สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
เหยื่อของความแค้น
“ เล่าเซี่ยงชุน “
หองจอเจ้าเมืองกังแฮได้อยู่เป็นสุขมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งโจโฉมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปปราบปรามลิโป้เจ้าเมืองชีจิ๋วเรียบร้อยลงแล้ว ก็เตรียมจะทำศึกกับอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วต่อไป และส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียได้สำเร็จ เตียวสิ้วยอมเป็นพวกด้วย จึงส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเคยเป็นมิตรกับเตียวสิ้วบ้าง คนที่ส่งมานั้นชื่อยี่เอ๋ง เป็นคนที่โจโฉเกลียดชังแต่ที่ปรึกษาแนะนำให้มา โจโฉจึงแกล้งส่งมาลองฝีปากดู
ยี่เอ๋งกับทหารสองคนเมื่อมาถึงเมืองเกงจิ๋ว ก็เข้าไปหาและว่ากับเล่าเปียวตามที่ โจโฉใช้ให้มาเกลี้ยกล่อม แต่ยี่เอ๋งเป็นคนปากเสีย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดจายกตนข่มเล่าเปียว ทำทีดูถูกดูหมิ่นว่าเล่าเปียวหาความคิดไม่
เล่าเปียวก็โกรธ แต่ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจอารี จึงยั้งความโกรธไว้ได้ แล้วบอกแก่ ยี่เอ๋งว่า
“...........ซึ่งโจโฉใช้ให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมเรา เรายังมิปลงใจก่อน เมื่อใดท่านไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮ ปลงใจไปด้วยโจโฉแล้ว เราก็จะปลงใจด้วย...........”
ยี่เอ๋งก็ลาเล่าเปียว เดินทางไปเมืองกังแฮ ฝ่ายที่ปรึกษาทั้งหลายก็ถามเล่าเปียวว่า
“.............ยี่เอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นท่าน เหตุใดท่านจึงมิได้ฆ่าเสีย.........”
เล่าเปียวก็ตอบว่า
“............เรารู้กิตติศัพท์ว่ายี่เอ๋งคนนี้มีสติปัญญา แต่เป็นคนหามีอัชฌาสัยไม่ เมื่ออยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ก็ว่ากล่าวหยาบช้าแก่โจโฉเป็นหลายครั้ง โจโฉอุตส่าห์อดใจมิได้ให้ฆ่าเสีย เพราะเกรงว่าคนทั้งปวงจะนินทา ประการหนึ่งผู้จะเข้ามาอาสาทำการนั้น จะท้อใจว่าฆ่าคนดีเสีย ซึ่งแกล้งใช้ยี่เอ๋งมาเกลี้ยกล่อมเรานี้ หวังจะยืมมือเราฆ่ายี่เอ๋งเสีย จะให้ความชั่วนั้นอยู่แก่เรา เราจึงแกล้งให้ยี่เอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอ ด้วยหองจอใจร้ายมิยั้งหยุด ถ้ายี่เอ๋งไปว่ากล่าวหยาบช้าประการใด หองจอก็จะฆ่ายี่เอ๋งเสีย แม้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงโจโฉ เห็นโจโฉจะเกรงเรา อันความคิดโจโฉนั้นเราล่วงรู้เท่าอยู่............”
ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นพวกเดียวกันมาก่อน ก็ให้คนถือหนังสือมาหาเล่าเปียว มีใจความว่าให้เล่าเปียวร่วมมือคิดบำรุงแผ่นดิน เล่าเปียวจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า
“...........โจโฉกับอ้วนเสี้ยวเป็นศัตรูกันอยู่ บัดนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวให้มาเกลี้ยกล่อมเราทั้งสองฝ่าย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด..........”
ฮันสง ที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่า
“...........ครั้งนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คิดจะทำร้ายกัน ถ้าท่านไม่เข้าด้วยผู้ใด จะคิดให้เป็นประโยชน์จงดูท่วงที แม้เห็นข้างไหนเพลี่ยงพล้ำ ท่านจงยกไปตีเอาเมืองผู้นั้น แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ข้อหนึ่งว่า โจโฉนั้นมีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งการสงครามก็ชำนาญกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วรู้จักเลี้ยงคนดีมีลักษณะตามวิชาแลฝีมือ คนทั้งปวงเข้าด้วยโจโฉอยู่มิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะทำการศึกนั้น จะชนะอ้วนเสี้ยวฝ่ายเดียว ถ้าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เห็นจะยกกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายตะวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้านทานโจโฉมิได้ ขอให้ท่านสมัครเข้าทำการด้วยโจโฉ เห็นโจโฉจะเลี้ยงท่านเป็นปกติ............”
