เหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 20 คน และบาดเจ็บกว่า 700 คน โดยเฉพาะการเสียชีวิตของเด็กถึง 3 คนคือ ด.ญ.ณัฐยา รอสูงเนิน อายุ 5 ปี จาก เหตุระเบิดเวที กปปส. ที่ตราด และ 2 พี่น้องจากระเบิดบริเวณราชประสงค์คือ ด.ช. กรวิชญ์ ยศอุบล อายุ 4 ปี และ ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล อายุ 6 ปี ทั้งที่ไปซื้อของที่ห้างบิ๊กซี ไม่ได้ไปร่วมชุมนุม กับม็อบ แต่ก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าสงสาร
การเสียชีวิตของเด็กทั้ง 3 คนจึงมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากขณะนี้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนความขัดแย้งทางการเมืองที่นำมาสู่การเจรจา ไม่ใช่แค่คำพูดไม่กี่คำเพื่อแสดงความเสียใจ หรือการบีบน้ำตาของผู้นำหรือแกนนำแล้วฉวยโอกาสปลุกระดมโยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้คนไทยเกิดความโกรธเกลียดและเคียดแค้นกันเพิ่มขึ้น
นายทนากร ยศอุบล บิดาของเด็กทั้งสองที่เสียชีวิต ได้วิงวอนให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด อยากให้กรณีลูกของตนเป็นอุทาหรณ์ ทั้งที่ตนและภรรยาเจ็บมากและรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกไป แต่ก็ไม่ถือโทษใครและอโหสิกรรมให้
“เป็นการสูญเสียที่ไม่รู้จะต้องใช้เวลานานเท่าไรในการทำใจ ลูกผมเป็นเด็กบริสุทธิ์ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่มากเกินไป หากไม่เกิดกับคนใกล้ตัวของตัวเองไม่มีทางรู้ว่าจะเสียใจขนาดไหน ผมและภรรยายังทำใจไม่ได้ ทุกวันนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดกับครอบครัวผม”
Hate Speech ด่าให้สะใจ
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ได้ปราศรัยให้ผู้ชุมนุม กปปส. ใส่ชุดดำไว้ทุกข์ให้เด็กทั้ง 3 คนเป็นเวลา 3 วัน และยังปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมเดินหน้าโค่นล้มระบอบทักษิณและขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ได้
คำปราศรัยของนายสุเทพยังเป็นลักษณะ Hate Speech ด่าให้สะใจ อย่างที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ ในเฟซบุ๊คว่า เป็นการพูดเพื่อสร้างความเกลียดชังแตกแยกและสร้างความรุนแรง ปลุกเร้าให้มวลชนที่เปรียบเสมือนผ้าขาวถูกนักการเมืองแต่งแต้มชโลมสี บางคนด่า 4 เดือนติดต่อกันบนเวทีโดยไม่ซ้ำแม้แต่เรื่องเดียว ขุดได้ถึงโคตรเหง้า คนฟังก็ตบมือชอบใจเหมือนเสพยากล่อมประสาท แล้วยังนำไปแชร์ผ่านทางไลน์ ไปพูดขยายความต่อในหมู่เพื่อนฝูงเพื่ออวดภูมิปัญญาว่ารู้มากกว่า จนคนจำนวนมากติดเชื้อสันดานนักการเมือง (อ่านเพิ่มเติมหน้า 10 จับกระแสการเมือง : Hate Speech สันดานนักการเมือง-นักวิชาการ)
การชุมนุมของ กปปส. จึงถูกตั้งคำถามว่า ยังเป็นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ อหิงสา หรือไม่ เพราะทุกวันนายสุเทพและแกนนำยังใช้วาทกรรม Hate Speech ทั้งข่มขู่ ใส่ร้าย และอาฆาตมาดร้าย แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในที่ชุมนุมยังซึมซับคำด่าทอต่างๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าการเมืองคืออะไร ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ไม่คิดจะตักเตือน แล้วยังภูมิใจที่ลูกหลานตัวเองด่าเก่งเหมือนบรรดาแกนนำอีก
ทำลายความเกลียดชัง
นายไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้เรียกร้องว่า สิ่งแรกที่ต้องปฏิรูปคือ การทำลายสิ่งที่บ่มเพาะความเกลียดชังให้เกิดความรุนแรง เพราะตั้งแต่ปี 2548 จน ถึงปัจจุบันมีแต่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้สนับสนุนการใช้ความรุนแรงอยู่ มีกองกำลังนอกกฎหมายซึ่งกระทำอะไรก็ไม่ผิด ได้รับการยกย่อง แถมสังคมก็ลงโทษไม่ได้ จึงต้องเร่งขจัดความรุนแรง ใช้ความยุติธรรมเชิงเปลี่ยนผ่านมาจัดการความขัดแย้งด้วยการลดโทษ ให้อภัยกัน จึงจะปรองดองกันได้ ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ ใช่ปากว่าตาขยิบ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวง ยุติธรรม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ทุกฝ่ายเจรจาเพื่อยุติปัญหา กล่าวว่า แม้จะยอมรับว่าไม่ง่าย แต่ก็ต้องพยายาม แม้แต่องค์กรอิสระก็อย่าทำตัวให้เป็นปัญหากับการเจรจา และย้ำว่าหากไม่ทำอะไรในกรอบของกฎหมาย บ้านเมืองก็ไม่มีขื่อมีแป ปัญหาก็ไม่จบ หรือถ้าจบก็แค่ชั่วคราว แต่บ้านเมืองจะลำบากไปชั่วโคตรถึงอนุชนรุ่นหลัง และจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน
ความหายนะและล่มจม
ความรุนแรงที่เกิดอย่างต่อเนื่องและรุน แรงเพิ่มขึ้น ทั้งรัฐบาลและนายสุเทพต่างก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ทำ ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ที่การจับผู้กระทำผิดมาให้ได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพราะหากยังไม่ได้ผู้กระทำผิด นายสุเทพและพวกก็ยังฉวยโอกาสนำไปปลุกระดมเพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และให้มวลชนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานว่าฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือ
การชุมนุมที่ยืดเยื้อ และม็อบ กปปส. ยังออกอาละวาดปิดสถานที่ราชการไม่ให้ข้าราชการ ทำงาน และเริ่มไปข่มขู่ภาคธุรกิจ ก็มีแต่คนประ ณาม เพราะทำให้ประชาชนมากมายเดือดร้อน เศรษฐกิจบ้านเมืองมีแต่จมลึก อย่างที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งละลาย และชี้ว่าหากไม่ยุติความขัดแย้งนี้โดยเร็วจะยิ่งกระทบความมั่นใจในระดับสากลที่มีต่อเมืองไทย จะไม่มีประเทศใดเชื่อเครดิตประเทศไทยอีกต่อไป
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกมาประกาศว่าต้องยุติความรุนแรงและทุกฝ่ายต้องร่วมกันแสวง หาทางออกให้ได้โดยเร็วที่สุด มาต่อสู้กันตามกฎกติกาตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อความถูกต้อง ความชอบธรรม และความยุติ ธรรม บนมาตรฐานที่ทัดเทียม ก่อนที่ทุกระบบในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยจะสูญเสียไปอย่างถาวร
สองฝ่ายถอยได้-จบทันที
การออกมาพูดและเรียกร้องของฝ่ายต่างๆขณะนี้ จึงแตกต่างจากสถานการณ์ที่ผ่านมาที่เป็นการเรียกร้องอย่างสุดโต่งของแต่ละฝ่าย แม้ขณะนี้หลายฝ่ายจะยังมองว่ามีแต่ทางตันและเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรงจนถึงสงครามกลางเมือง อย่างที่แกนนำเสื้อแดงประกาศพร้อมจะออกมาสู้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อเป็นหนึ่งในคณะเจรจาหาทาง ออกความขัดแย้งทางการเมือง ก็ยอมรับว่าวันนี้ยังไม่เห็นทางออก แม้ตลอด 3 เดือนจะมีการพูดคุยทุกวัน ทุกเงื่อนไข พูดกันหมดทุกเรื่องแล้วก็ตาม
นายวัฒนาก็เชื่อว่า ในวิกฤตยังมีโอกาสเสมอ โดยเปรียบเหมือนมวยเวลาชกกันต่างก็อยากชนะ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเกิดความล้าก็อยากจะเลิกและคลานลงจากเวทีด้วยกันทั้งคู่ วันนี้จึงต้องหาคนที่จะมาหาทางออกและทางลงให้ทั้งนายสุเทพและรัฐบาลลงจากเวที ซึ่งคิดว่ายกสุดท้ายต้องจบภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
