*นี่คือตอนต่อจากตอน 1 นะคะ พอดีใส่ชื่อตอนผิดแล้วมันแก้ไม่ได้ค่ะ T_T*
เอาเป็นว่าผ่านไปดูเนื้อหาเลยค่ะ
“ใช่ค่ะ มันน่าสนใจมากๆ..เฮ้ย!”
เผลอตอบไปแล้วก็ต้องตกใจเพราะเสียงนุ่มๆดังอยู่ข้างหูเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ต้องตกใจอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นชัดๆว่าคนที่กำลังเอามือไขว้หลังมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายนั้นคือ…คุณฮันจุง ลูกค้าคนสำคัญ!!
“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ..หน้าผมน่ากลัวเหรอ”ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆ เขาเดินตามหลังเธอมาตั้งแต่หญิงสาวลงมาจากรถแท็กซี่แล้ว เมื่อมาถึงหน้าร้านว่าจะทักทายแต่เธอกลับเอาแต่จ้องมองป้ายรับสมัครงานจนเอาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูด้วยคน แต่เธอก็ดูเหมือนจะสนใจมันมาก จากอาการอ่านป้ายขึ้นลงตั้งหลายรอบ
“แหม ถ้าคุณน่ากลัว ฉันก็สยองแล้วล่ะค่ะ” ชาลีขยับแว่นอย่างเก้อๆ ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะจากเขามาแทน
“คุณเนี่ยนะสยอง” เขามองเธอยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “คุณน่ารักมากต่างหาก”
“นิสัยน่ารักเหรอคะ”
“น่ารักทั้งหมดนั่นแหละครับ”
คนถูกชมทำหน้าเหลอหลา ทำให้คนมองคิดว่าเธออาจจะกำลังเขินอาย แต่เปล่าเลยสักนิด ความเขินอายมีอยู่ในหัวชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอกำลังคิดก็คือ…
“ฉันยังไม่ได้สวัสดีคุณเลยค่ะ”
“……”
ชาลีแอบเหลือบมองหน้าใสๆของลูกค้าคนสำคัญที่กำลังเดินอยู่ข้างเธอในตอนนี้ ผู้ชายคนนี้น่ารัก อัธยาศัยดีและไม่เคยถือตัวว่าเธอเป็นแค่ลูกน้องของบุษบา ตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเธออย่างกับเธอเป็นลูกค้าและเขาเป็นคนต้อนรับซะมากกว่า…แต่ท่าทีของเขาก็ปรกติดี ไม่ได้แสดงอาการก้อร้อก้อติกอะไรให้เธออึดอัดเหมือนลูกค้าบางคนที่เธอเคยรู้สึก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สวยก็เถอะ!
คิดมาถึงตรงนี้เท้าที่กำลังเดิน ตาที่กำลังเหล่หน้าลูกค้าก็สะดุดกึก เมื่อคนที่เพิ่งเดินผ่านข้างคุณฮันจุงไปมีใบหน้าที่คุ้นเหลือเกิน แต่สิ่งที่คุ้นกว่านั้นก็คือ…แว่นที่อยู่บนหน้าฝรั่งๆนั่น! นั่นมันแว่นของโอปป้าเค ที่เจ๊ชาร์มไปสอยมาให้เธอชัดๆ!
“หน้าผมมีอะไรติดเหรอครับ”
คนที่กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ ขมวดคิ้วมื่อรู้สึกว่าตนถูกจ้องมองและเมื่อหันมาดูสาวน้อยข้างๆ ก็พบว่าเธอกำลังมองเขาอยู่จริงๆ แถมยังขมวดคิ้วยุ่งมากกว่าเขาเสียอีก
“ไม่ใช่คุณค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ฮันจุงทำหน้าสงสัย ถ้าเธอไม่ได้มองเขา แล้วเธอมองใคร? แต่ก่อนที่จะได้ถามออกไป ชาลีก็หันกลับมาบอกลาเขา ก่อนที่เธอจะวิ่งตามอะไรสักอย่างย้อนกลับไปในที่ๆพวกเขาเพิ่งเดินจากมา
‘คุณคะ! หยุดก่อนค่ะ’
เชน หรี่ตามองมือบางๆที่กำลังยึดแขนของเขาอยู่ราวกับจะหาที่พึ่งนั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย ผู้หญิงคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลับมาเมืองไทยพร้อมกับเอวา ลูกพี่ลูกน้องที่เปรียบเสมือนพี่สาวของเขา แต่ให้ทำใจยังไงก็ชอบผู้หญิงในลักษณะนี้ไม่ค่อยจะลงเสียที เธอเป็นกุลสตรีที่ดี แต่สำหรับเขาเธอจืดชืดไปหน่อย เธอพูดจาหวานหู แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เธอเป็นคนดี..แต่ไม่น่าค้นหา
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอ…มารีย์ไม่ผิด เธอก็โดนมัดมือชกมาไม่ต่างจากเขาซักเท่าไหร่หรอก
‘คุณเอาแว่นกลมของโอปป้าเคฉันคืนมาน้า!’
เชนขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อใบหน้าซีดๆของมารีย์ที่อยู่เตี้ยกว่าโข แหงนหน้าขึ้นมาหา
“ร้านนี้แหละค่ะ”
มารีย์มองหน้าคู่ดูตัวที่เธอต้องทิ้งงานที่ร้านขนมไทยของตัวเองซึ่งขณะนี้น่าจะมีลูกค้าเต็มร้าน เพื่อมาทานอาหารกับเขาตามคำสั่งของมารดา ก่อนที่เธอจะปล่อยมือตัวเองจากแขนของเขา หญิงสาวหายใจโล่ง มีความรู้สึกถึงอิสรภาพ แต่เชนที่กำลังรออิสรภาพเหมือนกัน กลับรู้สึกว่า ‘ เหมือนจะ’ มีพันธะอะไรบางอย่างมายึดแขนเขาไว้แทนที่มารีย์เมื่อครู่
“ฉันบอกให้คุณหยุดไง!!!”
“อะไร”
เขาถามกลับห้วนๆ เมื่อจู่ๆคนตัวเล็กสวมแว่นหนากลมๆ ที่ถือวิสาสะมาจับแขนเขาแล้วยังมาตะคอกใส่หน้าเขาอีก..ถึงแม้ว่าความสูงของเธอจะไม่ถึงหน้าแต่แค่เลยไหล่เขามานิดหน่อยก็เถอะ
“แว่น”
“แว่นอะไร”
เชนถามเสียงเย็นเมื่อเห็นว่าคนที่ยังจับแขนเขาอยู่ยังหอบอยู่ไม่หาย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการวิ่งตามเขามา
“แว่นอันนี้ คุณได้จากที่ไหนมาคะ” เมื่อตั้งสติได้เธอก็รีบถามเขาทันที แต่คราวนี้เธอค่อนข้างจะสุภาพกว่าประโยคแรกซึ่งเกิดจากอารมณ์ล้วนๆ เนื่องจากว่าเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินเสียที เพราะมัวแต่สวีทหวานกับผู้หญิงสวยๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้อยู่นั่นเอง
“ได้มาจากที่ๆ เธอไม่มีหวังได้มันมาน่ะสิ”
คำตอบนั้นทำให้ผู้หญิงสองคนที่บุคลิกภายนอกคล้ายคลึงกันอ้าปากค้างไปตามๆกัน ก่อนที่คนที่ถูกพาดพิงมากกว่าอย่างชาลีจะกระพริบตาไล่ความอึ้งกับคำพูดที่แบ่งชนชั้นนั้นทิ้ง แล้วมองผู้ชายหน้าฝรั่งอย่างเต็มตา ก่อนจะจำได้ว่า เขาคือคนที่เธอชมว่าหน้าตาดีเหมาะสมกับไฮโซอย่างคุณเอวาไปหมาดๆที่งานแต่งงานน้ำหนึ่งนั่นเอง!
“ถ้าไอ้ที่ที่ฉันไม่มีหวังอย่างที่คุณว่าจะหมายถึงคุณเอวาล่ะก็ แว่นที่อยู่บนหน้าคุณนั่นก็แว่นจากคนที่ไม่มีหวังคนนี้นี่แหละ คุณฝรั่ง!”