เล่าเปียวก็ว่า
“..........ท่านจงขึ้นไปฟังกิตติศัพท์ข้อราชการ ณ เมืองฮูโต๋ ถ้าแจ้งประการใดแล้วท่านจงกลับมา เราจะได้คิดอ่านกันต่อไป.........”
ฮันสงก็ว่า
“..........ซึ่งท่านจะใช้อย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ขัด กลัวแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนาง จะมิได้กลับมาเป็นเพื่อนตายด้วยท่าน เห็นท่านจะมีความสงสัยข้าพเจ้า...........”
เล่าเปียวจึงว่า
“..........ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ ถึงมาตรว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี แต่ให้มีใจรักยั่งยืนไว้เถิด ซึ่งท่านจะไปนั้นถ้าแจ้งข้อราชการสิ่งใด ถึงมิได้กลับมาก็บอกมาให้เราแจ้งด้วย เราจะได้คิดการต่อไป..........”
ฮันเสงก็ลาเล่าเปียวไปสืบข่าวที่เมืองฮูโต๋ เมื่อเข้าไปคำนับโจโฉแล้ว โจโฉก็แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง แล้วส่งตัวให้กลับมาเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวอีก เมื่อฮันสงกลับมาเมืองเกงจิ๋ว ก็เล่าเรื่องให้เล่าเปียวทราบด้วยความสัตย์ซื่อ แล้วว่า
“...........โจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้แต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะได้ทำราชการเป็นที่ขุนนาง..........”
เล่าเปียวก็โกรธหาว่าทรยศต่อตน ไปเข้ากับโจโฉเสียแล้ว จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย แต่เก๊งเหลียงห้ามไว้ว่า ฮันสงก็ได้ว่าไว้ก่อนแล้วว่าเล่าเปียวอาจจะมีความสงสัยตน แต่ฮันสงก็กลับมาแจ้งข้อราชการตามจริง แล้วจะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ควร เล่าเปียวจึงงดไม่ฆ่าฮันสง แต่ก็ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉตามคำแนะนำของฮันสง
ฝ่ายยี่เอ๋งนั้นเมื่อไปถึงเมืองกังแฮ หองจอก็แต่งโต๊ะมาเลี้ยงดูตามธรรมเนียม ครั้นเสพสุราเมาด้วยกันแล้ว หองจอจึงถามยี่เอ๋งว่า
“...........ในเมืองฮูโต๋นั้นยังเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาหลักแหลมบ้าง.........”
ยี่เอ๋งก็บอกว่า
“..........ขงหยงกับเอียวปิ๋วสองคนนี้ค่อยมีความคิดอยู่ นอกนั้นไม่เห็นผู้ใด........”
หองจอจึงถามต่อไปว่า
“...........ความคิดขงหยงและเอียวปิ๋วกับเรานี้ ท่านจะเห็นเป็นกระไรกัน.........”
ยี่เอ๋งก็ลืมตัว จึงบอกไปตามสันดานเดิมว่า
“............อันตัวหองจอนั้น อุปมาเหมือนเจว็ดอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เซ่นวักประการใด เจว็ดนั้นก็มิได้พูดจาด้วยผู้นับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้........”