“สถานการณ์ที่พัฒนามาถึงตรงนี้คือ ฝั่งนายสุเทพหมดมุขที่จะเล่น ฝ่ายรัฐบาลก็อยู่แบบซังกะตาย บริหารไม่ได้ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ประชุมสภาไม่ได้ ซึ่งถ้ามีจุดที่สมดุล ทั้งสองฝ่ายถอยได้ จบทันที เพราะสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยคือการปฏิรูปที่คุยร่วมกัน ดังนั้น ทำไมไม่เอาจุดร่วมตรงนี้มาให้นายสุเทพเป็นคนดีไซน์ (ออกแบบ) อย่างเช่น ต้องการปฏิรูปประเทศ รัฐบาลก็พร้อมจะทำ โดยที่รัฐบาลไม่ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เป็นการดำเนินการโดยคนกลางที่นายสุเทพเห็นว่าเป็นคนกลางที่เหมาะสม ประเด็นไหนที่เห็นต่างกันก็ให้ไปถามประชาชนโดยการทำประชามติ”
ความเอียงทำให้เสื่อม
ปัญหาขณะนี้จึงอยู่ที่ผู้นำและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสองฝ่ายที่ยังเต็มไปด้วยอคติ จึงทำให้เกิดความลำเอียง โกรธและเกลียด ซึ่งตราบใดที่ยังจมปลักกับอคติที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อคติ 4” คือ รัก เกลียด กลัว และหลง ก็จะทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรมและความลำเอียง สุดท้ายก็นำไปสู่ความเสื่อมทั้งตัวเองและส่วนรวม เพราะอคติที่เกิดขึ้นขณะนี้ลุก ลามไปเกือบทุกองค์กรในสังคมไทย แม้แต่ในสถาบันครอบครัว
อคติเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่มีกิเลส-ตัณหา จึงทำให้มีความลำเอียงและติดยึดในผลประโยชน์ของตนเอง อย่างที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า “ตัวกู-ของกู” ทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม ไม่ยุติธรรม และทำในสิ่งที่ไม่ควร เอาความถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง ไม่ยึดถือความยุติธรรม
โดยเฉพาะองค์กรอิสระและสถาบันตุลา การที่ต้องมีความยุติธรรมเหมือน “Themis” เทพีแห่งความยุติธรรมในยุคกรีกที่เปรียบเหมือน “เปาบุ้นจิ้น” ซึ่งมีผ้าปิดตาทั้ง 2 ข้าง เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดความเอนเอียง ใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดถือตราชู เพื่อไม่สามารถบังคับตราชูให้เอนเอียงไปตามความต้องการของตนเอง และมือขวาถือดาบ เพื่อความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจลงโทษ (อ่านล้อมกรอบด้านขวามือ)
ไม่เว้นแม้แต่สื่อที่วันนี้เต็มไปด้วย “สื่อเสี้ยม” เสนอข่าวที่เป็นเท็จ ลำเอียงหรือบิดเบือน เพื่อสร้างความเกลียดชัง เช่นเดียวกับนักวิชาการสีเทามากมายทั้งที่ขึ้นเวทีม็อบและออกมาให้ความเห็นต่างๆโดยไม่สนใจเรื่องของหลักการและตรรกะความถูกต้อง
แม้แต่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ยังแสดงให้เห็นอคติและความลำเอียงชัดเจน อย่างที่แถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและรัฐบาลยุติการปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เรียกร้องให้ม็อบหยุดทำตัวเป็น “อันธพาล” ทำผิดกฎหมาย
ตราบใดที่บ้านเมืองยังมีแต่อคติ ก็จะมีแต่ความลำเอียง และนำไปสู่ความโกรธเกลียด ความโง่เขลา ความหลง และในที่สุดก็ไม่กลัวการกระทำผิด กระทำชั่ว บ้านเมืองก็มีแต่ความ เสื่อมและดำดิ่งสู่ความหายนะ
คนทั่วไปปรกติเมื่อเกิดอคติก็เกิดความเสียหายอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ยิ่งต้องปราศจากอคติ
โดยเฉพาะองค์กรอิสระและตุลาการที่เหมือนเสาหลักของความยุติธรรม หากอคติก็จะ ยิ่งเกิดความลำเอียง และเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ความกลัวทำให้เสื่อม!
