ผมนั้นเห็นบ่อยๆ เวลามีกระทู้เกี่ยวกับปัญหาความรักมักจะมีคนยกประโยคที่ว่า "ผู้ชายเริ่มจาก 100 ไป 0 ผู้หญิงเริ่มจาก 0 ไป 100" มาใช้กันบ่อยๆ บางทีก็รู้สึกไม่ดีเพราะมันดูเป็นประโยคโจมตีที่เอียงเอนเข้าเพศใดเพศหนึ่งเกินไปหน่อย ทำให้สังคมบางส่วนมองเพศชายที่ถูกกล่าวหาในแง่ลบ ถ้าให้พูดกันจริงๆ ผมว่าความรักของคนทุกคนไม่ว่าจะชายหรือหญิงนั้น ต่างก็สามารถเพิ่มหรือลดกันได้เสมอขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่คนสองคนกำลังเผชิญอยู่ในขณะนั้น
ผมคิดว่าความรู้สึกของคนเรานั้นมีหลายระดับ ไม่ได้มีแต่ 0 กับ 100 แต่คนเรานั้นสามารถมีความรู้สึกที่หลากหลายกับคนอื่นๆได้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่รักกับไม่รักอย่างเดียว มันก็จริงอยู่ว่าเราไม่สามารถวัดปริมาณความรักเป็นตัวเลขที่แน่นอนกันได้ แต่ผมจะขอเทียบความรู้สึกต่างๆเป็นตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
ผมให้ 0 แทนความรู้สึกเฉยๆ
ผมให้ 50 แทนความรู้สึกชอบ
ผมให้ 100 แทนความรู้สึกรัก
ต่ำกว่า 0 คือเกลียดหรือมีอคติ
มากกว่า 100 คือหลง
จริงๆแล้วจุดเริ่มต้นของความรักมันมีได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นว่าใครต้องเริ่มรักใครก่อน มันก็มีทั้งแบบที่เริ่มต้นจาก 0 พร้อมๆกัน แล้วค่อยๆพัฒนาศึกษานิสัยใจคอกันไปแล้วกลายเป็นความรักด้วยกันทั้งคู่ กรณีนี้จะเห็นได้จากกรณีของเพื่อนสนิทที่คบกันมานานๆ จากคนไม่รูจักเปลี่ยนมาเป็นเพื่อน จากเพื่อนมาเป็นแฟน จากแฟนก็แต่งงานกินอยู่ด้วยกัน คือทั้งคู่ต่างก็เริ่มจาก 0 แล้วก็ค่อยๆขยับขยายพัฒนากันไปเรื่อยๆ จนถึง 100 ดังนั้นมันก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะเริ่มจาก 100 ไป 0 เหมือนกันเริ่ม 0 ไป 100 พร้อมๆกันก็มี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พบเจอความรักแบบนี้ล่ะนะ
ทีนี้ลองมาพูดถึงความสัมพันธ์ที่พบเจอกันได้บ่อยๆในสังคมดีกว่า อย่างเช่นการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ที่คนแทบทุกคนต้องเคยพบเคยเจอกันมาบ้าง สักครั้งสองครั้งหรืออาจจะหลายๆครั้งในชีวิต บางคนก็เคยเป็นฝ่ายรุก บางคนก็เคยเป็นฝ่ายรับ บางคนก็เคยทั้งรุกและรับผลัดกันมาก็มี (นี่กำลังพูดถึงความรัก ญ-ช อยู่นะ จริงๆก็หมายถึง ช-ช ญ-ญ ด้วยน่ะแหละ แต่อย่าคิดลึก)
