หญิงสาวรู้สึกกลัวแปลกๆ หลังจากที่ถูกปล่อยให้อยู่คนเดียวมาหลายคืน และเธอมีเวลาว่างมากพอที่จะทำให้ความเหงาเติบโตขึ้นมาแล้ว ชาลีนึกไปถึงวันที่เธอฟื้นขึ้นมาในห้องพักพนักงานแล้วได้รับข่าวที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลยหลังจากที่ผู้จัดการรู้ว่าเธอมีโรคประจำตัว เธอถูกเชิญออกจากงานทั้งๆที่ไปทำได้ไม่ถึงสัปดาห์!! ..
นอนคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าดวงเธอไม่ดีเอาเสียเลย เกิดมาก็ดันมีโรคประจำตัว ทำงานหนักหน่อยก็ไม่ได้ มันช่างน่าเขกหัวนัก!
คนที่กำลังบ่นตัวเองในใจรีบเด้งตัวขึ้นนั่งทันทีเมื่อเสียงริงโทนมือถือดังขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ใช้การมานานเกือบสัปดาห์ เมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใครก็รีบกดรับทันทีอย่างตื่นเต้นด้วยวิธีการรับสายประจำตัวคือจะปรับเสียงแหลมเล็กโดยอัตโนมัติอย่างเคยชิน
“พี่ชาร์มมมมม ”
(เออๆ)
“เออๆอะไร แกหายไปไหน ทำไมไม่บอกช้าน รู้ไหมเป็นห่วง แม่โทรมาถามหลายครั้งแล้ว”
(มันฉุกละหุกเว้ย มาทำงาน แกไม่ต้องห่วง)
ปลายสายมีเสียงหอบปนมาให้ได้ยินเล็กน้อย
“ทำงานที่ไหน จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วสบายดีป่าว”
รัวคำถามเป็นชุดจนคนตอบหยุดคิดไปชั่วอึดใจหนึ่งเพื่อคิดทบทวน ก่อนจะส่งเสียงกลับมา
(ทำงานบ้านเจ้านาย ไม่นานก็กลับแล้ว สบายดี งานไม่หนัก)
“อืม ค่อยน่าสบายใจขึ้นมาหน่อย”
ตอบเสียงหงอยเหงา จนคนพี่จับน้ำเสียงได้
(ฉันน่ะดูแลตัวเองได้ แกนั่นแหละจะเอายังไง)
“เอายังไง…”
ชาลีถามอย่างงุนงง
(ก็ฉันยังไม่กลับไม่อยากให้อยู่คนเดียวนะ ไปนอนกับป้าสิบ้านป้าอยู่ใกล้ๆเอง)
ข้อเสนอของชาร์มทำให้ชาลีถึงกับผงะ นั่นอาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเธอ เธอไม่สามารถไปอยู่กับป้าที่จู้จี้ ขี้บ่น ระเบียบจัดสุดๆได้แน่ๆ
“ป้าวุ่นวายจะตาย…ฉันอยู่ได้น่า”
(แน่ใจนะ)
“แน่…”
(โอเค งั้นก็ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ โอ๊ะ…แค่นี้นะแก )
ตู้ด ๆ ๆ …..
สายที่ถูกตัดไปอย่างรวดเร็วทำให้ชาลีไม่ทันตั้งตัว มือที่ยังถือโทรศัพท์ก็ยังค้างอยู่ในท่าเดิม ขณะที่สมองก็ยังครุ่นคิดอย่างหนัก…
“อันที่จริง..แว่นก็..ไม่ค่อยได้ใช้หรอกเนอะ..” ชาลีเอนกายลงนอนพร้อมกับจิตใจด้านมืดของเธอเริ่มทำงาน…..แต่ยังไม่ทันขนาบตัวกับเตียงดี เธอก็ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเดิมเมื่อธาตุฝ่ายดีเข้าแทรก
“รับปากกับพี่ชาร์มไว้แล้ว ต้องหามาคืนให้ได้ ฮือออ”
ทางด้านชาร์มหลังจากต้องรีบวางสายเมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นและเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องไปเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านายหมาดๆ หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างคล่องตัว เมื่อจัดการเปิดประตูรั้วแล้ว ก็ถอยห่างออกมายืนรอให้ผู้เป็นเจ้านายเคลื่อนรถหรูเข้าบ้าน และรีบเดินตามมาต้อนรับตามหน้าที่
“สวัสดีค่ะคุณ วันนี้กลับมาดึกจังเลยค่ะ”
“พอดีฉันมีธุระน่ะจ้ะ..” เจ้านายสาวยิ้มตอบอย่างใจดี ก่อนที่จะหันไปคุยกับคนที่เป็นสารถีให้เธอมาทั้งวันอย่างเชน
“จะเข้าไปดื่มน้ำซักแก้วไหมเชน”
“อืม ก็ดี” เชนตอบรับ ก่อนที่สายตาคมๆของเขาจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวผมบ๊อบแปลกหน้าที่กำลังยื่นหน้ามามองเขาอยู่เช่นกัน “นี่คนใช้ของซิสเหรอ”
“ใช่ รับมาได้หลายวันแล้วล่ะ ก็เราจะลงหลักปักฐานกันที่นี่ ถ้าให้ฉันจัดการกับทั้งหมดของบ้านคนเดียวก็ไม่ไหวหรอกนะ นี่ก็ว่าจะประกาศหาคนขับรถ..”