ความเอียงทำให้เสื่อมยิ่งกว่า!
ปล.ภาพจากโลกวันนี้ ขอบคุณครับ
http://www.lokwannee.com/web2013/?p=57613
ความเอียงทำให้เสื่อม / โดย ทีมข่าวการเมือง จากโลกวันนี้วันศุกร์ ครับ
เหตุการณ์ความรุนแรงกว่า 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 20 คน และบาดเจ็บกว่า 700 คน โดยเฉพาะการเสียชีวิตของเด็กถึง 3 คนคือ ด.ญ.ณัฐยา รอสูงเนิน อายุ 5 ปี จาก เหตุระเบิดเวที กปปส. ที่ตราด และ 2 พี่น้องจากระเบิดบริเวณราชประสงค์คือ ด.ช. กรวิชญ์ ยศอุบล อายุ 4 ปี และ ด.ญ.พัชรากร ยศอุบล อายุ 6 ปี ทั้งที่ไปซื้อของที่ห้างบิ๊กซี ไม่ได้ไปร่วมชุมนุม กับม็อบ แต่ก็ต้องเสียชีวิตอย่างน่าสงสาร
การเสียชีวิตของเด็กทั้ง 3 คนจึงมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากขณะนี้ และอาจเป็นจุดเปลี่ยนความขัดแย้งทางการเมืองที่นำมาสู่การเจรจา ไม่ใช่แค่คำพูดไม่กี่คำเพื่อแสดงความเสียใจ หรือการบีบน้ำตาของผู้นำหรือแกนนำแล้วฉวยโอกาสปลุกระดมโยนความผิดให้อีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อให้คนไทยเกิดความโกรธเกลียดและเคียดแค้นกันเพิ่มขึ้น
นายทนากร ยศอุบล บิดาของเด็กทั้งสองที่เสียชีวิต ได้วิงวอนให้เรื่องนี้จบลงโดยเร็วที่สุด อยากให้กรณีลูกของตนเป็นอุทาหรณ์ ทั้งที่ตนและภรรยาเจ็บมากและรับไม่ได้ที่ต้องสูญเสียลูกไป แต่ก็ไม่ถือโทษใครและอโหสิกรรมให้
“เป็นการสูญเสียที่ไม่รู้จะต้องใช้เวลานานเท่าไรในการทำใจ ลูกผมเป็นเด็กบริสุทธิ์ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่มากเกินไป หากไม่เกิดกับคนใกล้ตัวของตัวเองไม่มีทางรู้ว่าจะเสียใจขนาดไหน ผมและภรรยายังทำใจไม่ได้ ทุกวันนี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นเรื่องที่ไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดกับครอบครัวผม”
Hate Speech ด่าให้สะใจ
ขณะที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ กปปส. ได้ปราศรัยให้ผู้ชุมนุม กปปส. ใส่ชุดดำไว้ทุกข์ให้เด็กทั้ง 3 คนเป็นเวลา 3 วัน และยังปลุกระดมให้ผู้ชุมนุมเดินหน้าโค่นล้มระบอบทักษิณและขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้ได้
คำปราศรัยของนายสุเทพยังเป็นลักษณะ Hate Speech ด่าให้สะใจ อย่างที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์ ในเฟซบุ๊คว่า เป็นการพูดเพื่อสร้างความเกลียดชังแตกแยกและสร้างความรุนแรง ปลุกเร้าให้มวลชนที่เปรียบเสมือนผ้าขาวถูกนักการเมืองแต่งแต้มชโลมสี บางคนด่า 4 เดือนติดต่อกันบนเวทีโดยไม่ซ้ำแม้แต่เรื่องเดียว ขุดได้ถึงโคตรเหง้า คนฟังก็ตบมือชอบใจเหมือนเสพยากล่อมประสาท แล้วยังนำไปแชร์ผ่านทางไลน์ ไปพูดขยายความต่อในหมู่เพื่อนฝูงเพื่ออวดภูมิปัญญาว่ารู้มากกว่า จนคนจำนวนมากติดเชื้อสันดานนักการเมือง (อ่านเพิ่มเติมหน้า 10 จับกระแสการเมือง : Hate Speech สันดานนักการเมือง-นักวิชาการ)
