สามก๊กฉบับอ่านศ้ำ
อุบายขุนนางเฒ่า
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อประมาณหนึ่งพันแปดร้อยกว่าปีมาแล้ว ในยุคของสามก๊ก ได้มีวีรสตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นที่เล่าขานกันตลอดมา แม้ว่าจะมีผู้รู้บางท่านบอกว่า ไม่มีตัวจริงอยู่ในประวัติศาสตร์เลยก็ตาม เราก็สามารถจะทราบ พฤติกรรมของเธอผู้นี้ ได้จากวรรณคดีไทยซึ่งแปลมาจากภาษาจีน ฉบับของ ท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เธอผู้นี้คือ นางเตียวเสียน
สมัยนั้น ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมืองบ้านนอกได้เข้ามายึดการปกครอง เมืองลกเอี๋ยง ราชธานีของราชวงศ์ฮั่น โดยตั้งตนเป็นมหาอุปราชเชิด พระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้ผู้มีอายุเพียงเก้าขวบไว้เป็นหุ่น แล้วก็ทำการกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎร ให้ได้ความเดือดร้อนต่าง ๆ นานา จนมีผู้รวบรวมกำลัง จากหัวเมืองอีกสิบเจ็ดเมือง ยกมาปราบปรามก็พ่ายแพ้ไป เพราะมีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ ลิโป้ เดิมเป็นลูกเลี้ยงของ เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว แต่ตั๋งโต๊ะติดสินบนให้ฆ่าพ่อเลี้ยง แล้วมาอยู่กับตน
ตั๋งโต๊ะจึงพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่เมืองเตียงฮัน แล้วก็ไปสร้างเมืองใหม่เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง มีบ้านเรือนน้อยใหญ่เทียมพระราชวัง มีนางสนมปรนนิบัติถึงแปดร้อยคน นาน ๆ จึงจะมาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เมืองเตียงฮันสักครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงก็ต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ แกล้งหาเรื่องฆ่าขุนนางที่ไม่ชอบหน้าอยู่เนือง ๆ เพื่อมิให้มีผู้คิดกระด้างกระเดื่อง
นางเตียวเสียนนั้นเป็นข้ารับใช้ของ อ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิง ตัวน้อย จนอายุได้สิบหกปี มีรูปงามขับร้องเพลงเสียงไพเราะ อ้องอุ้นมีความเอ็นดู จึงอุปการะไว้เป็นบุตรเลี้ยง
วันหนึ่งเวลาดึกสงัด นางเห็นอ้องอุ้นถือไม้เท้าเดินลงไปในสวนดอกไม้ นางจึงเดินตามมาข้างหลัง นางก็เห็นอ้องอุ้นยืนพิงต้นไม้ แหงนหน้าขึ้นแลดูบนอากาศแล้วก็ร้องไห้ นางจึงทอดถอนใจใหญ่ ด้วยความสงสารผู้เป็นบิดาเลี้ยง
อ้องอุ้นเหลียวมาพบเข้า จึงเดินเข้ามาใกล้แล้วถามว่า
".....เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ....."
นางก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วจึงบอกความในใจว่า
"....ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเป็นทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นบุตรมาแต่น้อยนั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใด ข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาตรว่าชีวิตจะตาย แลกระดูกจะแหลกเป็นผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้น ตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ ท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่าน ไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต....."
อ้องอุ้นจึงพานางเตียวเสียนขึ้นบนตึก เข้าไปในห้องดูหนังสืออันเป็นที่สงัด เมื่อให้นางเตียวเสียนนั่งบนเก้าอี้แล้ว อ้องอุ้นก็ลงคุกเข่าคำนับ นางก็ตกใจลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วกอดเท้าอ้องอุ้นไว้ และห้ามว่า
".....ท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร....."
อ้องอุ้นก็ตอบว่า
".....เราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ ก็มีความยินดีนัก เราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์ แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด....."
แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้อีก นางเตียวเสียนจึงว่า
".....ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เป็นไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉะนี้ ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ....."
อ้องอุ้นจึงเล่าความว่า
".....ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้อุปมาดังฟองไก่ อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรอุปมาดังหยากเยื่อใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้น จะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะกับลิโป้นั้น มากยินดีด้วยสตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเป็นกลอุบาย....."
แล้วอ้องอุ้นก็บอกเล่าแผนที่จะดำเนินการ ให้นางเตียวเสียนฟังโดยละเอียดทุกประการ แล้วย้ำว่า
"....เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฎไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด....."
นางเตียวเสียนจึงตอบว่า
".....ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่า จะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลยถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดก็เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยา ให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้....."