เสียงคนสองคนที่คุยกันพลางเดินเข้าบ้านไปนั้นเป็นการคุยปรกติ แต่ในสายตาของชาร์ม กลับคิดว่าทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิงฉันคู่รักอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะคำว่า ‘ลงหลักปักฐาน’ ทำให้เธอหูผึ่งกับข้อมูลใหม่ ก่อนจะต้องรีบเดินตามเจ้านายไปบริการให้สมกับหน้าที่ ‘คนรับใช้’ของบ้าน
นับว่าเป็นโชคดีของเธอ ที่วันก่อนเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวหน้าบ้านของเอวาเพื่อหาข้อมูล และเธอก็เห็นป้ายรับสมัครคนทำงานบ้านพอดี! ชาร์มไม่คิดรีรอที่จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบเดินเข้ามาสมัครงานทันที และโชคดียิ่งกว่าที่ยังไม่มีผู้มาสมัครเนื่องจากเพิ่งติดป้ายประกาศหาได้ไม่นาน..ส่วนเรื่องการทำงานบ้านนั้น เธอก็ทำได้จริงอยู่แล้ว ขณะที่ชาลี น้องสาวของเธอนั้น เป็นตัวทำบ้านเละ เธอซึ่งเป็นพี่ใหญ่ จึงได้ทำหน้าที่ดูแลบ้านมาตั้งแต่เด็กจนโต ฉะนั้นงานนี้ รับรองว่าเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้แม่บ้านอาชีพเลย!
ดูอย่างงานวันนี้..อาจจะหนักเล็กน้อยสำหรับเธอเพียงคนเดียวแต่ต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง! แต่เธอก็ทำทันเจ้านาย(ชั่วคราว) กลับมาบ้านจนได้… และยังมีเวลาเหลือโทรหาชาลีอีก
ชาร์มมีเวลาอยู่กับความคิดของตัวเองได้ไม่นาน ก็รีบตามเจ้านายสาวเข้าไปในบ้านแล้วจัดการหาน้ำดื่มมาบริการเอวาและแขก ก่อนจะขยับมานั่งสังเกตการณ์อยู่ตรงมุมห้องเพื่อไม่ให้เสียมารยาทในสายตาเจ้านายมากเกินไป…แต่ยังสามารถฟังเจ้านายคุยกันได้รู้เรื่อง เลือดนักข่าวฉีดพล่านไปทั่วตัว วินาทีนี้เธออยากจะเดินไปหยิบเทปบันทึกเสียงหรือไม่ก็สมุดบันทึกกับปากกามาสักแท่งเพื่อจดบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ! แต่ถ้าทำแบบนั้น…ความได้แตกกันพอดี ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเป็นยัยแจ๋วอยู่นี่หรอก
“แล้วตกลงว่าซิสสนใจให้เด็กแว่นนั่นมาเป็นแบบเหรอ”
เสียงพูดคุยกันดังขึ้น ทำให้แจ๋วจำเป็นอย่างชาร์มต้องหยุดความคิดของตัวเองแล้วคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“อืม..ก็น่าสนใจดีนะ”
“แต่ซิสไม่วาดคนนี่”
“งานแสดงผลงานของฉันในเดือนหน้าที่จัดในประเทศไทย ควรจะมีความแตกต่างจากที่เราเปิดโชว์ในประเทศอื่นบ้างไม่ใช่เหรอ”
“ก็เลยจะวาดเด็กแว่นงั้นหน้าตาหมวยๆงั้นสิ”
เสียงหัวเราะที่ลอยมาหลังจากพูดจบประโยคทำให้ชาร์มซึ่งคอยชะแง้มองอยู่แล้วขมวดคิ้วมุ่น..เด็กแว่นหน้าตาหมวยๆ ก็เป็นคนประเภทเดียวกับเธอน่ะรึ คิดแล้วก็เผลอยกมือขึ้นขยับแว่นบนหน้าให้เข้าที่ทาง
“เอาน่า..ฉันถูกชะตา เธอน่ารัก”
“ธรรมดาจะตายไป..”
“ฮึ นายนี่ช่างเน้นเหลือเกินนะว่าเธอธรรมดา..แต่เอาเถอะ ฉันมีไอเดียที่จะทำให้เด็กน้อยกลายเป็นหญิงสาวสวยได้”
“ผมก็มีเหมือนกัน…”
“หมายถึงไอเดีย?..โอ ใช่สินะ ฉันเป็นคนเสนอให้ตัวแทนจำหน่ายสุดหล่อของฉันสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ด้วยนี่นา..”