การชุมนุมของ กปปส. จึงถูกตั้งคำถามว่า ยังเป็นการชุมนุมอย่างสงบ สันติ อหิงสา หรือไม่ เพราะทุกวันนายสุเทพและแกนนำยังใช้วาทกรรม Hate Speech ทั้งข่มขู่ ใส่ร้าย และอาฆาตมาดร้าย แม้กระทั่งเด็กที่อยู่ในที่ชุมนุมยังซึมซับคำด่าทอต่างๆ ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าการเมืองคืออะไร ขณะที่ผู้ใหญ่ก็ไม่คิดจะตักเตือน แล้วยังภูมิใจที่ลูกหลานตัวเองด่าเก่งเหมือนบรรดาแกนนำอีก
ทำลายความเกลียดชัง
นายไพโรจน์ พลเพชร คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย ได้เรียกร้องว่า สิ่งแรกที่ต้องปฏิรูปคือ การทำลายสิ่งที่บ่มเพาะความเกลียดชังให้เกิดความรุนแรง เพราะตั้งแต่ปี 2548 จน ถึงปัจจุบันมีแต่ความรุนแรงเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผู้สนับสนุนการใช้ความรุนแรงอยู่ มีกองกำลังนอกกฎหมายซึ่งกระทำอะไรก็ไม่ผิด ได้รับการยกย่อง แถมสังคมก็ลงโทษไม่ได้ จึงต้องเร่งขจัดความรุนแรง ใช้ความยุติธรรมเชิงเปลี่ยนผ่านมาจัดการความขัดแย้งด้วยการลดโทษ ให้อภัยกัน จึงจะปรองดองกันได้ ถึงเวลาแล้วที่ผู้นำทั้งสองฝ่ายต้องพูดเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ ใช่ปากว่าตาขยิบ
นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวง ยุติธรรม ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ทุกฝ่ายเจรจาเพื่อยุติปัญหา กล่าวว่า แม้จะยอมรับว่าไม่ง่าย แต่ก็ต้องพยายาม แม้แต่องค์กรอิสระก็อย่าทำตัวให้เป็นปัญหากับการเจรจา และย้ำว่าหากไม่ทำอะไรในกรอบของกฎหมาย บ้านเมืองก็ไม่มีขื่อมีแป ปัญหาก็ไม่จบ หรือถ้าจบก็แค่ชั่วคราว แต่บ้านเมืองจะลำบากไปชั่วโคตรถึงอนุชนรุ่นหลัง และจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน
ความหายนะและล่มจม
ความรุนแรงที่เกิดอย่างต่อเนื่องและรุน แรงเพิ่มขึ้น ทั้งรัฐบาลและนายสุเทพต่างก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ทำ ซึ่งทั้งหมดก็อยู่ที่การจับผู้กระทำผิดมาให้ได้ และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องเร่งดำเนินการ เพราะหากยังไม่ได้ผู้กระทำผิด นายสุเทพและพวกก็ยังฉวยโอกาสนำไปปลุกระดมเพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล และให้มวลชนมาร่วมชุมนุมมากขึ้น ทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานว่าฝ่ายใดเป็นผู้ลงมือ
