กลางสายฝน ตอนที่ 1 (ต่อจากบทนำค่ะ)

กระทู้สนทนา
หญิงสาวก้าวลงจากรถแท็กซี่พร้อมกับรีบวิ่งเข้าบ้านชั้นเดียวหลังเล็กของเธออย่างรวดเร็ว พร้อมๆกับยกช่อดอกไม้ที่ได้มาบังฝนไม่ให้ตกลงมาโดนส่วนบนของร่างกายมากนัก แต่ด้วยฝนที่ยังตกหนักสม่ำเสมอตั้งแต่ที่เธอออกจากโรงแรม ก็ทำให้เธอเปียกไปไม่น้อย แม้ว่าจากรถแท็กซี่มายังตัวบ้านจะใช้เวลาไม่ถึงนาทีดีก็ตาม เธอถอนหายใจพรืดกับสภาพเปียกปอน ยัยเจ๊จะต้อง บ่น บ่น แล้วก็บ่นเธออีกหลายยกแน่ๆ

ชาลีถอดรองเท้าส้นเตี้ย ก่อนจะจับมันวางไว้ที่ชั้นวางรองเท้าในส่วนของเธอแล้วเปิดประตูเดินเข้าไปในบ้านด้วยการค่อยๆเอาเท้าแตะพื้นเบาๆ ถึงแม้จะรู้ว่ายัยเจ๊ของเธอคงไม่มาดักรอเธออยู่แถวนี้แน่ๆ และป่านนี้ก็คงจะอาบน้ำนอนแล้ว แต่ก็ต้องรอบคอบไว้ก่อน ... อย่างน้อยถ้าไม่โดนบ่นก็ยังดีกว่า
เมื่อค่อยๆเดินขึ้นมาจนถึงห้องนอนของตัวเอง ชาลีก็ถอนหายใจฟู่อย่างโล่งอก ก่อนจะรีบจัดการเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง แล้วเดินไปเคาะประตูห้อง ชาร์ม พี่สาวคนเดียวของเธอ เพราะตอนเดินขึ้นมาเธอเห็นว่าห้องที่อยู่ข้างๆซึ่งเป็นห้องของเจ๊ชาร์มยังเปิดไฟอยู่นั่นเองรออยู่ไม่นาน ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับเจ้าของห้องในชุดนอนลายจุดเหมือนกับเธอ ชาลียิ้มกว้างๆก่อนจะเดินตามเข้ามาในห้อง

“ปิดประตูด้วยชาลี”

“รับทราบ”
ชาลีรับคำ ก่อนจะจัดการปิดประตูตามหลัง แล้วเดินไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงพี่สาว

“ไปงานแต่งเพื่อนมาเป็นไงมั่งล่ะ”

“ก็ดีอ่ะแก ได้เจอเพื่อนที่คณะเยอะแยะ”

“ก็ดีแล้วย่ะ นี่งานฉันยังไม่เสร็จเลยจ๊า”
ชาร์มชี้ไปที่เอกสารต่างๆที่กองอยู่บนโต๊ะทำงานอย่างเหนื่อยใจ

“คราวนี้จะทำข่าวใครอีกล่ะ ถึงได้หน้าดำเคร่งเครียดทั้งวันทั้งคืน แถมยังเบี้ยวไม่ไปงานแต่งเพื่อนฉันอีก”
ชาลีมองผ่านพี่สาวที่เป็นนักข่าวคนเก่งของสำนักพิมพ์เลื่องชื่อ ไปยังกองเอกสารที่พี่สาวเธอเอาวางไว้บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะเห็นว่ามีรูปของใครคนหนึ่งแพลมออกมาจากเอกสารมากมายที่กองทับกันอยู่ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นแหล่งข่าวใหม่ของพี่เธอ

“คนนี้ไม่ธรรมดา..เธอไม่ยอมให้นักข่าวสัมภาษณ์เลยซักคน ถือตัวน่าดู”

“เธอ? ผู้หญิงเหรอเจ๊”

“ใช่ ไฮโซน่ะ เป็นจิตรกรชื่อดัง”
คนเป็นพี่ว่าแล้วก็ต้องถอนหายใจพรืดอีกครั้ง หลังจากมัวแต่ค้นหาข้อมูลของเธอมาทั้งวัน แต่ก็มีอยู่แทบจะน้อยมาก เพราะแหล่งข่าวของเธอนั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยจะออกงานสังคม หรือถ้าออก ก็น้อยมากและเธอไม่เคยให้สัมพาษณ์มาก่อน ถ้าเธอได้ทำข่าวคนแรกล่ะก็..ได้เลื่อนตำแหน่งก็คราวนี้ล่ะ!