อ้องอุ้นก็ว่า
".....ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเผื่อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติ ก็จะพากันตายเสียสิ้น....."
นางเตียวเสียนก็สาบานว่า ถ้าแพร่งพรายความนี้แก่ผู้ใด ขอให้ตายด้วยอาวุธ ต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นก็มีความยินดีนัก
รุ่งเช้าอ้องอุ้นจึงจัดของกำนัลอย่างดีมากมาย แอบเอาไปให้ลิโป้ แล้วเชิญลิโป้มากินเลี้ยงที่บ้านในเวลาเย็น เมื่อเลิกจากการติดตามตั๋งโต๊ะเข้าเฝ้าแล้ว
เมื่อลิโป้มาถึงบ้าน อ้องอุ้นก็ต้อนรับอย่างดี ลิโป้ก็ว่าอ้องอุ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ใน พระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นไฉนจึงมานับถือตน ซึ่งเป็นนายทหารผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นก็ว่าที่นับถือนั้น ก็เพราะรักฝีมือในการทหารของลิโป้ แล้วก็พูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะ กับลิโป้เป็นอันมาก
ต่อมาก็ขับคนใช้ผู้ชายออกไปเสียสิ้น และให้หญิงรับใช้สี่คน ไปเชิญนางเตียวเสียน ออกมา แล้วแนะนำว่า
"....นางเตียวเสียนนี้เป็นบุตรของเรา ทุกวันนี้เราได้อยู่เย็นเป็นสุข ก็เพราะบุญของ มหาอุปราชกับท่าน ท่านก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมาหวังจะให้ท่านรู้จักไว้....."
แล้วอ้องอุ้นก็ให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้ เมื่อนางรินสุราส่งให้แก่ลิโป้ครั้งใด ก็ ชม้ายชายตาสบสายตาลิโป้ทุกครั้ง อ้องอุ้นจึงทำเป็นเมา แล้วบอกนางว่า
".....พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อย เสพสุราก็เมา เจ้าคำนับแทนพ่อเถิด...."
ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางก็แกล้งทำเป็นอายมิได้นั่งลง ขยับจะคำนับบิดาลาเข้าข้างใน อ้องอุ้นจึงว่า
".....ลูกเอ๋ยอย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด...."
นางเตียวเสียนจึงนั่งลงข้างบิดา แล้วก็รินสุราคำนับกับลิโป้แทนบิดาต่อไป ลิโป้นั้นเมื่อรับจอกสุราทีไร ชำเลืองไปก็สบสายตาของนางเตียวเสียนทุกครั้ง ใจก็เคลิบเคลิ้มไปกับความงามของนาง อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้ว่าพอใจนางเตียวเสียนอยู่ จึงออกปากว่า
"....ตัวเรานี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริง แต่ชราแล้วอุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เป็นภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป...."
ลิโป้ก็ยินดีนัก ลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า
".....ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้น คุณหาที่สุดมิได้ ถึงจะเป็นประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป..."
อ้องอุ้นก็ว่าได้ยกบุตรให้เป็นสิทธิ์แก่ลิโป้แล้ว แต่ขอให้รอหาวันดีเมื่อใด ก็จะส่งตัวให้เมื่อนั้น ลิโป้ก็ไม่ขัดข้องและขอลากลับไป
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อ้องอุ้นเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้มากับตั๋งโต๊ะ จึงเชิญตั๋งโต๊ะไปกินเลี้ยงที่บ้านในเวลาเที่ยง เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยกขบวนแห่แหนไปที่บ้าน อ้องอุ้น ซึ่งได้เตรียมการต้อนรับไว้อย่างใหญ่โต แล้วอ้องอุ้นก็คุกเข่ารินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะกิน ตั๋งโต๊ะก็ว่าอย่าต้องคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เป็นสุขเถิด
อ้องอุ้นก็นั่งคุยสรรเสริญเยินยอตั๋งโต๊ะเป็นอันมาก ตั้งโต๊ะกินเลี้ยงอยู่จนเวลาเย็น อ้องอุ้นจึงเชิญเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องในเป็นการเฉพาะ แล้วว่า
".....เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเศร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิจารณาดูเห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเป็นมั่นคง....."
ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยินดี ถามว่าเรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ อ้องอุ้นก็ยืนยันว่า
".....อันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ ก็ย่อมแพ้แก่ ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้....."
ตั๋งโต๊ะก็ชักจะเคลิ้มบอกว่า
"...ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เป็นมหาอุปราช เป็นบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น....."