เชนกระพริบตาถี่ๆราวกับลอกเลียนแบบมาจากหญิงสาวที่กำลังยืนขึ้นเสียงกับเขาเมื่อสักครู่ ในขณะที่มารีย์อึ้งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินวาจาที่ออกมาจากปากคนที่ดูเพียงผิวเผินดูน่ารัก เรียบร้อย คล้ายๆกับเธอ
“เธอพูดอะไรของเธอ ฉันไม่รู้เรื่อง”
เขาหมายความตามที่พูด เพราะถึงแม้จะฟังภาษาไทยออกและรู้เรื่องดี แต่ถ้าพูดมารัวๆแบบที่ออกจากปากยัยแว่นตรงหน้า คนที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดอย่างเขาก็ต้องมีงงบ้างล่ะ แต่ชาลีกลับคิดเป็นอีกอย่าง
“ไม่รู้เรื่องก็เรื่องของคุณ แต่ถ้าแว่นนี่ใช่แว่นที่ได้มาจากคุณเอวาล่ะก็ ฉันขอคืนเถอะ แว่นนี้สำคัญกับฉันมาก” และแพงมากด้วย…เธอคิด “รู้เรื่องไหมคะ” ชาลีย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฝรั่งยังทำหน้างงอยู่
เชนประมวลผลในสิ่งที่คนตรงหน้าพูดก่อนจะใช้มือจับมือนุ่มๆของเธอให้ออกจากแขนของเขา
“รู้เรื่อง..แต่ไม่คืน”
“อ้าว”
คราวนี้คนที่มึนกลับมาเป็นชาลีอีกครั้ง เชนมองหน้าเป๋อเหลอของเด็กแว่นตรงหน้าอย่างพิจารณา นาทีแรกที่เขาบอกว่าไม่คืน นึกว่าเธอจะเหวี่ยงวีนใส่เขาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าเธอเพียงแค่ทำหน้ามึนๆงงๆเท่านั้น เขาเดาอารมณ์คนตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ แว่นที่เขาใส่อยู่นั้น ได้มาจากเอวานั้นเป็นความจริง แต่ตอนนี้มันกลายมาเป็นของเขาแล้ว
“แว่นนี่เธออย่าเอาคืนเลย มันไม่เหมาะกับเธอหรอกยัยลูกเป็ด…”
“?”
“ลูกเป็ดเหรอคะ” มารีย์ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นานถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะเธอดูยังไงคนตรงหน้าก็หน้าไม่เหมือนเป็ดเลยสักนิด
“อืม ลูกเป็ด..ลูกเป็ดอะไรนะ จำได้ว่าคุณยายเคยสอนสำนวนไทยที่แปลว่า ‘ไม่สวย’ ไง”
คำตอบของเชนคราวนี้ไม่ได้ทำให้มารีย์อึ้งอีกต่อไปแล้ว แต่มันทำให้เธอหน้าเสียขึ้นมาแทน เพราะว่ามันกลายมาเป็นว่าเธอชี้โพรงให้เชนหลอกด่าผู้หญิงตรงหน้าอย่างไรก็ไม่รู้ หญิงสาวส่งสายตาเห็นใจไปทางชาลีที่ยืนยิ้มอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านแทน
“ลูกเป็ดขี้เหร่”
“เยส! นั่นแหละ ลูกเป็ดขี้เหร่”
ชาลีมองคนที่ทำท่าดีใจอย่างไม่รู้สำนึกแทน..เอาเถอะ เธอจะถือเสียว่าสอนภาษาไทยให้ฝรั่งไปก็แล้วกัน รู้สึกรักชาติและภาษาไทยขึ้นมาเป็นกอง
“อืม แล้วมันไม่เหมาะกับฉันยังไง”
“ก็แว่นนี่..ใส่แล้วขี้เหร่ขึ้นมากๆ เวลาเธอใส่แล้วเธอไม่รู้สึกเหรอ ขนาดฉันใส่แล้วยังรู้สึกขี้เหร่ขึ้นจมเลย”
