราอยากได้อะไร เราโกรธเรื่องอะไร เราเสียใจ เราน้อยใจเรื่องไหน
ถ้าไม่อยากเสียเค้าไป มีอะไรบอกเค้าดีๆ บอกกันตรงๆ ว่าเมื่อกี๊ที่ทำแบบนั้น เสียใจจัง อย่าทำอีกเลยนะคะ
แล้วลองเปิดใจฟังเหตุผลเค้าดูว่าทำไมเค้าทำให้เราเสียใจ ถ้าเหตุผลเค้าไม่พอ ก็ค่อยๆปรับ ค่อยๆเรียนรู้กัน
อยากให้เค้าทำอะไรให้เราก็บอกผู้ชายเค้าไปตรงๆ เช่น เย็นนี้มารับได้รึเปล่า ถ้าเค้าบอกว่าไม่ได้ ก็ใช้เหตุผลพิจารณาต่อไปว่า
ทำไมเค้ามาไม่ได้ ถ้าเหตุผลเพียงพอ ก็โอเค รับฟังกัน ปล่อยวาง อย่าไปคาดหวัง
แต่ถ้าเหตุผลมันงี่เง่ามาก ก็คุยกันดีๆว่าทำไมเลือกแบบนั้น ทำไมไม่เลือกทำแบบนี้ ค่อยๆคุยกันอีก หาเหตุผลและทางอีกที่ดีที่สุดแก่ทั้งสองฝ่าย
มีอะไรให้บอกเค้าไป ไม่ชอบอะไรบอกเค้าไป แล้วรับฟังผู้ชายของเราด้วยความตั้งใจ อย่าไปยึดติด อย่าไปคาดหวัง
แล้วเราจะไม่เจ็บ และเมื่อเราปล่อยวางได้ คนรักเราจะยิ่งแคร์เรามากขึ้นด้วย เพราะผู้ชายเค้าชอบคนที่เข้าใจเค้า
ยิ่งเราให้เกียรติเค้า เค้าก็จะยิ่งให้ความรู้สึกดีๆกับเรากลับมา"
- ความรักพิสูจน์ให้เห็นยามที่มีปัญหา ยามที่เขาไม่น่ารัก ยามที่เขาเปลี่ยนแปลง ยามที่เขาไม่ใช่คนที่คุณเคยรู้จักนี่แหละ
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอินหนึ่งในพันทิปค่ะ ขออภัยที่เราจำชื่อล็อกอินไม่ได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"ถ้าเรารักเขาเพราะเขาดี เพราะเขามีค่า เพราเขาน่ารัก เพราะเขาทำให้เรามีความสุข
วันหนึ่งถึงเขาไม่ทิ้งเรา เราก็จะทิ้งเขา เมื่อเขาไม่มีสิ่งดีๆเหล่านี้อีกแล้ว
ความรักไม่ใช่การแลกเปลี่ยน เธอให้ฉันบ้าง ฉันให้เธอบ้าง เธอไม่ให้ฉันแล้ว ฉันก็ไปหาจากที่อื่น
หรือ ฉันไม่มีอะไรให้เธอแล้ว เธอไปที่อื่นเถอะนะ
ความรักเพิ่มพูนขึ้นตามเวลา ความผิดพลาดและการให้อภัยทำให้รักกันมากขึ้น
อุปสรรคและปัญหาควรจะทำให้ความรักเข้มแข็งขึ้น ไม่ใช่ทำให้อ่อนแอและขาดสะบั้นลง
อดทนและให้อภัย เมื่อเกิดปัญหาก็ผ่านไปได้และรักกันมากขึ้น"
-ทุกสิ่งมันเป็นธรรมชาติ พอรักก็อยากยึด อยากครอบครอง อยากเปลี่ยนแปลงเค้าให้เป็นแบบที่ใจเราต้องการ
(*ข้อคิดนี้ได้มาจากล็อกอินหนึ่งในพันทิปค่ะ ขออภัยที่เราจำชื่อล็อกอินไม่ได้ และขอขอบคุณมา ณ ที่นี้นะคะ)
"อยากให้เค้าถึงบ้านแล้วโทรบอกเราสักหน่อย โดยเราใช้คำว่า "เป็นห่วง" แต่จริงๆแล้วมันก็แค่สนองกิเลสเรา
ที่อยากให้เค้ารายงานตัว เท่านั้นเอง
ลองปรับที่ตัวเองก่อน เช่นว่า เค้าจะทำอะไร จะโทรไม่โทร.. ธรรมชาติของเค้า อย่าไปคิดเยอะ ปรุงแต่งมาก
เพราะที่เราทุกข์เนี่ยนะ เพราะเกิดจากความคิดของเราเองล้วนๆ มองดูใจตัวเองตอนมันดิ้น ไม่ได้อย่างใจ
แล้วเราจะรู้ว่า เออนะ เอาแต่ใจจริงวุ้ย!!