“สงสัยจะยากจริงแฮะ แต่อย่าเครียดไปหน่อยเลย เดี๋ยวก็มีทางออก แกเก่งจะตาย”

“เออ เดี๋ยวก็คงจะมีทางออก แล้วนี่ข้างนอกฝนตกเหรอ”

“อือ เพิ่งตกตอนฉันออกจากงานเนี่ย”
ผู้เป็นน้องสาวตอบเนือยๆ ก่อนจะนอนแผ่หลาแอ้งแม้งลงบนเตียงตบพุงตัวเองเล่นไปมา

“แล้วตากฝนรึเปล่า”สายตาคมจดจ้องไปยังยัยน้องสาวตัวดี

“โนวๆๆ ไม่เปียกเลยซักนิด”

“งั้นก็ดีละ ไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องไปทำงานนี่” เนื่องจากน้องสาวของเธอทำงานบริษัท จึงมีวันหยุดไม่เหมือนนักข่าวแบบเธอนั่นเอง

“ขอนอนด้วยคนสิ”
น้องสาวส่งสายตาอ้อน ตามแบบฉบับ

“ไม่ได้ โตแล้วนะเว้ย”

“น่านะ ให้ฉันนอนเถอะ แล้วจะบอกความลับให้รู้หนึ่งเรื่อง”

“ความลับอะไรยะ”

“รับปากก่อนว่าจะให้ฉันนอนด้วย แล้วจะบอก”
ชาลียิ้มตาหยี เพราะรู้อยู่แล้วว่าเจ๊ชามต้องอนุญาตแน่นอน

“เออๆ มีอะไรก็ว่ามาเถอะ”
คนเป็นพี่ทำปากจิ้จ้ะอย่างขัดใจคนที่ทำลีลานอนตีพุงอยู่บนเตียง และยังทำท่าครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น แม้ว่าเธอจะอนุญาตให้นอนด้วยแล้วก็ตาม
“เอ้า มีอะไรก็ว่ามาสิ ทำยึกยักลีลา เดี๋ยวก็ไล่กลับไปนอนคนเดียวซะนี่”

เมื่อเห็นว่าน้องสาวยังไม่มีทีท่าจะเอ่ยปากพูด ชาร์มจึงหันกลับไปวุ่นอยู่กับงานของตัวเองอีกครั้ง แต่ทว่าเมื่อกำลังหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งมาพิจารณาหาทางออก ยัยน้องสาวตัวแสบของเธอก็โพล่งออกมาก่อน

“คือ ฉันทำแว่นแกหายไปแล้ว” เมื่อพูดจบประโยคคนที่เพิ่งจะสารภาพเสร็จก็ทำเสียงฟุดฟิด พลางมองปฏิกิริยาของผู้เป็นพี่ไปด้วย ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงการทำรูปถ่ายในมือหล่นไปแบบสโลโมชั่นเท่านั้น

ชาลีมองตามภาพถ่ายที่หล่นไป ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาเมื่อมันปลิวมาอยู่แทบเท้า แล้วเดินไปวางไว้บนโต๊ะของผู้ที่ให้แว่นเธอมาที่ยังทำหน้าเหวออยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อีหรอบนี้คงจะโกรธเธอจริงๆเข้าซะแล้ว ในเมื่อแว่นนั้นพี่สาวเธอได้มาจากงานประมูลแว่นของนักร้องบอยแบนด์ชื่อดังของเกาหลี เพื่อนำมาให้เธอโดยเฉพาะ! แต่พี่สาวเธอน่าจะเสียดายกว่าเธอมากหน่อย เพราะนำเงินเก็บไปประมูลมาให้ในวันเกิดที่เพิ่งผ่านไปแค่อาทิตย์กว่าๆ

“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะเจ๊ มันโดนยึดไปเองนะ”

“โดนใครยึด!?”