หองจอก็โกรธจึงถอดกระบี่ออกฟันยี่เอ๋ง ตายคาโต๊ะอาหารนั้นเอง เมื่อเล่าเปียวได้แจ้งข่าว ก็คิดสงสารยี่เอ๋ง จึงให้คนไปแต่งการศพฝังไว้ที่ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว ตามฐานะทูตจากเมืองหลวง
ต่อมาก็มีนายโจรสลัดชื่อกำเหลง เดิมอยู่ชายทะเลตำบลลิมกั๋ง แต่ตั้งตัวเป็นโจรคุมพวกเที่ยวตีชิงเรือพ่อค้าวานิชอยู่ในท้องทะเล ครั้นอยู่มากำเหลงละความชั่วเสีย พาเพื่อนมาอยู่กับเล่าเปียวเป็นหลายเดือน แต่เห็นว่าเล่าเปียวมีความคิดน้อย อยู่ไปก็ไม่มีความชอบ จึงหนีจะข้ามอ่าวไปอยู่ที่เมืองกังตั๋ง ซึ่งขณะนี้ซุนเซ็กได้ตายไปแล้ว ซุนกวนน้องชายเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่มาพบหองจอที่เมืองกังแฮ หองจอก็ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมให้อยู่ด้วย เพราะรู้ว่าเป็นคนมีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง
ซุนกวนก็ระลึกถึงครั้งที่ซุนเกี๋ยนบิดา ยกมารบกับเล่าเปียวแล้วถึงแก่ความตาย และต้องแลกตัวกับหองจอซึ่งเป็นเชลย จึงยกกองทัพเรือจากเมืองกังตั๋งมาจะแก้แค้นหองจออีก หองจอก็ยกทัพเรือออกไปสู้รบกันในทะเลเป็นสามารถ แต่หองจอต้านทานมิได้ก็แตกหนีเข้าเมืองกังแฮ เล่งโฉนายทหารของเมืองกังตั๋ง ก็ลงเรือเร็วไล่ตามเข้าไปถึงปากคลองเมืองกังแฮ กำเหลงก็ออกรบต้านทานไว้ได้และยิงเกาทัณฑ์ถูกเล่งโฉตาย เล่งทองผู้บุตรเล่งโฉอายุสิบห้าปี มีกำลังเข้มแข็งก็เข้าชิงเอาศพบิดาคืนไปได้ และขณะนั้นลมว่าวพัดหนัก กองเรือของซุนกวนจะฝ่าไปก็ไม่ได้ จึงต้องถอยทัพกลับเมืองกังตั๋ง
แต่หองจอก็ไม่ได้ปูนบำเหน็จรางวัล ให้แก่กำเหลงซึ่งช่วยชีวิตตนไว้ เพราะเห็นว่าเป็นโจรมาก่อน จึงไม่ยอมยกย่อง กำเหลงก็มีความน้อยใจ จึงขอออกมาอยู่ที่เมืองเอียนก๋วน แล้วก็เข้าไปหาลิบองผู้รักษาด่านปากน้ำลงจิ๋วหน้าเมืองกังตั๋ง ขอสมัครเข้าทำราชการกับซุนกวน ลิบองก็พาไปเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็ยินดีรับไว้เป็นทหาร ทั้งที่เคยเป็นข้าศึกมาก่อน
แล้วซุนกวนก็ยกกองทัพเรือมาตีเมืองกังแฮอีกครั้ง เมื่อหองจอรู้เรื่องก็ให้โซหุยเป็นแม่ทัพบก ให้ตันจิ๋วกับเตงเหลงเป็นกองหน้า ยกทัพเรือออกไปตั้งรับอยู่ที่ปากน้ำเมืองกังแฮ แล้วก็ให้เรือรบทั้งปวงทอดสมอเรียงลำกันไปเป็นหน้ากระดาน แล้วเอาพวนใหญ่ผูกโยงต่อกัน ทุกลำ มิให้เรือเหล่านั้นหันเหไปมาได้ และให้ทหารเตรียมเกาทัณฑ์ไว้ทุกคน
เมื่อกองทัพเรือของซุนกวนยกมาถึง และให้พลแจวทั้งปวงรีบแจวจะหักเข้ามาในปากน้ำ ทหารของเมืองกังแฮก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ต้านทานไว้เป็นสามารถ จนกองเรือของซุนกวนฝ่าเข้าไปไม่ได้ ต้องถอยไปประมาณห้าสิบเส้นแล้วทอดสมอตั้งมั่นอยู่
กำเหลงซึ่งได้เป็นแม่ทัพหน้า จึงจัดเรือเร็วประมาณร้อยลำ บรรทุกทหารลำละ ห้าสิบคน ให้เป็นพลแจวยี่สิบคน อีกสามสิบคนถือศัสตราวุธครบมือ แล้วก็แจวเรือพุ่งฝ่าเกาทัณฑ์เข้าไปถึงกองเรือของเมืองกังแฮ ตามแบบของโจรสลัด ทหารทั้งสองฝ่ายก็รบพุ่งตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสั้น แล้วเอาขวานตัดสายสมอและพวนที่ผูกเรือขาดออก เรือของเมืองกังแฮก็หันเหระส่ำระสายไป กำเหลงก็นำทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองกังแฮและฆ่าเตงเหลงตาย และเอาเพลิงทิ้งเผาเรือรบของหองจอไหม้เสียเป็นอันมาก ส่วนตันจิ๋วก็รีบลงเรือน้อยจะหนีขึ้นบก ลิบองก็ให้ทหารรีบแจวเรือตามไปทันและจับตัวตันจิ๋วตัดศรีษะเสีย