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินคำว่า First Impression หรือ "รักแรกพบ" ซึ่งเป็นคำอธิบายสิ่งที่ทำให้เราเกิดถูกใจใครสักคนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จนเกิดความคิดที่ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์กับคนๆนั้น คำถามคือคำว่ารักแรกพบนี่มันเป็นความรักตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า ผมว่าไม่มีใครรักใครได้ตั้งแต่แรกเจอหรอกครับ นอกเสียจากคนที่แยกระหว่างความรักกับความชอบไม่ออก เหมือนผู้ชายเจอผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นเอ็กซ์ นมโต แล้วอยากได้มาครอบครอง เลยเข้าไปจีบ ถามว่าผู้ชายคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นหมดใจไหม ความจริงคือมันไม่ได้รักด้วยซ้ำ มันมีแต่ความพึงพอใจในรูปร่างภายนอก หรือบางทีก็แค่อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วจบไป ส่วนมันจะสนใจภายในลึกๆของผู้หญิงคนนั้นไหม มันก็อีกเรื่องนึง ในกรณีของผู้หญิงทั่วไปก็เช่นกันครับ การที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการที่จะเริ่มต้นจีบผู้หญิงสักคน มันก็เริ่มจากความสนใจจากภายนอกทั้งนั้น แม่แต่กรณีของผู้หญิงชอบผู้ชายก็เช่นกัน เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าข้างในคนเราเป็นอย่างไรตั้งแต่แรกเห็น บางคนที่เจอกันแปปๆแล้วบอกว่าใช่ ส่วนใหญ่ก็ใช่แต่ภายนอกทั้งนั้นแหละ คบกันจริงๆ ได้รู้จักถึงนิสัยใจคอแล้วพึ่งมารู้ว่าไม่ใช่ก็เยอะ ความสัมพันธ์ในลักษณะของการจีบกัน มันจึงมักจะเริ่มจากความชอบเสมอ ชอบที่หน้าตา ชอบที่รูปร่าง ชอบวิธีการพูด ชอบน้ำเสียง หรืออะไรก็แล้วแต่ กว่าจะรู้จักนิสัยใจคอกันจริงๆจนมันกลายเป็นความรักจริงๆได้ก็ตอนที่คบกันไปแล้ว
สังคมไทยเรามันเป็นสังคมที่ผู้ชายมักจะเป็นฝ่ายเข้าหาผู้หญิงก่อน ผู้ชายมีหน้าที่ต้องคอยหาทางเอาใจเทคแคร์ผู้หญิงจนถึงระดับนึงแล้วจึงจะมีโอกาสได้คบกัน การที่ผู้ชายจะสามารถเข้าถึงผู้หญิงสักคนเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอกันได้ก็มักจะต้องอยู่ในจุดที่ผู้หญิงคนนั้นรับผู้ชายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอแล้ว เราจึงมักจะเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในสังคมเรามักจะเริ่มต้นเข้าหาผู้หญิงสักคนในปริมาณที่มากกว่าอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาความรู้สึกของเธอให้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในปริมาณที่เท่ากัน ถ้าคิดเป็นตัวเลขตามที่บอกไว้ข้างต้นคือผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นจาก 30-50 ส่วนผู้หญิงมักจะเริ่มจาก 0 หน้าที่ของผู้ชายคือการทำอะไรก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นพัฒนาจาก 0 เป็น 50 - 100 เพื่อสร้างโอกาสคบหาดูใจให้กับตัวเอง ถ้านิสัยใจคออีกฝ่ายมันโอเคเข้ากับตัวเอง ก็อาจจะพัฒนาความรู้สึกของตัวเองจาก 50 - 100 ได้ ในขณะเดียวกัน หากพบว่านิสัยใจคอผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบที่ตัวคิด