ชาร์มมองท่าแอ็คติ้งตกใจของเอวา ที่เธอคิดว่าออกจะโอเวอร์ไปนิดสำหรับคนไทยแต่ก็คงเป็นวิสัยปรกติของลูกครึ่งที่ค่อนไปทางตะวันตกมากหน่อยอย่างแหล่งข่าวของเธอ และพอจะนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีการเปิดแสดงผลงานของศิลปินวาดรูปชื่อดังอย่าง เอวา วอร์ด และคงจะมีการประมูลซื้อขายกันในราคาที่สูงลิบลิ่วเป็นแน่.. ขอเพียงแค่มีลายเซ็นของเธอประทับไว้บนรูปเป็นพอ ใครๆก็อยากมีรูปของเธอไว้ประดับบ้านทั้งนั้นสิน่า
“ใช่..”
“ฉันอยากจะรู้จัง ว่าเอเย่นต์คนเก่งจะวาดรูปอะไร”
เอวากล่าวยิ้มๆไม่ได้คิดอะไรมากนัก ขณะที่นิ้วเรียวก็จับแก้วน้ำขึ้นมาจิบไปพลาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับสีหน้าอ้ำอึ้งของเชน..
“ที่ถามไปนี่ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบนะ หรือว่านายอยากจะตอบ?”
“…”
เช้าวันใหม่
ชาลีจ้องวัตถุเหล็กสีน้ำตาลที่กลับมาจอดแอ้งแม้งอยู่ในโรงจอดรถหลังเล็กของเธออย่างสุดแสนจะเสียดาย..มีก็เหมือนไม่มี ชีวิตของเธอนั้นก็คงไม่ต่างจากหัวล้านได้หวีเลยสักนิด ยืนไว้อาลัยให้กับรถที่เธอและชาร์มได้เป็นของขวัญจากพ่อและแม่เมื่อสามปีก่อนตอนเรียนจบปริญญาตรีอยู่สักครู่ ก่อนจะยอมเดินออกมาขึ้นแท็กซี่หน้าบ้านที่โทรเรียกมาเพื่อมุ่งหน้าไปทำงาน ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง..
“คุณฮันจุงเขาอยากคุยกับชาลีน่ะจ้ะ”
เสียงคุ้นเคยของเจ้านายเรียกให้ชาลีที่กำลังงุ่นอยู่กับบรรดากองเอกสารต้องรีบกล่าวขอบคุณและรับโทรศัพท์มือถือราคาแพงมาถือไว้อย่างงุนงง ในเมื่อเธอไม่ได้มีเรื่องที่จะต้องติดต่อกับคุณฮันจุงโดยตรง และลูกค้าต่างแดนจะมีอะไรคุยกับเธอกัน
“สวัสดีค่ะ ”
ชาลีกรอกเสียงลงไปเป็นภาษาเกาหลีอัตโนมัติ
“สวัสดีครับ คุณชาลี”
เสียงทุ้มและหล่อเป็นภาษาเกาหลีตอบกลับมาโดยพลัน ทำให้ชาลีหายใจสะดุดไปบ้าง ก่อนจะยิ้มอย่างเก้อเขินทั้งๆที่ไม่รู้ว่าลูกค้าชาวเกาหลีจะมีธุระอะไรกับเธอก็ตาม
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”
“อ๋อ..ไม่เชิงธุระหรอกครับ แต่ว่า..เอ่อ อันที่จริงผมก็ไม่อยากจะรบกวนคุณบุษซักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมไม่มีเบอร์คุณชาลี”
“อ๋อ ค่ะ”
ตอบสั้นไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี ก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปชั่วครู่แล้วกรอกเสียงทุ้มกลับมา
“คือว่า ผมต้องอยู่เมืองไทยอย่างไม่มีกำหนดกลับเลยครับช่วงนี้”
“โอ้ งานมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
คนไม่รู้เรื่องไม่รู้สาวอะไรตอบกลับไปด้วยความกังวลใจ แต่ได้รับเสียงที่แสร้งแฝงความกังวลใจกว่ากลับมาแทน
“งานไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ผมนี่แหละครับมีปัญหา”
“คะ…”
“คือว่า ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนของผมน่ะครับ..ผมไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย รู้จักก็แต่คุณชาลีคนเดียวนี่แหละครับ..”
“อ๋อ ค่ะ”
ตอบไปแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าจุดประสงค์ของคุณฮันจุงคืออะไร แต่เธอก็ยังพอรู้มาบ้างว่าฮันจุงนั้นถ้านับตามเกาหลีแล้ว เขาจะอายุยี่สิบหกปีแต่ถ้านับตามสากลนั้นก็ยี่สิบห้าปีเท่ากันกับเธอนั่นเอง
“แล้วผมก็เลือกที่จะพักผ่อนอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละครับ แต่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนก็เลยอยากจะมาชวนคุณชาลีไปเที่ยวด้วยกันน่ะครับ”
ชาลีไม่อยากจะคิดจริงๆว่าสถานที่เที่ยวที่ฮันจุงอยากจะเที่ยวนั้นเป็นผับหรูใจกลางเมือง และบัดนี้เธอก็ได้มานั่งมองหน้าเขาไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร จะให้เต้นเซ็กซี่อย่างแม่สาวเกาะอกลายเสือที่กำลังเมียงมองมาที่ฮันจุงอยู่เป็นระยะๆนั่นเธอก็เต้นได้ แต่จะให้มาเต้นต่อหน้าลูกค้าอย่างนั้นหรือ…ไม่เอาหรอก เดี๋ยวดูไม่น่าเชื่อถือ..