“ไม่รู้”เธอตอบตามความจริง

“เอ้า!!!”
เมื่อพี่สาวตั้งท่าจะแหว สายตาของชาลีก็เพิ่งสังเกตเห็นบุคคลในรูปที่พี่สาวเธอเพิ่งทำหล่นเสียก่อน เจ้าของตาชั้นเดียวเบิกตาโตอย่างจำได้แม่น ผู้หญิงในรูปคือคุณคนสวยที่เธอเจอในงานแต่งของน้ำหนึ่งชัดๆ! โลกกลม โลกกลม โลกกลม เกินไปแล้ว แต่แบบนี้สิดี เธอจะได้ให้ยัยเจ๊ของเธอ..

“มองอะไร อย่ามาทำเฉไฉเลยนะ มันแพงมากนะเว้ย ยัยชาลี!”

“เจ๊…คนนี้ใครอ่ะ”
ชาลีชี้ๆไปที่รูปที่เธอวางอยู่บนโต๊ะ แววตามีความหวังขึ้นมาโข แต่ติดที่ว่าผู้เป็นพี่สาวไม่ได้สนใจยัยน้องสาวตัวดีซักนิด

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง ไปเอาคืนมาให้ได้ ไม่งั้นก็ไม่ต้องคุยกัน”

“โถ่! ก็กำลังหาวิธีเอาคืนอยู่เนี่ย บอกมาก่อนเหอะ ว่าคนในรูปคนนี้ใคร?”
ชาร์มมองหน้าน้องสาวอย่างไม่ค่อยจะเชื่อใจเท่าใดนักที่ว่ากำลังหาวิธีเอาแว่นที่เธอทุ่มทั้งกายทั้งเงินในการประมูลกลับมา แต่ก็ยอมเหลือบไปมองในสิ่งที่น้องสาวกำลังชี้อยู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปของแหล่งข่าวที่เธอกำลังตามข่าวอยู่

“ก็นี่ คุณเอวา วอร์ด ไฮโซคนดังที่ฉันกำลังตามข่าวอยู่ไง”

“เอวา วอร์ด งั้นเหรอ ไม่เห็นคุ้น”

“จะไปคุ้นได้ไงล่ะ เธอเคยให้ใครสัมพาษณ์ซะที่ไหน แถมอยู่ต่างประเทศซะส่วนใหญ่ แต่ช่วงนี้กลับมาเมืองไทย ข่าวว่า..กลับมาดูตัว”

“กลับมาดูตัว”
ชาลีพึมพำกับตัวเอง ก่อนที่ใบหน้าของแหล่งข่าวของพี่สาว กับผู้ชายที่เดินออกจากงานด้วยกัน จะแวบเข้ามาในความจำ หรือว่าจะเป็นผู้ชายคนนั้น…อืม คู่ควรกันจริงๆ

“แล้วแกจะถามทำไม”

“ก็คนนี้แหละ ที่ยึดแว่นฉันไป!”

“อย่ามาล้อเล่น!!” ชาร์มมองรูปถ่ายบนโต๊ะ สลับกับหน้าทะเล้นหาสาระไม่ค่อยมีของน้องสาวไปมาอย่างไม่เชื่อ

“ฉันไม่ได้ล้อเล่นนะ ก็คุณคนนี้แหละ ที่ยึดแว่นฉันไปในงานแต่งยัยน้ำ”

“ฮ้า! จริงอ่ะ????”

“ก็จริงน่ะซี่”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของน้องสาว ชามก็กลอกตาไปมาอย่างใช้ความคิด มันก็มีความเป็นไปได้ที่ เอวา จะไปงานแต่งงานน้ำหนึ่ง ที่เป็นลูกหลานไฮโซคนหนึ่งเหมือนกัน

“ถ้าอย่างนั้น แกก็ต้องไปขอแว่นคืนกับคุณเอวา”

“ใช่ ฉันต้องไปขออยู่แล้วล่ะ แต่ว่า ไหนๆแกก็ตามข่าวคุณ เอวัง เอวา อะไรนี่แล้ว แกก็ช่วยตามแว่นให้ฉันด้วย ก็เป็นอันเสร็จปัญหา! เยี่ยม เอาแบบนี้แหละ”

“ใครบอกว่าฉันจะเป็นคนไปตามแว่นให้แกยะ!”
ชาร์มแหวใส่ตัวต้นเรื่อง ลำพังงานขอสัมพาษณ์ยังยากเย็นขนาดนี้ จะมีปัญญาที่ไหนไปขอแว่นคืนจากพวกคนรวยเปล่านั้นกัน ไม่ไหวๆ

“เอ้า! แล้วใครจะไปตามให้ฉันล่ะ”