ความรู้สึกอาจจะค่อยๆลดลงจากเดิมได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้ชายจีบจนความรู้สึกของผู้หญิงเต็ม 100 เลยด้วยซ้ำถึงจะมีโอกาสได้ดูใจกันจริงๆ เพราะผู้หญิงไทยหลายๆคนคิดว่าการเป็นแฟนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูใจ แต่เป็นจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ ต้องรักเต็ม 100 เท่านั้นจึงจะเป็นได้ ซึ่งจริงๆผมว่าผู้หญิงที่คิดแบบนี้พลาดนะ เพราะการที่จะได้เห็นนิสัยใจคอที่แท้จริงของกันและกันที่ดีที่สุดคือช่วงหลังเป็นแฟนนี่แหละ พอเรารักเต็ม 100 แล้วคบกัน มันจะไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับเผื่อใจรักคนผิดแล้วแหละ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆว่าผู้ชายก่อนเป็นแฟนมักจะทำตัวดีแสนดี แต่หลังเป็นแฟนเลวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ชายมันไม่เคยเปลี่ยนไปหรอก แต่ตอนจีบกันมันต้องทำตัวดีกว่าปกติ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีโอกาสได้คบหาดูใจเลยด้วยซ้ำ
ตรงนี้อยากฝากให้ทุกคนคิดเอาไว้ให้ดี ความรักของคนเรามันไม่ได้มีแต่ 0 กับ 100 เป็นเหมือนเลขฐาน 2 ในคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ yes กับ no แต่มันสามารถเพิ่มลดได้อีกหลายขั้นหลายระดับมากมายนัก คนส่วนใหญ่มักจะตกม้าตายตรงนี้ เพราะมัวแต่หลงคิดว่าความรักนั้นมีแต่ 0 กับ 100 ถ้ารักแล้วรักแล้วต้องรักเลยตลอดไป ไม่มีเพิ่มลด จึงได้ไม่พยายามใส่ใจกันมากมายนักหลังจากที่ได้คบเป็นแฟนกัน บางทีการกระทำเล็กๆน้อยๆของเราที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ไม่สบายใจ มันก็กลายเป็นความรู้สึกด้านลบที่ค่อยๆสะสมก่อตัวใหญ่ขึ้นในจิตใจของอีกฝ่ายมาเป็นดาบสองคมมาทำร้ายเราได้เหมือนกัน
ผู้ชายเริ่มจาก 100 ไป 0 ส่วนผู้หญิงนั้นเริ่มจาก 0 ไป 100 จริงหรือ ?
ผมคิดว่าความรู้สึกของคนเรานั้นมีหลายระดับ ไม่ได้มีแต่ 0 กับ 100 แต่คนเรานั้นสามารถมีความรู้สึกที่หลากหลายกับคนอื่นๆได้ ไม่ใช่ว่าจะมีแต่รักกับไม่รักอย่างเดียว มันก็จริงอยู่ว่าเราไม่สามารถวัดปริมาณความรักเป็นตัวเลขที่แน่นอนกันได้ แต่ผมจะขอเทียบความรู้สึกต่างๆเป็นตัวเลขเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ
ผมให้ 0 แทนความรู้สึกเฉยๆ
ผมให้ 50 แทนความรู้สึกชอบ
ผมให้ 100 แทนความรู้สึกรัก
ต่ำกว่า 0 คือเกลียดหรือมีอคติ
มากกว่า 100 คือหลง