โซหุยแม่ทัพบกก็คุมทหารรีบมาช่วย ทหารของเมืองกังตั๋งก็แจวเรือมาเกยตลิ่ง แล้วยกขึ้นมารบกันบนบกเป็นอันมาก โซหุยก็ถูกจับเป็นเชลย ทหารเมืองกังแฮก็แตกพ่ายกระจัดกระจายไปหมด ทหารเมืองกังตั๋งก็ยกตามมาถึงหน้าเมืองกังแฮ
หองจอได้แจ้งว่าเสียทั้งกองทัพบกและทัพเรือ ทหารก็ล้มตายไปเป็นอันมาก ซึ่งจะต้านทานกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่รอด จึงทิ้งเมืองกังแฮเสีย พาทหารคนสนิทประมาณสามสิบคน รีบหนีออกไปทางประตูเมืองด้านตะวันตก หวังจะไปหาเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แต่เจอกำเหลงขี่ม้าคุมทหารมาขวางหน้าไว้ หองจอจึงว่า
“...........ตัวเราได้มีคุณ เลี้ยงดูท่านมาโดยปกติ เหตุใดจึงมิได้คิดถึงคุณเรา กลับมาทรยศทำร้ายเราดังนี้.........”
กำเหลงก็ตอบว่า
“...........เมื่อครั้งเราอยู่ด้วยท่านนั้น เราก็ได้ทำความชอบต่อท่านเป็นอันมาก ท่านก็มิได้ปูนบำเหน็จสิ่งใด แล้วซ้ำนินทาว่าเราเป็นโจรเที่ยวตีชิงกลางทะเล ให้เราได้ความอัปยศแก่ทหารไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง เหตุใดท่านยังมีหน้ามาต่อว่า ว่ามีคุณต่อเรานั้น ควรอยู่แล้วหรือ.........”
หองจอได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่า กำเหลงทรยศต่อตนแน่แล้ว ครั้นจะอยู่สู้รบก็เหลือกำลัง จึงทิ้งทหารไว้ขัดขวางกำเหลง แล้วขับม้ารีบหนีไปแต่ผู้เดียว พอดีทหารเมืองกังตั๋งตามมาเป็นอันมาก กำเหลงจึงขับม้ารีบตามหองจอไปจนทัน เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหองจอตกม้าตาย แล้วตัดศรีษะเอาไปให้ซุนกวน ซุนกวนก็หายความแค้น ให้ยกทัพกลับนำศรีษะหองจอไปเซ่นศพ ซุนเกี๋ยนผู้บิดา ที่เมืองกังตั๋ง
หองจอเจ้าเมืองผู้มีเคราะห์กรรมแต่ปางก่อน แม้จะรอดความตายมาเพราะศพ ซุนเกี๋ยน ก็ต้องมาตายเซ่นศพนั้นในภายหลังจนได้.
########
เหยื่อแห่งความแค้น ๒๔ ก.พ.๕๗
เหยื่อของความแค้น
“ เล่าเซี่ยงชุน “
หองจอเจ้าเมืองกังแฮได้อยู่เป็นสุขมาเป็นเวลานาน จนกระทั่งโจโฉมหาอุปราชของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ไปปราบปรามลิโป้เจ้าเมืองชีจิ๋วเรียบร้อยลงแล้ว ก็เตรียมจะทำศึกกับอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋วต่อไป และส่งคนไปเกลี้ยกล่อมเตียวสิ้วเจ้าเมืองอ้วนเซียได้สำเร็จ เตียวสิ้วยอมเป็นพวกด้วย จึงส่งคนมาเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเคยเป็นมิตรกับเตียวสิ้วบ้าง คนที่ส่งมานั้นชื่อยี่เอ๋ง เป็นคนที่โจโฉเกลียดชังแต่ที่ปรึกษาแนะนำให้มา โจโฉจึงแกล้งส่งมาลองฝีปากดู
ยี่เอ๋งกับทหารสองคนเมื่อมาถึงเมืองเกงจิ๋ว ก็เข้าไปหาและว่ากับเล่าเปียวตามที่ โจโฉใช้ให้มาเกลี้ยกล่อม แต่ยี่เอ๋งเป็นคนปากเสีย จึงอดไม่ได้ที่จะพูดจายกตนข่มเล่าเปียว ทำทีดูถูกดูหมิ่นว่าเล่าเปียวหาความคิดไม่
เล่าเปียวก็โกรธ แต่ด้วยความเป็นคนมีน้ำใจอารี จึงยั้งความโกรธไว้ได้ แล้วบอกแก่ ยี่เอ๋งว่า
“...........ซึ่งโจโฉใช้ให้ท่านมาเกลี้ยกล่อมเรา เรายังมิปลงใจก่อน เมื่อใดท่านไปเกลี้ยกล่อมหองจอเจ้าเมืองกังแฮ ปลงใจไปด้วยโจโฉแล้ว เราก็จะปลงใจด้วย...........”
