สงครามครั้งสุดท้าย...จริงหรือ

ดูเหมือนจะงวดเข้ามาทุกขณะ กับสงครามครั้งสุดท้ายที่มีการกล่าวขวัญถึง นับตั้งแต่ปี 49 เป็นต้นไป จาก สงครามระหว่าง "อำนาจเก่า" ซึ่งประกอบไปด้วย พวกชนชั้นสูง อำมาตย์ และเหล่าทหารบ้าอำนาจ กับกลุ่มอำนาจใหม่ที่นำโดย "ทักษิณ" และ กลุ่มคนที่อยากขึ้นมามีอำนาจบ้าง หลังจากต้องทนอยู่ภายใต้การควบคุมของคนกลุ่มแรกมาเป็นเวลายาวนาน

"กลุ่มอำนาจเก่า" ไม่คาดคิดว่าศัตรูใหม่ที่ขึ้นมามีอำนาจจะมีศักยภาพมากมายขนาดนี้ การทุ่มเทสรรพกำลังทุกอย่างที่มีในมือ ไม่ว่าจะเป็นการโหนสถาบัน การใช้อำนาจของเหล่าองค์กรอิสระ การใช้พลังทางเศรษฐกิจที่เกาะกลุ่มกันมายาวนาน ครั้งแล้วครั้งเล่า หลากหลายกลยุทธ วิธีการต่างๆที่พยายามสรรหา เพียงเพื่อเป้าหมายเดียวคือการล้ม "คู่แข่ง" ให้ได้ แต่ก็อย่างที่เห็นไม่มีเลยสักครั้งที่ "กลุ่มอำนาจเก่า" จะได้ชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการพ่ายแพ้อย่างย่อยยับครั้งแล้วครั้งเล่าต่อฝั่งตรงข้าม ทั้งๆที่มีอำนาจอยู่ในมือชนิดที่ว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนก็สามารถตัดชุดให้ "คณะรัฐมนตรี" ให้กับตัวแทนอย่าง "ประชาธิปัตย์" ได้เลย

นอกจากผลจะไม่เป็นไปตามที่คาดหมายแล้ว การสูญเสียฐานมวลชนที่ตัวเองมีอยู่ก็เพิ่มมากขึ้นเท่าทวีคูณ ไม่ได้หมายความว่า "มวลชน" จะย้ายข้างไปสนับสนุนฝั่งตรงข้าม หากแต่หลายๆคนเลือกที่จะนิ่งเฉย และไม่ยืนฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นมาจากความมั่นใจมากเกินไปจนนำไปสู่การใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของตนเอง "องค์กรอิสร" เครื่องมือที่สร้างขึ้นเพื่อกระหน่ำหรือไว้เป็นไม้สุดท้ายในการทำลาย "ฝั่งตรงข้าม" กลับกลายเป็น "บูมเมอแรง" ที่ย้อนกลับทำลาย "ศรัทธา" และ "ความเชื่อมั่น" มวลชนของตัวเองอยู่หลายครั้ง และนำไปสู่การ "นิ่งเฉย" และไม่ยืนฝั่งใดทั้งสิ้น

ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามนำ "ความเหลื่อมล้ำ" ทางสังคมมาสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ซึ่งต้องบอกว่าเข้าเป้าอย่างจั๋งหนับ เพราะความเก็บกดคั่งแค้นที่สั่งสมของความแตกแยกระหว่างชนชั้น ได้ทำให้ประชาชน "ตาสว่าง" กอปรกับความเลื่อมล้ำที่มีอย่างชัดเจนและการดูถูกคนแตกต่างชนชั้นที่รอวันระเบิดรวมถึงความอยุติธรรมจากกฎหมาย จึงทำให้มวลชนจำนวนมาก หลั่งไหลสู่ฝั่งตรงข้ามอย่างต่อเนื่อง เหมือนแผลที่เปิดแล้วเลือดไหลไม่หยุด