จริงๆแล้วจุดเริ่มต้นของความรักมันมีได้หลายรูปแบบ ไม่จำเป็นว่าใครต้องเริ่มรักใครก่อน มันก็มีทั้งแบบที่เริ่มต้นจาก 0 พร้อมๆกัน แล้วค่อยๆพัฒนาศึกษานิสัยใจคอกันไปแล้วกลายเป็นความรักด้วยกันทั้งคู่ กรณีนี้จะเห็นได้จากกรณีของเพื่อนสนิทที่คบกันมานานๆ จากคนไม่รูจักเปลี่ยนมาเป็นเพื่อน จากเพื่อนมาเป็นแฟน จากแฟนก็แต่งงานกินอยู่ด้วยกัน คือทั้งคู่ต่างก็เริ่มจาก 0 แล้วก็ค่อยๆขยับขยายพัฒนากันไปเรื่อยๆ จนถึง 100 ดังนั้นมันก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนแล้วว่า ไม่ใช่ผู้ชายทุกคนที่จะเริ่มจาก 100 ไป 0 เหมือนกันเริ่ม 0 ไป 100 พร้อมๆกันก็มี แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้พบเจอความรักแบบนี้ล่ะนะ
ทีนี้ลองมาพูดถึงความสัมพันธ์ที่พบเจอกันได้บ่อยๆในสังคมดีกว่า อย่างเช่นการที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ผมว่าความสัมพันธ์แบบนี้เป็นความสัมพันธ์ที่คนแทบทุกคนต้องเคยพบเคยเจอกันมาบ้าง สักครั้งสองครั้งหรืออาจจะหลายๆครั้งในชีวิต บางคนก็เคยเป็นฝ่ายรุก บางคนก็เคยเป็นฝ่ายรับ บางคนก็เคยทั้งรุกและรับผลัดกันมาก็มี (นี่กำลังพูดถึงความรัก ญ-ช อยู่นะ จริงๆก็หมายถึง ช-ช ญ-ญ ด้วยน่ะแหละ แต่อย่าคิดลึก)
หลายๆคนคงจะเคยได้ยินคำว่า First Impression หรือ "รักแรกพบ" ซึ่งเป็นคำอธิบายสิ่งที่ทำให้เราเกิดถูกใจใครสักคนตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน จนเกิดความคิดที่ต้องการจะสร้างความสัมพันธ์กับคนๆนั้น คำถามคือคำว่ารักแรกพบนี่มันเป็นความรักตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า ผมว่าไม่มีใครรักใครได้ตั้งแต่แรกเจอหรอกครับ นอกเสียจากคนที่แยกระหว่างความรักกับความชอบไม่ออก เหมือนผู้ชายเจอผู้หญิงหน้าตาดี หุ่นเอ็กซ์ นมโต แล้วอยากได้มาครอบครอง เลยเข้าไปจีบ ถามว่าผู้ชายคนนั้นรักผู้หญิงคนนั้นหมดใจไหม ความจริงคือมันไม่ได้รักด้วยซ้ำ มันมีแต่ความพึงพอใจในรูปร่างภายนอก หรือบางทีก็แค่อยากมีเพศสัมพันธ์ด้วยแล้วจบไป ส่วนมันจะสนใจภายในลึกๆของผู้หญิงคนนั้นไหม มันก็อีกเรื่องนึง ในกรณีของผู้หญิงทั่วไปก็เช่นกันครับ การที่ผู้ชายคนหนึ่งต้องการที่จะเริ่มต้นจีบผู้หญิงสักคน มันก็เริ่มจากความสนใจจากภายนอกทั้งนั้น แม่แต่กรณีของผู้หญิงชอบผู้ชายก็เช่นกัน เพราะเราไม่มีทางรู้ได้ว่าข้างในคนเราเป็นอย่างไรตั้งแต่แรกเห็น บางคนที่เจอกันแปปๆแล้วบอกว่าใช่ ส่วนใหญ่ก็ใช่แต่ภายนอกทั้งนั้นแหละ คบกันจริงๆ ได้รู้จักถึงนิสัยใจคอแล้วพึ่งมารู้ว่าไม่ใช่ก็เยอะ ความสัมพันธ์ในลักษณะของการจีบกัน มันจึงมักจะเริ่มจากความชอบเสมอ ชอบที่หน้าตา ชอบที่รูปร่าง ชอบวิธีการพูด ชอบน้ำเสียง หรืออะไรก็แล้วแต่ กว่าจะรู้จักนิสัยใจคอกันจริงๆจนมันกลายเป็นความรักจริงๆได้ก็ตอนที่คบกันไปแล้ว