ยี่เอ๋งก็ลาเล่าเปียว เดินทางไปเมืองกังแฮ ฝ่ายที่ปรึกษาทั้งหลายก็ถามเล่าเปียวว่า
“.............ยี่เอ๋งว่ากล่าวหยาบช้าดูหมิ่นท่าน เหตุใดท่านจึงมิได้ฆ่าเสีย.........”
เล่าเปียวก็ตอบว่า
“............เรารู้กิตติศัพท์ว่ายี่เอ๋งคนนี้มีสติปัญญา แต่เป็นคนหามีอัชฌาสัยไม่ เมื่ออยู่ในเมืองฮูโต๋นั้น ก็ว่ากล่าวหยาบช้าแก่โจโฉเป็นหลายครั้ง โจโฉอุตส่าห์อดใจมิได้ให้ฆ่าเสีย เพราะเกรงว่าคนทั้งปวงจะนินทา ประการหนึ่งผู้จะเข้ามาอาสาทำการนั้น จะท้อใจว่าฆ่าคนดีเสีย ซึ่งแกล้งใช้ยี่เอ๋งมาเกลี้ยกล่อมเรานี้ หวังจะยืมมือเราฆ่ายี่เอ๋งเสีย จะให้ความชั่วนั้นอยู่แก่เรา เราจึงแกล้งให้ยี่เอ๋งไปเกลี้ยกล่อมหองจอ ด้วยหองจอใจร้ายมิยั้งหยุด ถ้ายี่เอ๋งไปว่ากล่าวหยาบช้าประการใด หองจอก็จะฆ่ายี่เอ๋งเสีย แม้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงโจโฉ เห็นโจโฉจะเกรงเรา อันความคิดโจโฉนั้นเราล่วงรู้เท่าอยู่............”
ขณะนั้นอ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเป็นพวกเดียวกันมาก่อน ก็ให้คนถือหนังสือมาหาเล่าเปียว มีใจความว่าให้เล่าเปียวร่วมมือคิดบำรุงแผ่นดิน เล่าเปียวจึงปรึกษากับขุนนางทั้งปวงว่า
“...........โจโฉกับอ้วนเสี้ยวเป็นศัตรูกันอยู่ บัดนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวให้มาเกลี้ยกล่อมเราทั้งสองฝ่าย ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด..........”
ฮันสง ที่ปรึกษาคนหนึ่งจึงว่า
“...........ครั้งนี้โจโฉกับอ้วนเสี้ยวก็คิดจะทำร้ายกัน ถ้าท่านไม่เข้าด้วยผู้ใด จะคิดให้เป็นประโยชน์จงดูท่วงที แม้เห็นข้างไหนเพลี่ยงพล้ำ ท่านจงยกไปตีเอาเมืองผู้นั้น แต่ข้าพเจ้าเกรงอยู่ข้อหนึ่งว่า โจโฉนั้นมีสติปัญญาเป็นอันมาก ทั้งการสงครามก็ชำนาญกว่าอ้วนเสี้ยว แล้วรู้จักเลี้ยงคนดีมีลักษณะตามวิชาแลฝีมือ คนทั้งปวงเข้าด้วยโจโฉอยู่มิได้ขาด ข้าพเจ้าเห็นว่าโจโฉจะทำการศึกนั้น จะชนะอ้วนเสี้ยวฝ่ายเดียว ถ้าโจโฉได้เมืองกิจิ๋วแล้ว เห็นจะยกกองทัพมาตีหัวเมืองฝ่ายตะวันออกจนถึงเมืองกังตั๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้านทานโจโฉมิได้ ขอให้ท่านสมัครเข้าทำการด้วยโจโฉ เห็นโจโฉจะเลี้ยงท่านเป็นปกติ............”