การชุมนุมที่ยืดเยื้อ และม็อบ กปปส. ยังออกอาละวาดปิดสถานที่ราชการไม่ให้ข้าราชการ ทำงาน และเริ่มไปข่มขู่ภาคธุรกิจ ก็มีแต่คนประ ณาม เพราะทำให้ประชาชนมากมายเดือดร้อน เศรษฐกิจบ้านเมืองมีแต่จมลึก อย่างที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เปรียบเหมือนก้อนน้ำแข็งละลาย และชี้ว่าหากไม่ยุติความขัดแย้งนี้โดยเร็วจะยิ่งกระทบความมั่นใจในระดับสากลที่มีต่อเมืองไทย จะไม่มีประเทศใดเชื่อเครดิตประเทศไทยอีกต่อไป
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็ออกมาประกาศว่าต้องยุติความรุนแรงและทุกฝ่ายต้องร่วมกันแสวง หาทางออกให้ได้โดยเร็วที่สุด มาต่อสู้กันตามกฎกติกาตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อความถูกต้อง ความชอบธรรม และความยุติ ธรรม บนมาตรฐานที่ทัดเทียม ก่อนที่ทุกระบบในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยจะสูญเสียไปอย่างถาวร
สองฝ่ายถอยได้-จบทันที
การออกมาพูดและเรียกร้องของฝ่ายต่างๆขณะนี้ จึงแตกต่างจากสถานการณ์ที่ผ่านมาที่เป็นการเรียกร้องอย่างสุดโต่งของแต่ละฝ่าย แม้ขณะนี้หลายฝ่ายจะยังมองว่ามีแต่ทางตันและเสี่ยงที่จะนำไปสู่ความรุนแรงจนถึงสงครามกลางเมือง อย่างที่แกนนำเสื้อแดงประกาศพร้อมจะออกมาสู้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่มีชื่อเป็นหนึ่งในคณะเจรจาหาทาง ออกความขัดแย้งทางการเมือง ก็ยอมรับว่าวันนี้ยังไม่เห็นทางออก แม้ตลอด 3 เดือนจะมีการพูดคุยทุกวัน ทุกเงื่อนไข พูดกันหมดทุกเรื่องแล้วก็ตาม
นายวัฒนาก็เชื่อว่า ในวิกฤตยังมีโอกาสเสมอ โดยเปรียบเหมือนมวยเวลาชกกันต่างก็อยากชนะ แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเกิดความล้าก็อยากจะเลิกและคลานลงจากเวทีด้วยกันทั้งคู่ วันนี้จึงต้องหาคนที่จะมาหาทางออกและทางลงให้ทั้งนายสุเทพและรัฐบาลลงจากเวที ซึ่งคิดว่ายกสุดท้ายต้องจบภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้
“สถานการณ์ที่พัฒนามาถึงตรงนี้คือ ฝั่งนายสุเทพหมดมุขที่จะเล่น ฝ่ายรัฐบาลก็อยู่แบบซังกะตาย บริหารไม่ได้ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ ประชุมสภาไม่ได้ ซึ่งถ้ามีจุดที่สมดุล ทั้งสองฝ่ายถอยได้ จบทันที เพราะสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นเลยคือการปฏิรูปที่คุยร่วมกัน ดังนั้น ทำไมไม่เอาจุดร่วมตรงนี้มาให้นายสุเทพเป็นคนดีไซน์ (ออกแบบ) อย่างเช่น ต้องการปฏิรูปประเทศ รัฐบาลก็พร้อมจะทำ โดยที่รัฐบาลไม่ไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ให้เป็นการดำเนินการโดยคนกลางที่นายสุเทพเห็นว่าเป็นคนกลางที่เหมาะสม ประเด็นไหนที่เห็นต่างกันก็ให้ไปถามประชาชนโดยการทำประชามติ”
ความเอียงทำให้เสื่อม