“คุณชาลีไม่เต้นซักหน่อยเหรอครับ”
ชาลีไล่มองไปที่นิ้วของเขาที่กำลังเคาะโต๊ะไปตามจังหวะเพลงนั้น แล้วเลื่อนสายตามาในระดับเดียวกับใบหน้าที่ขาวจัดของเขาก่อนจะส่งยิ้มแหยๆไปให้
“เอ่อ..เชิญคุณฮันจุงตามสบายเลยค่ะ ฉันจะนั่งตรงนี้รอ”
“..ถ้าอย่างนั้น ผม..ขอไปตรงนู้นแป้ปนึงนะครับ”
ชาลีมองตามนิ้วของเขาไปก็พบว่าเขาชี้ไปที่กลางฟลอร์ จึงพยักหน้าบอกให้เขาตามสบายแล้วตัดสินใจนั่งเงียบๆอยู่ในมุมเดิมของตัวเองพลางวาดสายตาไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่แก้วทรงสวยที่มีน้ำสีสวยบนโต๊ะ
มองไปทางลูกค้าหนุ่มก็เห็นว่ากำลังวาดลวดลายอย่างเต็มที่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและเดินกลับมาที่โต๊ะง่ายๆ จึงคว้าแก้วบนโต๊ะมาลองดื่มดูแก้เบื่อ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกประหลาดในทีแรกแต่พอดื่มไปดื่มมาแล้วให้ความรู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้น จนเผลอโยกตัวตามจังหวะเพลงไปโดยปริยาย
เมื่อกวาดสายตาในความมืดอีกที ก็เห็นว่าคุณฮันจุงก็กำลังมองมาพอดีแถมยังส่งยิ้มให้เธอเสียอีก ชาลีจึงวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยัดตัวขึ้นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์อึดอัดที่รู้สึกว่าจะสามารถประทุขึ้นมาเดี๋ยวนั้นถ้าเธอไม่กำจัดมันออกไปเดี๋ยวนี้!
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เธอลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ชาลีกำลังรู้สึกสนุกและแน่นอนว่าสติเธอยังอยู่ครบไม่ได้พลาดให้กับฤทธิ์น้ำดื่มสีสวยแต่อย่างใด เธอแค่รู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้นให้กระปรี้กระเป่าขึ้น
“คุณชาลีก็เต้นเก่งเหมือนกันนะครับ”
เสียงผู้ชายดังอยู่ข้างหูทำให้ชาลีที่กำลังโยกตัวอย่างอิสระด้วยท่วงท่าพิสดาร หันขวับมาทางคนพูดทันที แต่ เมื่อเห็นว่าเป็นฮันจุงถึงได้เบาใจ ถึงแม้ว่าในนี้จะไม่มีใครสนใจผู้หญิงหน้าตาจืดๆที่พอมาเจอแสงสีแบบนี้แล้วยิ่งส่งให้หน้าเธอจืดชืดไปใหญ่เนื่องจากการแต่งหน้าแบบธรรมชาติของเธอก็ตาม
“ฉันเต้นเก่งนะคะ ฉันเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลีมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของชาลีทำให้ฮันจุงหัวเราะพรืด เพราะท่าเต้นของเธอในตอนนี้คล้ายการเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลีแต่ถูกเอามาประยุกต์ให้เป็นท่าแปลกๆเข้ากับจ้าตัว ถึงจะอย่างนั้นแต่สำหรับฮันจุงแล้วมันเป็นท่าทางที่น่ารักไปในอีกแบบหนึ่ง แถมคนเต้นยังคุยภาษาเกาหลีกับเขารู้เรื่องอีกด้วย ไม่เหมือนสาวสวยที่เขาเพิ่งผละจากมาเนื่องจากพูดด้วยไม่รู้เรื่อง แม้ว่าจะพยายามใช้ภาษา อังกฤษกับเขาก็ตาม แต่ก็ยังพูดจากันไม่รู้เรื่องอยู่ดี
กลางสายฝน ตอนที่ 4
นอนคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าดวงเธอไม่ดีเอาเสียเลย เกิดมาก็ดันมีโรคประจำตัว ทำงานหนักหน่อยก็ไม่ได้ มันช่างน่าเขกหัวนัก!