ร้ายกาจ…เป็นคำพูดที่น่าต่อยปากให้แตกนัก แต่..แวบหนึ่งชาลีกลับรู้สึกว่าเขาดูจริงใจขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเขาพูดเรื่องจริง ผู้ชายคนนี้ไม่ชมว่าเธอน่ารัก.. เขาไม่ชมแถมยังบอกว่าเธอเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ซึ่งไม่เคยมีใครพูดจาทำร้ายจิตใจกับเธอมากเท่านี้มาก่อน แต่มันก็ดู….น่าฟังกว่าพวกที่ชมว่า
‘อย่างน้อยเธอก็นิสัยน่ารักนะ’ อะไรทำนองนี้เสียอีก
“อืม ฉันรู้ว่าฉันมันขี้เหร่ ใส่มันแล้วมันยิ่งขี้เหร่ แต่ฉันก็บอกคุณไปแล้วว่าแว่นนี่มีคุณค่าทางใจกับฉันมากและถ้ามันจะทำให้คุณขี้เหร่ขึ้นหลายเท่า บดบังความหล่อครันทรี่ๆของคุณ แล้วคุณจะเก็บมันไว้ทำไม…คะ”
“เอ่อ…มารีย์ว่าใจเย็นๆกันก่อนนะคะ”
หญิงสาวที่ดูมีสงบมากกว่าใครเพื่อนรีบเอามือแตะแขนชายหนุ่มที่เธอเพิ่งจะรู้จักกับเขามาแค่อาทิตย์กว่าๆ อย่างน้อยเธอก็หวังว่าเขาจะไม่โมโหจนทำร้ายหญิงสาวตรงหน้าที่บอกว่าเขาหล่อแบบครันทรี่….
“ฉันขอแว่นคืนด้วยเถอะค่ะ”
“ไม่”
เชนยังยืนยันคำเดิม ก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือของมารีย์ไว้ แล้วออกแรงเดินหนีไปอีกทางแทนที่จะเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ใจร้าย”
ชาลีพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด เธอไม่มีอารมณ์จะวิ่งตามเขาไปอีกแน่ๆ เพราะดูจากท่าทีแล้วเขาไม่น่าจะคืนเธอดีๆ จะติดใจอะไรกับแว่นของเธอนักหนานะ! ดูจากการแต่งตัวก็ดูน่าจะฐานะดีมากๆ กะอีแค่แว่นอันเดียว ขนหน้าแข้งก็ไม่น่าจะร่วงสักเส้นนี่นา…
“ถ้าอยากเอาคืน ก็ไปหาเอวาสิ”
ชาลีเหลือบตาแดงๆขึ้นไปมองเสียงที่ดังอยู่เหนือหัว แต่มองได้เพียงแปปเดียวเขาก็คว้าแขนสาวสวยที่พามาด้วยเดินห่างไปอีกแล้ว ทิ้งให้เธอยืนเคว้งอยู่หน้าร้านอาหารที่คุณฮันจุงนัดมาเมื่อตอนหัวค่ำคนเดียว…
มารีย์มองหน้าเชนสลับกับมือของตัวเองที่ถูกชายหนุ่มบีบไว้แน่น ..หลังจากเดินจากผู้หญิงคนนั้นมาได้ไม่กี่ก้าวดี เธอก็เห็นเชนหันไปมองหล่อนอีกครั้ง ทันทีที่เห็นหน้าหงอยๆและท่าคอตกนั่น.. เขาก็เดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเธอเดาถูก.. แววตาของเขาดูสนใจผู้หญิงคนนั้นมากทีเดียว!!
จบตอน.
ที่จริงแล้วที่แต่งไว้มันต่อจากตอนที่ 1 เลยค่ะ แต่เอามาลงไม่พอ เลยเอามาต่อหน้านี้เลย
กลางสายฝน ตอนที่ 3
เอาเป็นว่าผ่านไปดูเนื้อหาเลยค่ะ
“ใช่ค่ะ มันน่าสนใจมากๆ..เฮ้ย!”
เผลอตอบไปแล้วก็ต้องตกใจเพราะเสียงนุ่มๆดังอยู่ข้างหูเป็นภาษาเกาหลี แล้วก็ต้องตกใจอีกหลายเท่าเมื่อได้เห็นชัดๆว่าคนที่กำลังเอามือไขว้หลังมองเธอด้วยสายตาเป็นประกายนั้นคือ…คุณฮันจุง ลูกค้าคนสำคัญ!!