สำหรับบางคู่ที่หมดรักแล้ว ไม่ใช่ว่าจะกลับมารักอีกไม่ได้ แต่ถ้าจะกลับมารักอีกได้เราต้องไม่ใช่คนแบบเดิมๆ
มีคนบอกว่า "ถ้าเราทำเหตุแบบเดิมๆ ผลที่ได้มันก็ได้แบบเดิมๆ" ต่อให้คนรักกลับมาคืนดี แต่เราเป็นแบบเดิม
สุดท้าย ผลมันก็จะเป็นแบบเดิมนั่นเอง
สำคัญมากคือกลับมารักตัวเองก่อน ให้ความสำคัญ ให้คุณค่ากับตัวเองก่อน เค้าจะทำอะไร ไม่ทำอะไร
ความสุขของเรามันไม่ได้ไปผูกติดอยู่ที่เค้า เราก็มีความสุขเองได้
การลองปรับตัวแบบนี้.. ทั้งหมดก็เพื่อตัวเราเอง เค้าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือไม่กลับมาก็ว่ากันไป
อย่างน้อยๆเมื่อมีความรักอีกครั้ง มันจะดีกว่าที่เคยเป็นมาแน่นอน"
- พุทธศาสนามองว่าความรักมีสองประเภท (บางส่วนของข้อความ : พระไพศาล วิสาโล)
"กล่าวคือ ประเภทหนึ่งเป็นความรักที่มีความยึดมั่น ถือมั่นเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเพื่อตอบสนองตัวตน
หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตันตน เราเรียกว่า "สิเนหะ หรือเสน่หา"
เป็นความรักที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่า รักแบบมีเงื่อนไข เช่น ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน
ความรักอีกประเภทหนึ่งเป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตน
เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่า "เมตตา"
ความรักที่เจือด้วยกิเลส ที่ยังผูกติดกับเรื่องตัวตน ที่จริงแล้วเราไม่ได้รักสิ่งนั้นอย่างจริงจังหรอก
เรารักตัวเรา แต่เนื่องจากสิ่งนั้นให้ความสุขเรา ปรนเปรอเรา เราเลยผูกใจ ปรารถนาสิ่งนั้น
แต่เมื่อใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่ได้เป็นไปดั่งใจหวัง ไม่พะเน้าพะนอเรา ไม่ปรนเปรอเรา เราก็เกลียด ผิดหวัง เสียใจ
ถ้าเข้าใจความรักและรักอย่างมีเมตตา ต่อให้เราถูกคนรักทำร้ายจิตใจ หรือเขาเปลี่ยนแปลงไป
เราก็จะไม่เจ็บ ไม่ปวด หรือเจ็บปวดน้อยที่สุด ด้วยความที่เรามีเมตตานั่นเอง"
- ถ้าจำเป็นต้องอยู่กับคู่ชีวิตที่เราหมดศรัทธา หมดรัก หมดใจ
(*สำหรับภรรยา หรืออาจจะเป็นคู่รักทั้งหญิงหรือชายก็ได้ ลองปรับใช้ดูนะคะ : ข้อความจากเว็บยะฮู รอบรู้ค่ะ)
ถ้าหมดรัก หมดใจแล้ว แต่ยังจำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน เพราะเหตุผลใดๆก็ตาม ถ้าคุณต้องการความสงบสุข และจะไม่ทุกข์ไปกว่านี้ แต่อาจมีโอกาสจุดไฟรักให้ลุกเพลิงขึ้นมาใหม่เหมือนเมื่อเดิมหรือดีกว่าเดิมอีกก็ได้ถ้าคุณต้องการเช่นนั้น ขอออกความคิดเห็นและให้คำแนะนำดังนี้ว่า
1. ให้คุณจับเข่าคุยกับคู่ชีวิต พูดคุยอย่างสงบและอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ปิดบังความรู้สึกแท้ๆของคุณเลย เพื่อให้เขาได้รับรู้ไว้ ขออย่าให้ความผิดพลาดในอดีตเป็นโซ่ล่ามชีวิตคุณทั้งสองไว้ สิ่งที่คุณจะทำจากนี้ไปก็สำคัญมากกว่าสิ่งที่เกิดในอดีต ถ้าคุณทั้งสองจะปรับความเข้าใจกันได้ คงจะมีผลดีมากกว่าผลเสีย