คนที่กำลังบ่นตัวเองในใจรีบเด้งตัวขึ้นนั่งทันทีเมื่อเสียงริงโทนมือถือดังขึ้นหลังจากที่ไม่ได้ใช้การมานานเกือบสัปดาห์ เมื่อเห็นว่าปลายสายเป็นใครก็รีบกดรับทันทีอย่างตื่นเต้นด้วยวิธีการรับสายประจำตัวคือจะปรับเสียงแหลมเล็กโดยอัตโนมัติอย่างเคยชิน
“พี่ชาร์มมมมม ”
(เออๆ)
“เออๆอะไร แกหายไปไหน ทำไมไม่บอกช้าน รู้ไหมเป็นห่วง แม่โทรมาถามหลายครั้งแล้ว”
(มันฉุกละหุกเว้ย มาทำงาน แกไม่ต้องห่วง)
ปลายสายมีเสียงหอบปนมาให้ได้ยินเล็กน้อย
“ทำงานที่ไหน จะกลับมาเมื่อไหร่ แล้วสบายดีป่าว”
รัวคำถามเป็นชุดจนคนตอบหยุดคิดไปชั่วอึดใจหนึ่งเพื่อคิดทบทวน ก่อนจะส่งเสียงกลับมา
(ทำงานบ้านเจ้านาย ไม่นานก็กลับแล้ว สบายดี งานไม่หนัก)
“อืม ค่อยน่าสบายใจขึ้นมาหน่อย”
ตอบเสียงหงอยเหงา จนคนพี่จับน้ำเสียงได้
(ฉันน่ะดูแลตัวเองได้ แกนั่นแหละจะเอายังไง)
“เอายังไง…”
ชาลีถามอย่างงุนงง
(ก็ฉันยังไม่กลับไม่อยากให้อยู่คนเดียวนะ ไปนอนกับป้าสิบ้านป้าอยู่ใกล้ๆเอง)
ข้อเสนอของชาร์มทำให้ชาลีถึงกับผงะ นั่นอาจจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของเธอ เธอไม่สามารถไปอยู่กับป้าที่จู้จี้ ขี้บ่น ระเบียบจัดสุดๆได้แน่ๆ
“ป้าวุ่นวายจะตาย…ฉันอยู่ได้น่า”
(แน่ใจนะ)
“แน่…”
(โอเค งั้นก็ดูแลตัวเองดีๆนะ อย่าลืมกินยาด้วยล่ะ โอ๊ะ…แค่นี้นะแก )
ตู้ด ๆ ๆ …..
สายที่ถูกตัดไปอย่างรวดเร็วทำให้ชาลีไม่ทันตั้งตัว มือที่ยังถือโทรศัพท์ก็ยังค้างอยู่ในท่าเดิม ขณะที่สมองก็ยังครุ่นคิดอย่างหนัก…
“อันที่จริง..แว่นก็..ไม่ค่อยได้ใช้หรอกเนอะ..” ชาลีเอนกายลงนอนพร้อมกับจิตใจด้านมืดของเธอเริ่มทำงาน…..แต่ยังไม่ทันขนาบตัวกับเตียงดี เธอก็ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียดกว่าเดิมเมื่อธาตุฝ่ายดีเข้าแทรก
“รับปากกับพี่ชาร์มไว้แล้ว ต้องหามาคืนให้ได้ ฮือออ”
ทางด้านชาร์มหลังจากต้องรีบวางสายเมื่อได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นและเป็นหน้าที่ของเธอที่จะต้องไปเปิดประตูให้ผู้เป็นเจ้านายหมาดๆ หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างคล่องตัว เมื่อจัดการเปิดประตูรั้วแล้ว ก็ถอยห่างออกมายืนรอให้ผู้เป็นเจ้านายเคลื่อนรถหรูเข้าบ้าน และรีบเดินตามมาต้อนรับตามหน้าที่
“สวัสดีค่ะคุณ วันนี้กลับมาดึกจังเลยค่ะ”
“พอดีฉันมีธุระน่ะจ้ะ..” เจ้านายสาวยิ้มตอบอย่างใจดี ก่อนที่จะหันไปคุยกับคนที่เป็นสารถีให้เธอมาทั้งวันอย่างเชน
“จะเข้าไปดื่มน้ำซักแก้วไหมเชน”
“อืม ก็ดี” เชนตอบรับ ก่อนที่สายตาคมๆของเขาจะเหลือบไปเห็นหญิงสาวผมบ๊อบแปลกหน้าที่กำลังยื่นหน้ามามองเขาอยู่เช่นกัน “นี่คนใช้ของซิสเหรอ”
“ใช่ รับมาได้หลายวันแล้วล่ะ ก็เราจะลงหลักปักฐานกันที่นี่ ถ้าให้ฉันจัดการกับทั้งหมดของบ้านคนเดียวก็ไม่ไหวหรอกนะ นี่ก็ว่าจะประกาศหาคนขับรถ..”