“ก็ใครเป็นเจ้าของแว่นล่ะ”

“แกไง!”
ชาลีโพล่งออกไปอย่างไม่ต้องคิด

“ของฉันที่ไหนล่ะ ฉันยกให้แกตอนอายุครบ 25 ปีของแกไปแล้วไง ยัยบ๊อง”

“แต่ฉันยังคิดไม่ออกเลยนี่นา ว่าจะหาทางเอาแว่นคืนยังไง”
หญิงสาวยัง เอาแต่ทำหน้างออยู่หน้าพี่สาว

“จะไปยากอะไร แกก็แค่หาทางไปเจอเขา แล้วก็ขอแว่นคืนดีๆ”

“ก็ได้ ฉันจะลองดู แต่ถ้าเอากลับมาไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“เหอะ ถ้าแกไม่ไปเอาแว่นราคามหาโหดของนักร้องเกาหลีของแกคืนนะ ฉันจะไม่ให้ของขวัญแกอีกตลอดชีวิตเลย นั่นมันเงินเก็บครึ่งหนึ่งของฉันเลยนะโว้ย!”
     ที่มันกินเงินเก็บของมนุษย์เงินเดือนอย่างเธอไปตั้งครึ่ง ก็เพราะเป็นของนักร้องคนดังขวัญใจน้องสาวของเธอ ที่นำมาประมูลเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าในเมืองไทย นั่นแหละ  ชาลีกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ เสียดายแว่นของโอปป้าอักษรย่อตัวเค ที่เธอถวายตัวเป็นแฟนคลับตั้งแต่ช่วงเรียนมหาวิทยาลัยก็เสียดายอยู่ แต่ผู้หญิงธรรมด้า ธรรมดา อย่างเธอนี่ จะไปขอพบไฮโซคนสวยคนนั้นได้ยังไงกัน! คิดแล้วน้ำก็ปริ่มๆตรงตา

“ก็ได้ ยังไงก็หาที่อยู่ของคุณเอวาให้ฉันมาด้วยก็ไปแล้ว ไม่ยากเกินความสามารถของนักข่าวอย่างแกใช่ไหม”

“เรื่องนี้แกไว้ใจได้ นี่ดึกมากแล้ว ไปนอนได้แล้วชาลี”
ชาลีพยักหน้าหงึกๆ ก่อนที่จะล้มตัวลงนอนอย่างง่ายดาย แต่สมองไม่ได้หลับไปด้วย เธอกำลังคิดหาวิธีเอาแว่นคืนจากผู้หญิงคนสวยคนนั้น..แต่มันเป็นไปได้ยากเหลือเกินที่คนธรรมดาเดินดินอย่างเธอ จะไปขอแว่นคืนจากคนพวกนั้น




“กินยาแล้วใช่ไหม”

“…”
ชาร์มส่ายหน้าให้กับน้องสาวคนเดียวของเธอเมื่อไม่มีเสียงตอบรับ น้องของเธอช่างหลับได้ง่ายดายเหลือเกิน ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากอาการเพลียเพราะไปร่วมงานแต่งทั้งวัน.. งานนี้เธอและเพื่อนๆไม่ได้ไปด้วย จะให้ไปได้อย่างไร..ก็ในเมื่อเจ้าบ่าวในงาน คือคนที่หักอกน้องสาวของเธอ…
      ต่อจากนี้ เธอนี่แหละ จะเป็นคนเลือกเจ้าบ่าวให้ยัยชาลีเอง! เอาให้หล่อกว่าคนที่ทิ้งน้องสาวเธอไปเป็นสองเท่า!! ถึงแม้ยัยชาลี จะเป็นเด็กซื่อ ติ๊งต๊อง และดูธรรมดา...แต่ยัยชาลีก็มีหัวใจเหมือนกัน ชาร์มยกมือลูบหัวน้องสาวเบาๆอย่างรักใคร่




“ชาลี เย็นนี้ตามพี่ไปพบกับคุณฮันจุงด้วยนะจ๊ะ”
เสียงที่ดังขึ้นหน้าโต๊ะทำให้หญิงสาวที่มีแว่นและหน้ากลมพอกันรีบเงยหน้ามองผู้เป็นเจ้านาย ก่อนจะผงกหัวมนๆรับอย่างแข็งขัน