2. คุณทั้งสองควรจะต้องรู้ว่า ความต้องการของผู้ชายและของผู้หญิงนั้นไม่เหมือนกัน สิ่งที่ผู้ชายต้องการมากที่สุด มิใช่เซ็กส์ แต่คือเกียรติยศและศักดิ์ศรี จริงอยู่เขาคงชอบเซ็กส์ แต่การได้รับเกียรติก็ต้องมาก่อน ผู้หญิงต้องการความรัก ความใกล้ชิด ความทนุถนอม ความอบอุ่น ความมั่นคงปลอดภัย จากผู้เป็นสามี ถ้าเขาได้สิ่งเหล่านี้ เซ็กส์ถึงไหนถึงกันได้เสมอ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ อย่าหวังเข้าใกล้เลย ไม่อยากให้แตะต้องตัวด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้รับความรัก ก็หมดรักหมดใจไปด้วยอย่างที่คุณว่านั่นแหละ แต่ผู้ชายจะให้สิ่งนี้กับคุณหรือใครก็ไม่ได้ ถ้าคุณไม่มีศรัทธาในตัวเขา มองเขาไม่ขึ้น หรือไม่ให้เกียรติ หรือให้ความเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะไม่มีแรงให้ความรัก หรือเป็นผู้นำที่มีพลังไม่ได้เลย และในใจเขาจะมีแต่ความระทมขมขื่นตลอดเวลา แต่พูดไม่ออก เพราะเขาอาจจะด้อยกว่าคุณ และต้องต่อสู้กับคุณอยู่เสมอไป คุณถามเขาได้ว่า ข้อคิดเห็นนี้เป็นความจริงหรือไม่? และเกี่ยวข้องกับปัญหาของคุณในขณะนี้หรือไม่? คุณทั้งสองจะรู้ดีที่สุด
3. เมื่อได้คุยกันแล้ว และให้อภัยกันแล้ว ในฐานะที่คุณกับเขายังต้องอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยากัน คุณยังยินดีที่จะทำหน้าที่เป็นศรีภรรยาที่ดีให้แก่เขา และเป็นแม่บ้านให้แก่เขาอย่างดีที่สุดโดยไม่วางเงื่อนไขใดๆสำหรับเขาเลย เขาจะเป็นคนชนิดใดก็ไม่สนไม่ว่าอะไร และยินดีให้เขาร่วมหลับนอนด้วย และมีเพศสัมพันธ์ตามปกติที่เขาต้องการได้เสมอ คุณจะไม่ปฏิเสธเขาเลย แม้ว่าจะฝืนความรู้สึกของสตรีโดยทั่วไป และให้เขาได้รับรู้ไว้อย่างนั้นด้วย คุณจะทำได้ไหม? ตรึกตรองดูให้ดีนะครับ ลองดูสักหกเดือน ลองดูว่า จะออกหัวหรือออกก้อยกันแน่
4. จากนี้ไป ไม่ต้องบอกสามีคุณให้รู้ แต่ทุกวันคุณก็อาบน้ำแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อยไม่ต้องฉุดฉาดอะไรแต่มีรสนิยมดี น่าดูน่ามอง ผมเผ้าสระและหวีให้เรัยบร้อยอยู่เสมอ รักษาอนามัยของร่างกายให้ดีไม่มีกลื่นตัวไดๆ ลงทุนซื้อโคโลญจ์กลิ่นหอมอ่อนๆฉีดนิดหน่อยที่อุ้งมือ แล้วลูบที่แขนและที่ลำคอพอที่จะให้ได้กลิ่นจางๆ เฉพาะเวลาเข้าใกล้ๆถึงตัวคุณจึงจะได้กลื่นนั้น ให้ทำอย่างนี้จนเป็นนิสัยไปตลอดชีวิตของคุณ และคุณจะกลายเป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างลึกซึ้งที่สุด ถ้าสามีคนนี้ตาถั่วตาบอดก็แล้วไป ถ้าตายังใสอยู่ ในไม่ช้า ตาเขาจะมีประกายดาวระยิบระยับเต็มไปหมด ไม่งั้น คิดว่าฝึกไว้สำหรับแฟนคนต่อไปก็แล้วกันนะ ไม่เสียหายอะไร มิใช่หรือ?
แต่ลองให้โอกาสตัวคุณและกับสามีคนนี้ก่อนไปสักหกเดือน ขีดปฏิทินไว้ทุกวันก็ได้ ไม่นาน ใจรักที่ดีกว่าเก่า อาจจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งก็ได้
...............................................................................................................................................
สุดท้าย เมื่อมาถึงจุดหนึ่งเราก็ดึงใจให้กลับมารักตัวเอง มีสติและกลับมาเป็นเราคนเดิมที่อยู่ได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง ไม่ยึดติดใครมากเกินไป
ได้เปลี่ยนมุมมอง ปรับตัว และรู้จักข้อผิดพลาด รู้จักถนอมความรัก ไม่ทิ้งขว้างมันอีก
และทำให้ได้รู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว "ความทุกข์จริงๆอายุสั้น แต่เรามักยืดอายุมันโดยการคิดวนเวียนซ้ำซาก"
หวังว่าข้อความของเราคงช่วยอะไรได้บ้างไม่มากก็น้อยนะ
ใครที่กำลังมีช่วงเวลาเลวร้าย หรือกำลังมีปัญหาที่เกิดมาจากความรัก เราขอให้ทุกคนผ่านมันไปได้ด้วยดีค่ะ
หรือใครอยากระบายอะไร ก็เล่าสู่กันฟังได้นะ ช่วยกันๆ
**ปล. ขออนุญาตเข้ามาอีดิทเพิ่มนะคะ เพราะเพิ่งเห็นว่าขึ้นเป็นกระทู้แนะนำทั้งห้องสยาม และห้องชานเรือน ที่เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวค่ะ