เล่าเปียวก็ว่า
“..........ท่านจงขึ้นไปฟังกิตติศัพท์ข้อราชการ ณ เมืองฮูโต๋ ถ้าแจ้งประการใดแล้วท่านจงกลับมา เราจะได้คิดอ่านกันต่อไป.........”
ฮันสงก็ว่า
“..........ซึ่งท่านจะใช้อย่างไรนั้นข้าพเจ้าไม่ขัด กลัวแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้จะชุบเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นขุนนาง จะมิได้กลับมาเป็นเพื่อนตายด้วยท่าน เห็นท่านจะมีความสงสัยข้าพเจ้า...........”
เล่าเปียวจึงว่า
“..........ซึ่งท่านว่านั้นก็ควรอยู่ ถึงมาตรว่าจะอยู่ไกลกันก็ดี แต่ให้มีใจรักยั่งยืนไว้เถิด ซึ่งท่านจะไปนั้นถ้าแจ้งข้อราชการสิ่งใด ถึงมิได้กลับมาก็บอกมาให้เราแจ้งด้วย เราจะได้คิดการต่อไป..........”
ฮันเสงก็ลาเล่าเปียวไปสืบข่าวที่เมืองฮูโต๋ เมื่อเข้าไปคำนับโจโฉแล้ว โจโฉก็แต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองเลงเหลง แล้วส่งตัวให้กลับมาเกลี้ยกล่อมเล่าเปียวอีก เมื่อฮันสงกลับมาเมืองเกงจิ๋ว ก็เล่าเรื่องให้เล่าเปียวทราบด้วยความสัตย์ซื่อ แล้วว่า
“...........โจโฉนั้นมีใจโอบอ้อมอารีกว้างขวาง ควรที่ท่านจะทำราชการด้วย ขอให้แต่งบุตรขึ้นไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้ จะได้ทำราชการเป็นที่ขุนนาง..........”
เล่าเปียวก็โกรธหาว่าทรยศต่อตน ไปเข้ากับโจโฉเสียแล้ว จึงสั่งให้เอาตัวไปประหารเสีย แต่เก๊งเหลียงห้ามไว้ว่า ฮันสงก็ได้ว่าไว้ก่อนแล้วว่าเล่าเปียวอาจจะมีความสงสัยตน แต่ฮันสงก็กลับมาแจ้งข้อราชการตามจริง แล้วจะให้ฆ่าเสียนั้นไม่ควร เล่าเปียวจึงงดไม่ฆ่าฮันสง แต่ก็ไม่ยอมอ่อนน้อมต่อโจโฉตามคำแนะนำของฮันสง
ฝ่ายยี่เอ๋งนั้นเมื่อไปถึงเมืองกังแฮ หองจอก็แต่งโต๊ะมาเลี้ยงดูตามธรรมเนียม ครั้นเสพสุราเมาด้วยกันแล้ว หองจอจึงถามยี่เอ๋งว่า
“...........ในเมืองฮูโต๋นั้นยังเห็นขุนนางผู้ใดมีสติปัญญาหลักแหลมบ้าง.........”
ยี่เอ๋งก็บอกว่า
“..........ขงหยงกับเอียวปิ๋วสองคนนี้ค่อยมีความคิดอยู่ นอกนั้นไม่เห็นผู้ใด........”
หองจอจึงถามต่อไปว่า
“...........ความคิดขงหยงและเอียวปิ๋วกับเรานี้ ท่านจะเห็นเป็นกระไรกัน.........”
ยี่เอ๋งก็ลืมตัว จึงบอกไปตามสันดานเดิมว่า
“............อันตัวหองจอนั้น อุปมาเหมือนเจว็ดอยู่บนศาล ถึงจะมีผู้เซ่นวักประการใด เจว็ดนั้นก็มิได้พูดจาด้วยผู้นับถือบวงสรวงนั้น อุปมาเหมือนไหว้ขอนไม้........”