“ค่ะ เจ้านาย”
ชาลีว่าก่อนจะยิ้มตาหยี น่ารักอย่างยิ่งในสายตาคนมอง เจ้านายสาวยิ้มตอบก่อนจะเดินผ่านลูกน้องเข้าห้องทำงานไป ปล่อยให้หญิงสาวที่นั่งอยู่หน้าห้องซึ่งทำหน้าที่เป็นเลขาและพ่วงหน้าที่ล่ามส่วนตัวไปด้วยพึมพำกับตัวเองอย่างสงสัย หมู่นี้คุณฮันจุงมาเมืองไทยบ่อยจังแฮะ..เดือนนี้ก็ปาเข้าไปครั้งที่สี่ ตกอาทิตย์ละครั้งได้ ถ้ามาบ่อยขนาดนี้ มาอยู่ให้รู้แล้วรู้รอดไปไม่ดีกว่าเร้อ เอ้ะ หรือว่าติดใจอะไรกันแน่หนอ..แต่มาแต่ละทีก็เห็นมาเจอคุณบุษบาเจ้านายเราก็แค่นั้น หรือจะติดใจคุณบุษ คิดไปคิดมาก็ให้รู้สึกว่าชักจะหมกมุ่นเรื่องหนุ่มนักธุรกิจเกาหลีคนนั้นมากเกินไป จึงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ ทิ้งให้หน้าหวานๆของคุณฮันจุงไว้ข้างหลัง เพราะคิดไปก็ไม่มีประโยชน์แถมเธอเองยังชอบนักร้องเกาหลีเป็นชีวิตจิตใจถวายตัวเป็นแฟนคลับก็หลายวง แล้วหน้าตาคุณฮันจุงธรรมดาเสียที่ไหน ถ้าเกิดเผลอหลงไปชอบล่ะก็ มีหวังอกหักดังเป๊าะเพราะเขาคงไม่มองเด็กแว่นเฉิ่มๆอย่างเธอ…แต่ถ้าเขาเกิดหน้ามืดมาชอบเธอขึ้นมา…. เธอก็ต้องตกงานสถานเดียว เพราะกฎบริษัทห้ามกิ๊กกับลูกค้าน่ะสิ!


ชาลียกเท้าออกจากรถแท็กซี่อย่างประหม่า จู่ๆคุณบุษก็เกิดติดงานสำคัญขึ้นมาจึงต้องให้เธอผู้เป็นเลขาและล่ามที่ถนัดภาษาเกาหลียิ่งกว่าใครในบริษัทมาต้อนรับลูกค้าที่สำคัญพอๆกันแทน

ตึก ตึก ตึก
เสียงส้นเตี้ยของเธอกระทบไปตามพื้น เลี้ยวไปยังที่นัดหมาย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่ร้านอาหารสุดหรูที่ลูกค้าคนสำคัญนัดไว้ พลันสายตาก็ไปปะทะกับป้ายที่ตั้งอยู่หน้าร้านเต็มๆ ตาชั้นเดียวนั้นหรี่ขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์อย่างไม่มีมาด เมื่อเห็นแน่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร เธอก็แทบจะเข้าไปยกป้ายนั้นกลับบ้านไปด้วยเสียตอนนั้น เพราะนั่นคือป้ายรับสมัครพนักงานกะกลางคืนที่รับเพิ่มเพียงแค่ 1 คน! แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเงินเดือนที่ได้รับต่างหาก…มันดูเหมาะสมกับร้านอาหารสุดหรูนี้เลยทีเดียว และมันก็คงจะกลายมาเป็นเงินเก็บที่เพียงพอที่จะสามารถซื้อแว่นที่เธอสูญเสียมันไปได้แน่ๆ เพราะหลายวันที่ผ่านมาเธอมานั่งคิดนอนคิดดูแล้วมันช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะหาทางไปขอแว่นคืนเอาดื้อๆแบบนั้น

“มันน่าสนใจมากเลยนะครับเนี่ย”

“ใช่ค่ะ มันน่าสนใจมากๆ..เฮ้ย!”
เผลอตอบไปแล้วก็ต้องตกใจเพราะเสียงนุ่มๆดังอยู่ข้างหูเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ต้องตกใจอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นชัดๆว่าคนที่กำลังเอามือไขว้หลังมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายนั้นคือ…คุณฮันจุง ลูกค้าคนสำคัญ!!


อมยิ้ม29จบตอน 1

ปล.ทายซิ คุณฮันจุงจะใช่พระเอกของชาลีรึเปล่าน้า อมยิ้ม16
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่