เสียงคนสองคนที่คุยกันพลางเดินเข้าบ้านไปนั้นเป็นการคุยปรกติ แต่ในสายตาของชาร์ม กลับคิดว่าทั้งสองคุยกันกระหนุงกระหนิงฉันคู่รักอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะคำว่า ‘ลงหลักปักฐาน’ ทำให้เธอหูผึ่งกับข้อมูลใหม่ ก่อนจะต้องรีบเดินตามเจ้านายไปบริการให้สมกับหน้าที่ ‘คนรับใช้’ของบ้าน
นับว่าเป็นโชคดีของเธอ ที่วันก่อนเดินเตร็ดเตร่อยู่แถวหน้าบ้านของเอวาเพื่อหาข้อมูล และเธอก็เห็นป้ายรับสมัครคนทำงานบ้านพอดี! ชาร์มไม่คิดรีรอที่จะปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไป รีบเดินเข้ามาสมัครงานทันที และโชคดียิ่งกว่าที่ยังไม่มีผู้มาสมัครเนื่องจากเพิ่งติดป้ายประกาศหาได้ไม่นาน..ส่วนเรื่องการทำงานบ้านนั้น เธอก็ทำได้จริงอยู่แล้ว ขณะที่ชาลี น้องสาวของเธอนั้น เป็นตัวทำบ้านเละ เธอซึ่งเป็นพี่ใหญ่ จึงได้ทำหน้าที่ดูแลบ้านมาตั้งแต่เด็กจนโต ฉะนั้นงานนี้ รับรองว่าเธอก็ทำได้ดีไม่แพ้แม่บ้านอาชีพเลย!
ดูอย่างงานวันนี้..อาจจะหนักเล็กน้อยสำหรับเธอเพียงคนเดียวแต่ต้องทำความสะอาดบ้านทั้งหลัง! แต่เธอก็ทำทันเจ้านาย(ชั่วคราว) กลับมาบ้านจนได้… และยังมีเวลาเหลือโทรหาชาลีอีก
ชาร์มมีเวลาอยู่กับความคิดของตัวเองได้ไม่นาน ก็รีบตามเจ้านายสาวเข้าไปในบ้านแล้วจัดการหาน้ำดื่มมาบริการเอวาและแขก ก่อนจะขยับมานั่งสังเกตการณ์อยู่ตรงมุมห้องเพื่อไม่ให้เสียมารยาทในสายตาเจ้านายมากเกินไป…แต่ยังสามารถฟังเจ้านายคุยกันได้รู้เรื่อง เลือดนักข่าวฉีดพล่านไปทั่วตัว วินาทีนี้เธออยากจะเดินไปหยิบเทปบันทึกเสียงหรือไม่ก็สมุดบันทึกกับปากกามาสักแท่งเพื่อจดบทสนทนาเลยด้วยซ้ำ! แต่ถ้าทำแบบนั้น…ความได้แตกกันพอดี ไม่ต้องเสียเวลามานั่งเป็นยัยแจ๋วอยู่นี่หรอก
“แล้วตกลงว่าซิสสนใจให้เด็กแว่นนั่นมาเป็นแบบเหรอ”
เสียงพูดคุยกันดังขึ้น ทำให้แจ๋วจำเป็นอย่างชาร์มต้องหยุดความคิดของตัวเองแล้วคอยเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
“อืม..ก็น่าสนใจดีนะ”
“แต่ซิสไม่วาดคนนี่”
“งานแสดงผลงานของฉันในเดือนหน้าที่จัดในประเทศไทย ควรจะมีความแตกต่างจากที่เราเปิดโชว์ในประเทศอื่นบ้างไม่ใช่เหรอ”
“ก็เลยจะวาดเด็กแว่นงั้นหน้าตาหมวยๆงั้นสิ”
เสียงหัวเราะที่ลอยมาหลังจากพูดจบประโยคทำให้ชาร์มซึ่งคอยชะแง้มองอยู่แล้วขมวดคิ้วมุ่น..เด็กแว่นหน้าตาหมวยๆ ก็เป็นคนประเภทเดียวกับเธอน่ะรึ คิดแล้วก็เผลอยกมือขึ้นขยับแว่นบนหน้าให้เข้าที่ทาง
“เอาน่า..ฉันถูกชะตา เธอน่ารัก”
“ธรรมดาจะตายไป..”
“ฮึ นายนี่ช่างเน้นเหลือเกินนะว่าเธอธรรมดา..แต่เอาเถอะ ฉันมีไอเดียที่จะทำให้เด็กน้อยกลายเป็นหญิงสาวสวยได้”
“ผมก็มีเหมือนกัน…”
“หมายถึงไอเดีย?..โอ ใช่สินะ ฉันเป็นคนเสนอให้ตัวแทนจำหน่ายสุดหล่อของฉันสร้างสรรค์ผลงานในครั้งนี้ด้วยนี่นา..”