หองจอก็โกรธจึงถอดกระบี่ออกฟันยี่เอ๋ง ตายคาโต๊ะอาหารนั้นเอง เมื่อเล่าเปียวได้แจ้งข่าว ก็คิดสงสารยี่เอ๋ง จึงให้คนไปแต่งการศพฝังไว้ที่ตำบลเอ๋งบูจิ๋ว ตามฐานะทูตจากเมืองหลวง
ต่อมาก็มีนายโจรสลัดชื่อกำเหลง เดิมอยู่ชายทะเลตำบลลิมกั๋ง แต่ตั้งตัวเป็นโจรคุมพวกเที่ยวตีชิงเรือพ่อค้าวานิชอยู่ในท้องทะเล ครั้นอยู่มากำเหลงละความชั่วเสีย พาเพื่อนมาอยู่กับเล่าเปียวเป็นหลายเดือน แต่เห็นว่าเล่าเปียวมีความคิดน้อย อยู่ไปก็ไม่มีความชอบ จึงหนีจะข้ามอ่าวไปอยู่ที่เมืองกังตั๋ง ซึ่งขณะนี้ซุนเซ็กได้ตายไปแล้ว ซุนกวนน้องชายเป็นเจ้าเมืองอยู่ แต่มาพบหองจอที่เมืองกังแฮ หองจอก็ว่ากล่าวเกลี้ยกล่อมให้อยู่ด้วย เพราะรู้ว่าเป็นคนมีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง
ซุนกวนก็ระลึกถึงครั้งที่ซุนเกี๋ยนบิดา ยกมารบกับเล่าเปียวแล้วถึงแก่ความตาย และต้องแลกตัวกับหองจอซึ่งเป็นเชลย จึงยกกองทัพเรือจากเมืองกังตั๋งมาจะแก้แค้นหองจออีก หองจอก็ยกทัพเรือออกไปสู้รบกันในทะเลเป็นสามารถ แต่หองจอต้านทานมิได้ก็แตกหนีเข้าเมืองกังแฮ เล่งโฉนายทหารของเมืองกังตั๋ง ก็ลงเรือเร็วไล่ตามเข้าไปถึงปากคลองเมืองกังแฮ กำเหลงก็ออกรบต้านทานไว้ได้และยิงเกาทัณฑ์ถูกเล่งโฉตาย เล่งทองผู้บุตรเล่งโฉอายุสิบห้าปี มีกำลังเข้มแข็งก็เข้าชิงเอาศพบิดาคืนไปได้ และขณะนั้นลมว่าวพัดหนัก กองเรือของซุนกวนจะฝ่าไปก็ไม่ได้ จึงต้องถอยทัพกลับเมืองกังตั๋ง
แต่หองจอก็ไม่ได้ปูนบำเหน็จรางวัล ให้แก่กำเหลงซึ่งช่วยชีวิตตนไว้ เพราะเห็นว่าเป็นโจรมาก่อน จึงไม่ยอมยกย่อง กำเหลงก็มีความน้อยใจ จึงขอออกมาอยู่ที่เมืองเอียนก๋วน แล้วก็เข้าไปหาลิบองผู้รักษาด่านปากน้ำลงจิ๋วหน้าเมืองกังตั๋ง ขอสมัครเข้าทำราชการกับซุนกวน ลิบองก็พาไปเมืองกังตั๋ง ซุนกวนก็ยินดีรับไว้เป็นทหาร ทั้งที่เคยเป็นข้าศึกมาก่อน
แล้วซุนกวนก็ยกกองทัพเรือมาตีเมืองกังแฮอีกครั้ง เมื่อหองจอรู้เรื่องก็ให้โซหุยเป็นแม่ทัพบก ให้ตันจิ๋วกับเตงเหลงเป็นกองหน้า ยกทัพเรือออกไปตั้งรับอยู่ที่ปากน้ำเมืองกังแฮ แล้วก็ให้เรือรบทั้งปวงทอดสมอเรียงลำกันไปเป็นหน้ากระดาน แล้วเอาพวนใหญ่ผูกโยงต่อกัน ทุกลำ มิให้เรือเหล่านั้นหันเหไปมาได้ และให้ทหารเตรียมเกาทัณฑ์ไว้ทุกคน
เมื่อกองทัพเรือของซุนกวนยกมาถึง และให้พลแจวทั้งปวงรีบแจวจะหักเข้ามาในปากน้ำ ทหารของเมืองกังแฮก็ระดมยิงเกาทัณฑ์ต้านทานไว้เป็นสามารถ จนกองเรือของซุนกวนฝ่าเข้าไปไม่ได้ ต้องถอยไปประมาณห้าสิบเส้นแล้วทอดสมอตั้งมั่นอยู่