จาก "สงครามผลประโยชน์" นำไปสู่ "สงครามชนชั้น" ที่เป็นโจทย์หนักกว่าเดิม ที่ทำให้เหล่า "อำนาจเก่า" ต้องคิดหนักว่า หากชนะสงครามครั้งนี้แล้ว เหล่ามวลชนจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ เพราะ "กระบวนการล้างสมอง" ที่เคยใช้ได้ผลอย่างมากในยุคปี 16 และมีผลทำลายล้างสูงสุดในปี 19 ได้ถูก "เทคโนโลยี" ในสมัยนี้ช่วยเปิดให้สังคมเห็นโลก 2 ด้าน เห็นเหรียญ 2 มุมมากขึ้น "การล้างสมอง" ใช้ได้เฉพาะคนที่ร่วมม็อบเท่านั้น

เหล่ากลุ่ม "อำนาจเก่า" กำลังหัวฟัดหัวเหวี่ยงกับความ "เหนียว แน่น หนึบ" ของรัดบานยิ่งลักษณ์เป็นอย่างมาก ซึ่งคงต้องยกความดีความชอบให้เจ้าของรหัส "ว." ที่เป็นที่กล่าวขวัญ จนทหารเองก็ไม่กล้าออกมาช่วยเหลืออย่างชัดแจ้ง นอกจากการแอบซ่อนตัวอยู่กับกลุ่มผู้ชุนนุม ซึ่งก็ไม่ได้เป็นผลดีเท่าไหร่นักกับฝั่งตัวเอง เพราะหลายๆครั้งที่โดนสื่อนำมาแฉพฤติกรรมอย่างชัดแจ้ง จนต้องแก้ข่าวกันเป็นพัลวัน

การจับตามองของต่างชาติเป็นแค่เหตุผลรอง ที่ทำให้ "ทหาร" ต้องแอบให้ความช่วยเหลือลับๆ  หากแต่เจ้าของรหัส "ว." นั้นต่างหากที่ทำให้พวกทหารขยับอะไรไม่ได้มากนัก จากข่าววงในล่าสุดเมื่อไม่กี่วันนี้ กลุ่มทหารเก่าทั้งหลาย จะเล่นแรงถึงขนาดที่ว่าส่งหน่วยเฉพาะกิจไปจับ "นายก" เลยด้วยซ้ำ แต่ติดตรงที่ว่า ถ้าทำเมื่อไหร่ "ข่าวรั่ว" แน่นอนเพราะในหมู่ทหารเองก็เดาไม่ออกเหมือนกันว่า "ใครอยู่ฝั่งใคร" ทหารเก่าหลายคนเคยเป็นเพื่อนรักทักษิณด้วยซ้ำ แต่วันนี้ด้วยผลประโยชน์จึงต้องย้ายข้าง พวก "อำนาจเก่า" เองก็ไม่วางใจทหารที่ย้ายข้างมากนัก ไหนจะพวกที่ชัดเจนว่า "กรูสนับสนุนปู" เลยทำให้ทหารต้อง "แทงกั๊ก" อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

การปะทะที่ผ่านฟ้า และผู้เสียชีวิตจะไม่ใช้ครั้งสุดท้ายและชีวิตสุดท้าย เพราะกลยุทธ "ลับ ลวง พราง" ของทั้ง 2 ฝั่งยังมีอยู่อีกเยอะ เรียกว่างานนี้ใครพลาดก่อน โดนเหยียบจมธรณีแน่นอน

ส่วนประชาชนอย่างเราๆ ก็เป็นแค่ "เบี้ย" ให้เค้าเดินและ "ยอมสละเบี้ย" บ้างเมื่อถึงคราวจำเป็น ทางจบของสงครามครั้งนี้มีอยู่แค่ 2 ทางเลือก คือ

- นายกคนกลาง

หรือ

- ย้อนรอยเหตุการณ์ปี 53

หากทางเลือกแรกความสูญเสียก็จะลดลง แต่หากใช้วิธีการแบบปี 53 สงครามครั้งนี้ "ตำรวจและรัฐบาล" ก็จะเป็นจำเลยสังคม เหมือนที่ "ทหาร สุเทพ อภิสิทธิ์" ได้รับเมื่อปี 53 ส่วนผู้มีอำนาจตัวจริงก็เสวยสุข บนซากปรักหักพังของประเทศ และชีวิตของประชาชนต่อไป...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่