ชาร์มมองท่าแอ็คติ้งตกใจของเอวา ที่เธอคิดว่าออกจะโอเวอร์ไปนิดสำหรับคนไทยแต่ก็คงเป็นวิสัยปรกติของลูกครึ่งที่ค่อนไปทางตะวันตกมากหน่อยอย่างแหล่งข่าวของเธอ และพอจะนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่กี่อาทิตย์จะมีการเปิดแสดงผลงานของศิลปินวาดรูปชื่อดังอย่าง เอวา วอร์ด และคงจะมีการประมูลซื้อขายกันในราคาที่สูงลิบลิ่วเป็นแน่.. ขอเพียงแค่มีลายเซ็นของเธอประทับไว้บนรูปเป็นพอ ใครๆก็อยากมีรูปของเธอไว้ประดับบ้านทั้งนั้นสิน่า
“ใช่..”
“ฉันอยากจะรู้จัง ว่าเอเย่นต์คนเก่งจะวาดรูปอะไร”
เอวากล่าวยิ้มๆไม่ได้คิดอะไรมากนัก ขณะที่นิ้วเรียวก็จับแก้วน้ำขึ้นมาจิบไปพลาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับสีหน้าอ้ำอึ้งของเชน..
“ที่ถามไปนี่ฉันไม่ได้ต้องการคำตอบนะ หรือว่านายอยากจะตอบ?”
“…”
เช้าวันใหม่
ชาลีจ้องวัตถุเหล็กสีน้ำตาลที่กลับมาจอดแอ้งแม้งอยู่ในโรงจอดรถหลังเล็กของเธออย่างสุดแสนจะเสียดาย..มีก็เหมือนไม่มี ชีวิตของเธอนั้นก็คงไม่ต่างจากหัวล้านได้หวีเลยสักนิด ยืนไว้อาลัยให้กับรถที่เธอและชาร์มได้เป็นของขวัญจากพ่อและแม่เมื่อสามปีก่อนตอนเรียนจบปริญญาตรีอยู่สักครู่ ก่อนจะยอมเดินออกมาขึ้นแท็กซี่หน้าบ้านที่โทรเรียกมาเพื่อมุ่งหน้าไปทำงาน ในวันที่อากาศปลอดโปร่ง..
“คุณฮันจุงเขาอยากคุยกับชาลีน่ะจ้ะ”
เสียงคุ้นเคยของเจ้านายเรียกให้ชาลีที่กำลังงุ่นอยู่กับบรรดากองเอกสารต้องรีบกล่าวขอบคุณและรับโทรศัพท์มือถือราคาแพงมาถือไว้อย่างงุนงง ในเมื่อเธอไม่ได้มีเรื่องที่จะต้องติดต่อกับคุณฮันจุงโดยตรง และลูกค้าต่างแดนจะมีอะไรคุยกับเธอกัน
“สวัสดีค่ะ ”
ชาลีกรอกเสียงลงไปเป็นภาษาเกาหลีอัตโนมัติ
“สวัสดีครับ คุณชาลี”
เสียงทุ้มและหล่อเป็นภาษาเกาหลีตอบกลับมาโดยพลัน ทำให้ชาลีหายใจสะดุดไปบ้าง ก่อนจะยิ้มอย่างเก้อเขินทั้งๆที่ไม่รู้ว่าลูกค้าชาวเกาหลีจะมีธุระอะไรกับเธอก็ตาม
“ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรกับฉันรึเปล่าคะ”
“อ๋อ..ไม่เชิงธุระหรอกครับ แต่ว่า..เอ่อ อันที่จริงผมก็ไม่อยากจะรบกวนคุณบุษซักเท่าไหร่นะครับ แต่ผมไม่มีเบอร์คุณชาลี”
“อ๋อ ค่ะ”
ตอบสั้นไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อไปดี ก่อนที่ปลายสายจะเงียบไปชั่วครู่แล้วกรอกเสียงทุ้มกลับมา
“คือว่า ผมต้องอยู่เมืองไทยอย่างไม่มีกำหนดกลับเลยครับช่วงนี้”
“โอ้ งานมีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ”
คนไม่รู้เรื่องไม่รู้สาวอะไรตอบกลับไปด้วยความกังวลใจ แต่ได้รับเสียงที่แสร้งแฝงความกังวลใจกว่ากลับมาแทน
“งานไม่มีปัญหาอะไรครับ แต่ผมนี่แหละครับมีปัญหา”
“คะ…”
“คือว่า ช่วงนี้เป็นช่วงวันหยุดพักผ่อนของผมน่ะครับ..ผมไม่มีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันเลย รู้จักก็แต่คุณชาลีคนเดียวนี่แหละครับ..”