ปัญหาขณะนี้จึงอยู่ที่ผู้นำและผู้อยู่เบื้องหลังทั้งสองฝ่ายที่ยังเต็มไปด้วยอคติ จึงทำให้เกิดความลำเอียง โกรธและเกลียด ซึ่งตราบใดที่ยังจมปลักกับอคติที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า “อคติ 4” คือ รัก เกลียด กลัว และหลง ก็จะทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรมและความลำเอียง สุดท้ายก็นำไปสู่ความเสื่อมทั้งตัวเองและส่วนรวม เพราะอคติที่เกิดขึ้นขณะนี้ลุก ลามไปเกือบทุกองค์กรในสังคมไทย แม้แต่ในสถาบันครอบครัว
อคติเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่มีกิเลส-ตัณหา จึงทำให้มีความลำเอียงและติดยึดในผลประโยชน์ของตนเอง อย่างที่ท่านพุทธทาสเรียกว่า “ตัวกู-ของกู” ทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม ไม่ยุติธรรม และทำในสิ่งที่ไม่ควร เอาความถูกใจอยู่เหนือความถูกต้อง ไม่ยึดถือความยุติธรรม
โดยเฉพาะองค์กรอิสระและสถาบันตุลา การที่ต้องมีความยุติธรรมเหมือน “Themis” เทพีแห่งความยุติธรรมในยุคกรีกที่เปรียบเหมือน “เปาบุ้นจิ้น” ซึ่งมีผ้าปิดตาทั้ง 2 ข้าง เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งต่างๆที่ทำให้เกิดความเอนเอียง ใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัดถือตราชู เพื่อไม่สามารถบังคับตราชูให้เอนเอียงไปตามความต้องการของตนเอง และมือขวาถือดาบ เพื่อความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจลงโทษ (อ่านล้อมกรอบด้านขวามือ)
ไม่เว้นแม้แต่สื่อที่วันนี้เต็มไปด้วย “สื่อเสี้ยม” เสนอข่าวที่เป็นเท็จ ลำเอียงหรือบิดเบือน เพื่อสร้างความเกลียดชัง เช่นเดียวกับนักวิชาการสีเทามากมายทั้งที่ขึ้นเวทีม็อบและออกมาให้ความเห็นต่างๆโดยไม่สนใจเรื่องของหลักการและตรรกะความถูกต้อง
แม้แต่ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ยังแสดงให้เห็นอคติและความลำเอียงชัดเจน อย่างที่แถลงการณ์เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกและรัฐบาลยุติการปฏิบัติหน้าที่ทั้งที่ขัดรัฐธรรมนูญ แต่ไม่เรียกร้องให้ม็อบหยุดทำตัวเป็น “อันธพาล” ทำผิดกฎหมาย
ตราบใดที่บ้านเมืองยังมีแต่อคติ ก็จะมีแต่ความลำเอียง และนำไปสู่ความโกรธเกลียด ความโง่เขลา ความหลง และในที่สุดก็ไม่กลัวการกระทำผิด กระทำชั่ว บ้านเมืองก็มีแต่ความ เสื่อมและดำดิ่งสู่ความหายนะ
คนทั่วไปปรกติเมื่อเกิดอคติก็เกิดความเสียหายอยู่แล้ว
ยิ่งเป็นผู้นำ ผู้ปกครอง ยิ่งต้องปราศจากอคติ
โดยเฉพาะองค์กรอิสระและตุลาการที่เหมือนเสาหลักของความยุติธรรม หากอคติก็จะ ยิ่งเกิดความลำเอียง และเสียหายอย่างใหญ่หลวง
ความกลัวทำให้เสื่อม!
ความเอียงทำให้เสื่อมยิ่งกว่า!
ปล.ภาพจากโลกวันนี้ ขอบคุณครับ
http://www.lokwannee.com/web2013/?p=57613