“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะครับ..หน้าผมน่ากลัวเหรอ”ชายหนุ่มพูดก่อนจะหัวเราะเบาๆ เขาเดินตามหลังเธอมาตั้งแต่หญิงสาวลงมาจากรถแท็กซี่แล้ว เมื่อมาถึงหน้าร้านว่าจะทักทายแต่เธอกลับเอาแต่จ้องมองป้ายรับสมัครงานจนเอาอดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูด้วยคน แต่เธอก็ดูเหมือนจะสนใจมันมาก จากอาการอ่านป้ายขึ้นลงตั้งหลายรอบ
“แหม ถ้าคุณน่ากลัว ฉันก็สยองแล้วล่ะค่ะ” ชาลีขยับแว่นอย่างเก้อๆ ก่อนจะได้รับเสียงหัวเราะจากเขามาแทน
“คุณเนี่ยนะสยอง” เขามองเธอยิ้มๆ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดต่อ “คุณน่ารักมากต่างหาก”
“นิสัยน่ารักเหรอคะ”
“น่ารักทั้งหมดนั่นแหละครับ”
คนถูกชมทำหน้าเหลอหลา ทำให้คนมองคิดว่าเธออาจจะกำลังเขินอาย แต่เปล่าเลยสักนิด ความเขินอายมีอยู่ในหัวชั่วแวบหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งที่เธอกำลังคิดก็คือ…
“ฉันยังไม่ได้สวัสดีคุณเลยค่ะ”
“……”
ชาลีแอบเหลือบมองหน้าใสๆของลูกค้าคนสำคัญที่กำลังเดินอยู่ข้างเธอในตอนนี้ ผู้ชายคนนี้น่ารัก อัธยาศัยดีและไม่เคยถือตัวว่าเธอเป็นแค่ลูกน้องของบุษบา ตลอดมื้อค่ำที่ผ่านมาเขาคอยดูแลเธออย่างกับเธอเป็นลูกค้าและเขาเป็นคนต้อนรับซะมากกว่า…แต่ท่าทีของเขาก็ปรกติดี ไม่ได้แสดงอาการก้อร้อก้อติกอะไรให้เธออึดอัดเหมือนลูกค้าบางคนที่เธอเคยรู้สึก ถึงแม้ว่าเธอจะไม่สวยก็เถอะ!
คิดมาถึงตรงนี้เท้าที่กำลังเดิน ตาที่กำลังเหล่หน้าลูกค้าก็สะดุดกึก เมื่อคนที่เพิ่งเดินผ่านข้างคุณฮันจุงไปมีใบหน้าที่คุ้นเหลือเกิน แต่สิ่งที่คุ้นกว่านั้นก็คือ…แว่นที่อยู่บนหน้าฝรั่งๆนั่น! นั่นมันแว่นของโอปป้าเค ที่เจ๊ชาร์มไปสอยมาให้เธอชัดๆ!
“หน้าผมมีอะไรติดเหรอครับ”
คนที่กำลังเดินคิดอะไรเพลินๆ ขมวดคิ้วมื่อรู้สึกว่าตนถูกจ้องมองและเมื่อหันมาดูสาวน้อยข้างๆ ก็พบว่าเธอกำลังมองเขาอยู่จริงๆ แถมยังขมวดคิ้วยุ่งมากกว่าเขาเสียอีก
“ไม่ใช่คุณค่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ฮันจุงทำหน้าสงสัย ถ้าเธอไม่ได้มองเขา แล้วเธอมองใคร? แต่ก่อนที่จะได้ถามออกไป ชาลีก็หันกลับมาบอกลาเขา ก่อนที่เธอจะวิ่งตามอะไรสักอย่างย้อนกลับไปในที่ๆพวกเขาเพิ่งเดินจากมา
‘คุณคะ! หยุดก่อนค่ะ’
เชน หรี่ตามองมือบางๆที่กำลังยึดแขนของเขาอยู่ราวกับจะหาที่พึ่งนั้นด้วยสายตาที่เฉยเมย ผู้หญิงคนนี้คือเหตุผลที่ทำให้เขาต้องกลับมาเมืองไทยพร้อมกับเอวา ลูกพี่ลูกน้องที่เปรียบเสมือนพี่สาวของเขา แต่ให้ทำใจยังไงก็ชอบผู้หญิงในลักษณะนี้ไม่ค่อยจะลงเสียที เธอเป็นกุลสตรีที่ดี แต่สำหรับเขาเธอจืดชืดไปหน่อย เธอพูดจาหวานหู แต่เขากลับรู้สึกว่ามันน่าเบื่อ เธอเป็นคนดี..แต่ไม่น่าค้นหา
แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เธอ…มารีย์ไม่ผิด เธอก็โดนมัดมือชกมาไม่ต่างจากเขาซักเท่าไหร่หรอก
‘คุณเอาแว่นกลมของโอปป้าเคฉันคืนมาน้า!’
เชนขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อยเมื่อใบหน้าซีดๆของมารีย์ที่อยู่เตี้ยกว่าโข แหงนหน้าขึ้นมาหา
“ร้านนี้แหละค่ะ”
มารีย์มองหน้าคู่ดูตัวที่เธอต้องทิ้งงานที่ร้านขนมไทยของตัวเองซึ่งขณะนี้น่าจะมีลูกค้าเต็มร้าน เพื่อมาทานอาหารกับเขาตามคำสั่งของมารดา ก่อนที่เธอจะปล่อยมือตัวเองจากแขนของเขา หญิงสาวหายใจโล่ง มีความรู้สึกถึงอิสรภาพ แต่เชนที่กำลังรออิสรภาพเหมือนกัน กลับรู้สึกว่า ‘ เหมือนจะ’ มีพันธะอะไรบางอย่างมายึดแขนเขาไว้แทนที่มารีย์เมื่อครู่
“ฉันบอกให้คุณหยุดไง!!!”
“อะไร”
เขาถามกลับห้วนๆ เมื่อจู่ๆคนตัวเล็กสวมแว่นหนากลมๆ ที่ถือวิสาสะมาจับแขนเขาแล้วยังมาตะคอกใส่หน้าเขาอีก..ถึงแม้ว่าความสูงของเธอจะไม่ถึงหน้าแต่แค่เลยไหล่เขามานิดหน่อยก็เถอะ
“แว่น”
“แว่นอะไร”
เชนถามเสียงเย็นเมื่อเห็นว่าคนที่ยังจับแขนเขาอยู่ยังหอบอยู่ไม่หาย ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการวิ่งตามเขามา
“แว่นอันนี้ คุณได้จากที่ไหนมาคะ” เมื่อตั้งสติได้เธอก็รีบถามเขาทันที แต่คราวนี้เธอค่อนข้างจะสุภาพกว่าประโยคแรกซึ่งเกิดจากอารมณ์ล้วนๆ เนื่องจากว่าเรียกเท่าไหร่เขาก็ไม่ได้ยินเสียที เพราะมัวแต่สวีทหวานกับผู้หญิงสวยๆคนที่ยืนอยู่ตรงนี้อยู่นั่นเอง
“ได้มาจากที่ๆ เธอไม่มีหวังได้มันมาน่ะสิ”
คำตอบนั้นทำให้ผู้หญิงสองคนที่บุคลิกภายนอกคล้ายคลึงกันอ้าปากค้างไปตามๆกัน ก่อนที่คนที่ถูกพาดพิงมากกว่าอย่างชาลีจะกระพริบตาไล่ความอึ้งกับคำพูดที่แบ่งชนชั้นนั้นทิ้ง แล้วมองผู้ชายหน้าฝรั่งอย่างเต็มตา ก่อนจะจำได้ว่า เขาคือคนที่เธอชมว่าหน้าตาดีเหมาะสมกับไฮโซอย่างคุณเอวาไปหมาดๆที่งานแต่งงานน้ำหนึ่งนั่นเอง!
“ถ้าไอ้ที่ที่ฉันไม่มีหวังอย่างที่คุณว่าจะหมายถึงคุณเอวาล่ะก็ แว่นที่อยู่บนหน้าคุณนั่นก็แว่นจากคนที่ไม่มีหวังคนนี้นี่แหละ คุณฝรั่ง!”