“อ๋อ ค่ะ”
ตอบไปแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจนักว่าจุดประสงค์ของคุณฮันจุงคืออะไร แต่เธอก็ยังพอรู้มาบ้างว่าฮันจุงนั้นถ้านับตามเกาหลีแล้ว เขาจะอายุยี่สิบหกปีแต่ถ้านับตามสากลนั้นก็ยี่สิบห้าปีเท่ากันกับเธอนั่นเอง
“แล้วผมก็เลือกที่จะพักผ่อนอยู่ที่เมืองไทยนี่แหละครับ แต่ไม่มีเพื่อนเลยสักคนก็เลยอยากจะมาชวนคุณชาลีไปเที่ยวด้วยกันน่ะครับ”
ชาลีไม่อยากจะคิดจริงๆว่าสถานที่เที่ยวที่ฮันจุงอยากจะเที่ยวนั้นเป็นผับหรูใจกลางเมือง และบัดนี้เธอก็ได้มานั่งมองหน้าเขาไปมาอย่างไม่รู้จะทำอะไร จะให้เต้นเซ็กซี่อย่างแม่สาวเกาะอกลายเสือที่กำลังเมียงมองมาที่ฮันจุงอยู่เป็นระยะๆนั่นเธอก็เต้นได้ แต่จะให้มาเต้นต่อหน้าลูกค้าอย่างนั้นหรือ…ไม่เอาหรอก เดี๋ยวดูไม่น่าเชื่อถือ..
“คุณชาลีไม่เต้นซักหน่อยเหรอครับ”
ชาลีไล่มองไปที่นิ้วของเขาที่กำลังเคาะโต๊ะไปตามจังหวะเพลงนั้น แล้วเลื่อนสายตามาในระดับเดียวกับใบหน้าที่ขาวจัดของเขาก่อนจะส่งยิ้มแหยๆไปให้
“เอ่อ..เชิญคุณฮันจุงตามสบายเลยค่ะ ฉันจะนั่งตรงนี้รอ”
“..ถ้าอย่างนั้น ผม..ขอไปตรงนู้นแป้ปนึงนะครับ”
ชาลีมองตามนิ้วของเขาไปก็พบว่าเขาชี้ไปที่กลางฟลอร์ จึงพยักหน้าบอกให้เขาตามสบายแล้วตัดสินใจนั่งเงียบๆอยู่ในมุมเดิมของตัวเองพลางวาดสายตาไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่แก้วทรงสวยที่มีน้ำสีสวยบนโต๊ะ
มองไปทางลูกค้าหนุ่มก็เห็นว่ากำลังวาดลวดลายอย่างเต็มที่และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและเดินกลับมาที่โต๊ะง่ายๆ จึงคว้าแก้วบนโต๊ะมาลองดื่มดูแก้เบื่อ ถึงแม้จะรู้สึกแปลกประหลาดในทีแรกแต่พอดื่มไปดื่มมาแล้วให้ความรู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้น จนเผลอโยกตัวตามจังหวะเพลงไปโดยปริยาย
เมื่อกวาดสายตาในความมืดอีกที ก็เห็นว่าคุณฮันจุงก็กำลังมองมาพอดีแถมยังส่งยิ้มให้เธอเสียอีก ชาลีจึงวางแก้วเปล่าลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยัดตัวขึ้นเพื่อปลดปล่อยอารมณ์อึดอัดที่รู้สึกว่าจะสามารถประทุขึ้นมาเดี๋ยวนั้นถ้าเธอไม่กำจัดมันออกไปเดี๋ยวนี้!
ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวไกล ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่แล้วที่เธอลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสาย ชาลีกำลังรู้สึกสนุกและแน่นอนว่าสติเธอยังอยู่ครบไม่ได้พลาดให้กับฤทธิ์น้ำดื่มสีสวยแต่อย่างใด เธอแค่รู้สึกว่าร่างกายถูกกระตุ้นให้กระปรี้กระเป่าขึ้น
“คุณชาลีก็เต้นเก่งเหมือนกันนะครับ”
เสียงผู้ชายดังอยู่ข้างหูทำให้ชาลีที่กำลังโยกตัวอย่างอิสระด้วยท่วงท่าพิสดาร หันขวับมาทางคนพูดทันที แต่ เมื่อเห็นว่าเป็นฮันจุงถึงได้เบาใจ ถึงแม้ว่าในนี้จะไม่มีใครสนใจผู้หญิงหน้าตาจืดๆที่พอมาเจอแสงสีแบบนี้แล้วยิ่งส่งให้หน้าเธอจืดชืดไปใหญ่เนื่องจากการแต่งหน้าแบบธรรมชาติของเธอก็ตาม
“ฉันเต้นเก่งนะคะ ฉันเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลีมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้ว”
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของชาลีทำให้ฮันจุงหัวเราะพรืด เพราะท่าเต้นของเธอในตอนนี้คล้ายการเต้นโคฟเวอร์เพลงเกาหลีแต่ถูกเอามาประยุกต์ให้เป็นท่าแปลกๆเข้ากับจ้าตัว ถึงจะอย่างนั้นแต่สำหรับฮันจุงแล้วมันเป็นท่าทางที่น่ารักไปในอีกแบบหนึ่ง แถมคนเต้นยังคุยภาษาเกาหลีกับเขารู้เรื่องอีกด้วย ไม่เหมือนสาวสวยที่เขาเพิ่งผละจากมาเนื่องจากพูดด้วยไม่รู้เรื่อง แม้ว่าจะพยายามใช้ภาษา อังกฤษกับเขาก็ตาม แต่ก็ยังพูดจากันไม่รู้เรื่องอยู่ดี