ก่อนศึกษาเรื่อง การปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ของพระพุทธเจ้า เราจำเป็นต้องรู้จักหลักพื้นฐานในการศึกษาก่อน เราจึงจะศึกษาได้ถูกต้อง ถ้าไม่รู้จักก็จะศึกษาผิด เมื่อศึกษาผิดจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดจะทำให้การปฏิบัติผิดตามไปด้วย และเมื่อปฏิบัติผิด จะทำให้ความทุกข์ไม่ลดลง หรือไม่หายไปได้จริง ซึ่งหลักในการศึกษา เรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ของพระพุทธเจ้านี้ ก็เหมือนกับหลักวิทยาศาสตร์ อันได้แก่
๑. มุ่งตรงสู่การปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ คือเราจะศึกษาเฉพาะเรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์เท่านั้น จะไม่ศึกษาเรื่องอื่น ที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ โดยเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษานี้ก็สรุปอยู่ที่ (๑) เรื่องประวัติของพระพุทธเจ้า (๒) เรื่องสมาธิสูงๆ (๓) เรื่องกรรมและการรับผลกรรม และ (๔) เรื่องที่ผู้คนทั่วไปอยากรู้ เช่น ใครสร้างโลก? โลกมีวันดับสิ้นหรือไม่? ตายแล้วเป็นอย่างไร? และเรื่องความรู้ของชาวโลกทั้งหลาย เป็นต้น
๒. ศึกษาจากสิ่งที่เรามีอยู่จริง คือเราจะศึกษาจาก ร่างกายและจิตใจ ของเราเองในปัจจุบัน ขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะ และความทรงจำดีอยู่ นี้เท่านั้น เราจะไม่ศึกษา สิ่งที่เราไม่สามารถรับรู้ หรือ สัมผัสได้จริง ในปัจจุบัน
๓. ศึกษาโดยใช้เหตุผลจากสิ่งที่เรามีอยู่จริง คือเราจะใช้สิ่งที่เรามีอยู่จริง ในร่างกายและจิตใจ ของเราเองนี้ มาค้นหาเหตุและผลของมัน อย่างลึกซึ้ง และ ละเอียดถี่ถ้วน เราจะไม่ใช้ความเชื่อจากใครๆ หรือจากตำราใดๆ มาใช้เป็นเหตุผลในการศึกษา เพราะความเชื่อจากคนอื่น หรือจากตำรานั้น ยังอาจจะมีความผิดเพี้ยนมาก่อนได้ทั้งสิ้น ถ้าเราเชื่อคนอื่นหรือเชื่อตำรา เราก็อาจจะได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
๔. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือเราศึกษาจากพื้นฐานก่อน แล้วค่อยๆแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างเป็นระเบียบ และมีหลักการที่ตายตัว รวมทั้งมีจุดหมายที่ชัดเจน
๕. เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น คือเราจะไม่เชื่อว่า คำสอนของใคร หรือทฤษฎีใด ถูกต้องหรือเป็นจริง จนกว่าเราจะได้มีการพิสูจน์ หรือทดลอง จนเห็นผลจริง อย่างแน่ชัดก่อนเท่านั้น
สรุปแล้วหลักพื้นฐานพุทธศาสนาก็คือ “การทำความคิดให้เป็นอิสระ ไม่ยึดติดในความเชื่อใดๆ แล้วมาตั้งใจศึกษา จากร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน” ถ้าเราปฏิบัติตามหลักพื้นฐานนี้อย่างเคร่งครัดและจริงจัง เราก็จะสามารถค้นพบคำสอนที่แท้จริง เรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ ของพระพุทธเจ้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อคนอื่นหรือเชื่อตำราใดๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานนี้อย่างเคร่งครัดและจริงจัง เราก็จะไม่ได้พบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
หลักพื้นฐานพุทธศาสนา
๑. มุ่งตรงสู่การปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ คือเราจะศึกษาเฉพาะเรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์เท่านั้น จะไม่ศึกษาเรื่องอื่น ที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ โดยเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษานี้ก็สรุปอยู่ที่ (๑) เรื่องประวัติของพระพุทธเจ้า (๒) เรื่องสมาธิสูงๆ (๓) เรื่องกรรมและการรับผลกรรม และ (๔) เรื่องที่ผู้คนทั่วไปอยากรู้ เช่น ใครสร้างโลก? โลกมีวันดับสิ้นหรือไม่? ตายแล้วเป็นอย่างไร? และเรื่องความรู้ของชาวโลกทั้งหลาย เป็นต้น
๒. ศึกษาจากสิ่งที่เรามีอยู่จริง คือเราจะศึกษาจาก ร่างกายและจิตใจ ของเราเองในปัจจุบัน ขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะ และความทรงจำดีอยู่ นี้เท่านั้น เราจะไม่ศึกษา สิ่งที่เราไม่สามารถรับรู้ หรือ สัมผัสได้จริง ในปัจจุบัน
๓. ศึกษาโดยใช้เหตุผลจากสิ่งที่เรามีอยู่จริง คือเราจะใช้สิ่งที่เรามีอยู่จริง ในร่างกายและจิตใจ ของเราเองนี้ มาค้นหาเหตุและผลของมัน อย่างลึกซึ้ง และ ละเอียดถี่ถ้วน เราจะไม่ใช้ความเชื่อจากใครๆ หรือจากตำราใดๆ มาใช้เป็นเหตุผลในการศึกษา เพราะความเชื่อจากคนอื่น หรือจากตำรานั้น ยังอาจจะมีความผิดเพี้ยนมาก่อนได้ทั้งสิ้น ถ้าเราเชื่อคนอื่นหรือเชื่อตำรา เราก็อาจจะได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนตามไปด้วยโดยไม่รู้ตัว
๔. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือเราศึกษาจากพื้นฐานก่อน แล้วค่อยๆแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างเป็นระเบียบ และมีหลักการที่ตายตัว รวมทั้งมีจุดหมายที่ชัดเจน
๕. เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วเท่านั้น คือเราจะไม่เชื่อว่า คำสอนของใคร หรือทฤษฎีใด ถูกต้องหรือเป็นจริง จนกว่าเราจะได้มีการพิสูจน์ หรือทดลอง จนเห็นผลจริง อย่างแน่ชัดก่อนเท่านั้น
สรุปแล้วหลักพื้นฐานพุทธศาสนาก็คือ “การทำความคิดให้เป็นอิสระ ไม่ยึดติดในความเชื่อใดๆ แล้วมาตั้งใจศึกษา จากร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน” ถ้าเราปฏิบัติตามหลักพื้นฐานนี้อย่างเคร่งครัดและจริงจัง เราก็จะสามารถค้นพบคำสอนที่แท้จริง เรื่องการปฏิบัติเพื่อไม่มีทุกข์ ของพระพุทธเจ้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อคนอื่นหรือเชื่อตำราใดๆ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามหลักพื้นฐานนี้อย่างเคร่งครัดและจริงจัง เราก็จะไม่ได้พบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า