เชนกระพริบตาถี่ๆราวกับลอกเลียนแบบมาจากหญิงสาวที่กำลังยืนขึ้นเสียงกับเขาเมื่อสักครู่ ในขณะที่มารีย์อึ้งไปอีกครั้งเมื่อได้ยินวาจาที่ออกมาจากปากคนที่ดูเพียงผิวเผินดูน่ารัก เรียบร้อย คล้ายๆกับเธอ
“เธอพูดอะไรของเธอ ฉันไม่รู้เรื่อง”
เขาหมายความตามที่พูด เพราะถึงแม้จะฟังภาษาไทยออกและรู้เรื่องดี แต่ถ้าพูดมารัวๆแบบที่ออกจากปากยัยแว่นตรงหน้า คนที่ไม่ได้อยู่เมืองไทยมาตั้งแต่เกิดอย่างเขาก็ต้องมีงงบ้างล่ะ แต่ชาลีกลับคิดเป็นอีกอย่าง
“ไม่รู้เรื่องก็เรื่องของคุณ แต่ถ้าแว่นนี่ใช่แว่นที่ได้มาจากคุณเอวาล่ะก็ ฉันขอคืนเถอะ แว่นนี้สำคัญกับฉันมาก” และแพงมากด้วย…เธอคิด “รู้เรื่องไหมคะ” ชาลีย้ำอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าฝรั่งยังทำหน้างงอยู่
เชนประมวลผลในสิ่งที่คนตรงหน้าพูดก่อนจะใช้มือจับมือนุ่มๆของเธอให้ออกจากแขนของเขา
“รู้เรื่อง..แต่ไม่คืน”
“อ้าว”
คราวนี้คนที่มึนกลับมาเป็นชาลีอีกครั้ง เชนมองหน้าเป๋อเหลอของเด็กแว่นตรงหน้าอย่างพิจารณา นาทีแรกที่เขาบอกว่าไม่คืน นึกว่าเธอจะเหวี่ยงวีนใส่เขาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าเธอเพียงแค่ทำหน้ามึนๆงงๆเท่านั้น เขาเดาอารมณ์คนตรงหน้าไม่ออกเลยจริงๆ แว่นที่เขาใส่อยู่นั้น ได้มาจากเอวานั้นเป็นความจริง แต่ตอนนี้มันกลายมาเป็นของเขาแล้ว
“แว่นนี่เธออย่าเอาคืนเลย มันไม่เหมาะกับเธอหรอกยัยลูกเป็ด…”
“?”
“ลูกเป็ดเหรอคะ” มารีย์ที่ยืนดูสถานการณ์อยู่นานถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะเธอดูยังไงคนตรงหน้าก็หน้าไม่เหมือนเป็ดเลยสักนิด
“อืม ลูกเป็ด..ลูกเป็ดอะไรนะ จำได้ว่าคุณยายเคยสอนสำนวนไทยที่แปลว่า ‘ไม่สวย’ ไง”
คำตอบของเชนคราวนี้ไม่ได้ทำให้มารีย์อึ้งอีกต่อไปแล้ว แต่มันทำให้เธอหน้าเสียขึ้นมาแทน เพราะว่ามันกลายมาเป็นว่าเธอชี้โพรงให้เชนหลอกด่าผู้หญิงตรงหน้าอย่างไรก็ไม่รู้ หญิงสาวส่งสายตาเห็นใจไปทางชาลีที่ยืนยิ้มอยู่อย่างไม่สะทกสะท้านแทน
“ลูกเป็ดขี้เหร่”
“เยส! นั่นแหละ ลูกเป็ดขี้เหร่”
ชาลีมองคนที่ทำท่าดีใจอย่างไม่รู้สำนึกแทน..เอาเถอะ เธอจะถือเสียว่าสอนภาษาไทยให้ฝรั่งไปก็แล้วกัน รู้สึกรักชาติและภาษาไทยขึ้นมาเป็นกอง
“อืม แล้วมันไม่เหมาะกับฉันยังไง”
“ก็แว่นนี่..ใส่แล้วขี้เหร่ขึ้นมากๆ เวลาเธอใส่แล้วเธอไม่รู้สึกเหรอ ขนาดฉันใส่แล้วยังรู้สึกขี้เหร่ขึ้นจมเลย”