สังคมไทยเรามันเป็นสังคมที่ผู้ชายมักจะเป็นฝ่ายเข้าหาผู้หญิงก่อน ผู้ชายมีหน้าที่ต้องคอยหาทางเอาใจเทคแคร์ผู้หญิงจนถึงระดับนึงแล้วจึงจะมีโอกาสได้คบกัน การที่ผู้ชายจะสามารถเข้าถึงผู้หญิงสักคนเพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอกันได้ก็มักจะต้องอยู่ในจุดที่ผู้หญิงคนนั้นรับผู้ชายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเธอแล้ว เราจึงมักจะเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่ในสังคมเรามักจะเริ่มต้นเข้าหาผู้หญิงสักคนในปริมาณที่มากกว่าอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาความรู้สึกของเธอให้เพิ่มขึ้นมาอยู่ในปริมาณที่เท่ากัน ถ้าคิดเป็นตัวเลขตามที่บอกไว้ข้างต้นคือผู้ชายส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นจาก 30-50 ส่วนผู้หญิงมักจะเริ่มจาก 0 หน้าที่ของผู้ชายคือการทำอะไรก็ได้ให้ผู้หญิงคนนั้นพัฒนาจาก 0 เป็น 50 - 100 เพื่อสร้างโอกาสคบหาดูใจให้กับตัวเอง ถ้านิสัยใจคออีกฝ่ายมันโอเคเข้ากับตัวเอง ก็อาจจะพัฒนาความรู้สึกของตัวเองจาก 50 - 100 ได้ ในขณะเดียวกัน หากพบว่านิสัยใจคอผู้หญิงไม่ได้เป็นแบบที่ตัวคิด ความรู้สึกอาจจะค่อยๆลดลงจากเดิมได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ผู้ชายจีบจนความรู้สึกของผู้หญิงเต็ม 100 เลยด้วยซ้ำถึงจะมีโอกาสได้ดูใจกันจริงๆ เพราะผู้หญิงไทยหลายๆคนคิดว่าการเป็นแฟนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูใจ แต่เป็นจุดสูงสุดของความสัมพันธ์ ต้องรักเต็ม 100 เท่านั้นจึงจะเป็นได้ ซึ่งจริงๆผมว่าผู้หญิงที่คิดแบบนี้พลาดนะ เพราะการที่จะได้เห็นนิสัยใจคอที่แท้จริงของกันและกันที่ดีที่สุดคือช่วงหลังเป็นแฟนนี่แหละ พอเรารักเต็ม 100 แล้วคบกัน มันจะไม่มีที่ว่างเหลือสำหรับเผื่อใจรักคนผิดแล้วแหละ มันเลยกลายเป็นสิ่งที่เห็นได้บ่อยๆว่าผู้ชายก่อนเป็นแฟนมักจะทำตัวดีแสนดี แต่หลังเป็นแฟนเลวเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งที่จริงๆแล้วผู้ชายมันไม่เคยเปลี่ยนไปหรอก แต่ตอนจีบกันมันต้องทำตัวดีกว่าปกติ ถ้าไม่ทำ ก็ไม่มีโอกาสได้คบหาดูใจเลยด้วยซ้ำ
ตรงนี้อยากฝากให้ทุกคนคิดเอาไว้ให้ดี ความรักของคนเรามันไม่ได้มีแต่ 0 กับ 100 เป็นเหมือนเลขฐาน 2 ในคอมพิวเตอร์ที่มีแต่ yes กับ no แต่มันสามารถเพิ่มลดได้อีกหลายขั้นหลายระดับมากมายนัก คนส่วนใหญ่มักจะตกม้าตายตรงนี้ เพราะมัวแต่หลงคิดว่าความรักนั้นมีแต่ 0 กับ 100 ถ้ารักแล้วรักแล้วต้องรักเลยตลอดไป ไม่มีเพิ่มลด จึงได้ไม่พยายามใส่ใจกันมากมายนักหลังจากที่ได้คบเป็นแฟนกัน บางทีการกระทำเล็กๆน้อยๆของเราที่ทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ไม่สบายใจ มันก็กลายเป็นความรู้สึกด้านลบที่ค่อยๆสะสมก่อตัวใหญ่ขึ้นในจิตใจของอีกฝ่ายมาเป็นดาบสองคมมาทำร้ายเราได้เหมือนกัน