กำเหลงซึ่งได้เป็นแม่ทัพหน้า จึงจัดเรือเร็วประมาณร้อยลำ บรรทุกทหารลำละ ห้าสิบคน ให้เป็นพลแจวยี่สิบคน อีกสามสิบคนถือศัสตราวุธครบมือ แล้วก็แจวเรือพุ่งฝ่าเกาทัณฑ์เข้าไปถึงกองเรือของเมืองกังแฮ ตามแบบของโจรสลัด ทหารทั้งสองฝ่ายก็รบพุ่งตะลุมบอนกันด้วยอาวุธสั้น แล้วเอาขวานตัดสายสมอและพวนที่ผูกเรือขาดออก เรือของเมืองกังแฮก็หันเหระส่ำระสายไป กำเหลงก็นำทหารไล่ฆ่าฟันทหารเมืองกังแฮและฆ่าเตงเหลงตาย และเอาเพลิงทิ้งเผาเรือรบของหองจอไหม้เสียเป็นอันมาก ส่วนตันจิ๋วก็รีบลงเรือน้อยจะหนีขึ้นบก ลิบองก็ให้ทหารรีบแจวเรือตามไปทันและจับตัวตันจิ๋วตัดศรีษะเสีย
โซหุยแม่ทัพบกก็คุมทหารรีบมาช่วย ทหารของเมืองกังตั๋งก็แจวเรือมาเกยตลิ่ง แล้วยกขึ้นมารบกันบนบกเป็นอันมาก โซหุยก็ถูกจับเป็นเชลย ทหารเมืองกังแฮก็แตกพ่ายกระจัดกระจายไปหมด ทหารเมืองกังตั๋งก็ยกตามมาถึงหน้าเมืองกังแฮ
หองจอได้แจ้งว่าเสียทั้งกองทัพบกและทัพเรือ ทหารก็ล้มตายไปเป็นอันมาก ซึ่งจะต้านทานกองทัพเมืองกังตั๋งนั้นเห็นจะไม่รอด จึงทิ้งเมืองกังแฮเสีย พาทหารคนสนิทประมาณสามสิบคน รีบหนีออกไปทางประตูเมืองด้านตะวันตก หวังจะไปหาเล่าเปียวที่เมืองเกงจิ๋ว แต่เจอกำเหลงขี่ม้าคุมทหารมาขวางหน้าไว้ หองจอจึงว่า
“...........ตัวเราได้มีคุณ เลี้ยงดูท่านมาโดยปกติ เหตุใดจึงมิได้คิดถึงคุณเรา กลับมาทรยศทำร้ายเราดังนี้.........”
กำเหลงก็ตอบว่า
“...........เมื่อครั้งเราอยู่ด้วยท่านนั้น เราก็ได้ทำความชอบต่อท่านเป็นอันมาก ท่านก็มิได้ปูนบำเหน็จสิ่งใด แล้วซ้ำนินทาว่าเราเป็นโจรเที่ยวตีชิงกลางทะเล ให้เราได้ความอัปยศแก่ทหารไพร่บ้านพลเมืองทั้งปวง เหตุใดท่านยังมีหน้ามาต่อว่า ว่ามีคุณต่อเรานั้น ควรอยู่แล้วหรือ.........”
หองจอได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่า กำเหลงทรยศต่อตนแน่แล้ว ครั้นจะอยู่สู้รบก็เหลือกำลัง จึงทิ้งทหารไว้ขัดขวางกำเหลง แล้วขับม้ารีบหนีไปแต่ผู้เดียว พอดีทหารเมืองกังตั๋งตามมาเป็นอันมาก กำเหลงจึงขับม้ารีบตามหองจอไปจนทัน เอาเกาทัณฑ์ยิงถูกหองจอตกม้าตาย แล้วตัดศรีษะเอาไปให้ซุนกวน ซุนกวนก็หายความแค้น ให้ยกทัพกลับนำศรีษะหองจอไปเซ่นศพ ซุนเกี๋ยนผู้บิดา ที่เมืองกังตั๋ง
หองจอเจ้าเมืองผู้มีเคราะห์กรรมแต่ปางก่อน แม้จะรอดความตายมาเพราะศพ ซุนเกี๋ยน ก็ต้องมาตายเซ่นศพนั้นในภายหลังจนได้.
########