ร้ายกาจ…เป็นคำพูดที่น่าต่อยปากให้แตกนัก แต่..แวบหนึ่งชาลีกลับรู้สึกว่าเขาดูจริงใจขึ้นมา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าเขาพูดเรื่องจริง ผู้ชายคนนี้ไม่ชมว่าเธอน่ารัก.. เขาไม่ชมแถมยังบอกว่าเธอเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ ซึ่งไม่เคยมีใครพูดจาทำร้ายจิตใจกับเธอมากเท่านี้มาก่อน แต่มันก็ดู….น่าฟังกว่าพวกที่ชมว่า
‘อย่างน้อยเธอก็นิสัยน่ารักนะ’ อะไรทำนองนี้เสียอีก
“อืม ฉันรู้ว่าฉันมันขี้เหร่ ใส่มันแล้วมันยิ่งขี้เหร่ แต่ฉันก็บอกคุณไปแล้วว่าแว่นนี่มีคุณค่าทางใจกับฉันมากและถ้ามันจะทำให้คุณขี้เหร่ขึ้นหลายเท่า บดบังความหล่อครันทรี่ๆของคุณ แล้วคุณจะเก็บมันไว้ทำไม…คะ”
“เอ่อ…มารีย์ว่าใจเย็นๆกันก่อนนะคะ”
หญิงสาวที่ดูมีสงบมากกว่าใครเพื่อนรีบเอามือแตะแขนชายหนุ่มที่เธอเพิ่งจะรู้จักกับเขามาแค่อาทิตย์กว่าๆ อย่างน้อยเธอก็หวังว่าเขาจะไม่โมโหจนทำร้ายหญิงสาวตรงหน้าที่บอกว่าเขาหล่อแบบครันทรี่….
“ฉันขอแว่นคืนด้วยเถอะค่ะ”
“ไม่”
เชนยังยืนยันคำเดิม ก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือของมารีย์ไว้ แล้วออกแรงเดินหนีไปอีกทางแทนที่จะเดินเข้าร้านอาหารที่อยู่ตรงหน้า
“ใจร้าย”
ชาลีพึมพำ ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด เธอไม่มีอารมณ์จะวิ่งตามเขาไปอีกแน่ๆ เพราะดูจากท่าทีแล้วเขาไม่น่าจะคืนเธอดีๆ จะติดใจอะไรกับแว่นของเธอนักหนานะ! ดูจากการแต่งตัวก็ดูน่าจะฐานะดีมากๆ กะอีแค่แว่นอันเดียว ขนหน้าแข้งก็ไม่น่าจะร่วงสักเส้นนี่นา…
“ถ้าอยากเอาคืน ก็ไปหาเอวาสิ”
ชาลีเหลือบตาแดงๆขึ้นไปมองเสียงที่ดังอยู่เหนือหัว แต่มองได้เพียงแปปเดียวเขาก็คว้าแขนสาวสวยที่พามาด้วยเดินห่างไปอีกแล้ว ทิ้งให้เธอยืนเคว้งอยู่หน้าร้านอาหารที่คุณฮันจุงนัดมาเมื่อตอนหัวค่ำคนเดียว…
มารีย์มองหน้าเชนสลับกับมือของตัวเองที่ถูกชายหนุ่มบีบไว้แน่น ..หลังจากเดินจากผู้หญิงคนนั้นมาได้ไม่กี่ก้าวดี เธอก็เห็นเชนหันไปมองหล่อนอีกครั้ง ทันทีที่เห็นหน้าหงอยๆและท่าคอตกนั่น.. เขาก็เดินกลับไปหาผู้หญิงคนนั้นอย่างรวดเร็ว ถ้าเธอเดาถูก.. แววตาของเขาดูสนใจผู้หญิงคนนั้นมากทีเดียว!!
จบตอน.
ที่จริงแล้วที่แต่งไว้มันต่อจากตอนที่ 1 เลยค่ะ แต่เอามาลงไม่พอ เลยเอามาต่อหน้านี้เลย