อ้องอุ้นก็ทำเป็นยินดี พอพลบค่ำลงอ้องอุ้นก็ให้จุดเทียนชวาลาสว่างไสว แล้วสั่งให้มโหรีและนางรำออกมาบำเรอตั๋งโต๊ะ โดยให้นางเตียวเสียนเป็นหัวหน้า ตั๋งโต๊ะก็ถามว่านางนี้ ชื่อไร อ้องอุ้นก็บอกว่าชื่อนางเตียวเสียน แล้วก็ให้ขับร้องให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเพลงพลางทำกิริยายั่วยวน จนตั๋งโต๊ะมีใจหลงเล่ห์เสน่หา อ้องอุ้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะ แล้วกล่าวว่า
".....ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเป็นสิทธิ์....."
ตั๋งโต๊ะก็มีความยินดียิ่งนัก อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงเสื้อผ้าอย่างดี ให้นางเตียวเสียน เป็นอันมาก แล้วให้นางนั่งเกี้ยวมีขบวนไปส่งตัว ที่บ้านพักของตั๋งโต๊ะในคืนนั้นเอง
นางเตียวเสียนก็ตกเป็นภรรยาของตั๋งโต๊ะในคืนนั้น ด้วยความเต็มใจของนางเอง ที่จะล่อให้ตั๋งโต๊ะลุ่มหลง ตามแผนการขั้นแรกของอ้องอุ้นผู้มีคุณ ส่วนขั้นต่อไปจะทำอย่างไรให้สำเร็จ สมความปรารถนาที่จะกำจัดมหาอุปราชผู้ชั่วร้ายนี้ น่าจะรอให้ถึงรุ่งเช้าเสียก่อน.
###############
อุบายขุนนางเฒ่า ๑๗ ก.พ.๕๗
อุบายขุนนางเฒ่า
เล่าเซี่ยงชุน
เมื่อประมาณหนึ่งพันแปดร้อยกว่าปีมาแล้ว ในยุคของสามก๊ก ได้มีวีรสตรีผู้มีชื่อเสียงโด่งดังมาก เป็นที่เล่าขานกันตลอดมา แม้ว่าจะมีผู้รู้บางท่านบอกว่า ไม่มีตัวจริงอยู่ในประวัติศาสตร์เลยก็ตาม เราก็สามารถจะทราบ พฤติกรรมของเธอผู้นี้ ได้จากวรรณคดีไทยซึ่งแปลมาจากภาษาจีน ฉบับของ ท่านเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เธอผู้นี้คือ นางเตียวเสียน
สมัยนั้น ตั๋งโต๊ะ เจ้าเมืองบ้านนอกได้เข้ามายึดการปกครอง เมืองลกเอี๋ยง ราชธานีของราชวงศ์ฮั่น โดยตั้งตนเป็นมหาอุปราชเชิด พระเจ้าเหี้ยนเต้ ฮ่องเต้ผู้มีอายุเพียงเก้าขวบไว้เป็นหุ่น แล้วก็ทำการกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎร ให้ได้ความเดือดร้อนต่าง ๆ นานา จนมีผู้รวบรวมกำลัง จากหัวเมืองอีกสิบเจ็ดเมือง ยกมาปราบปรามก็พ่ายแพ้ไป เพราะมีทหารเอกคนหนึ่งชื่อ ลิโป้ เดิมเป็นลูกเลี้ยงของ เต๊งหงวน เจ้าเมืองเต๊งจิ๋ว แต่ตั๋งโต๊ะติดสินบนให้ฆ่าพ่อเลี้ยง แล้วมาอยู่กับตน
ตั๋งโต๊ะจึงพาพระเจ้าเหี้ยนเต้ย้ายเมืองหลวง มาอยู่ที่เมืองเตียงฮัน แล้วก็ไปสร้างเมืองใหม่เป็นที่อยู่อาศัยของตนเอง มีบ้านเรือนน้อยใหญ่เทียมพระราชวัง มีนางสนมปรนนิบัติถึงแปดร้อยคน นาน ๆ จึงจะมาเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ที่เมืองเตียงฮันสักครั้งหนึ่ง เมื่อมาถึงก็ต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ แกล้งหาเรื่องฆ่าขุนนางที่ไม่ชอบหน้าอยู่เนือง ๆ เพื่อมิให้มีผู้คิดกระด้างกระเดื่อง
นางเตียวเสียนนั้นเป็นข้ารับใช้ของ อ้องอุ้น ขุนนางผู้ใหญ่มาตั้งแต่เป็นเด็กหญิง ตัวน้อย จนอายุได้สิบหกปี มีรูปงามขับร้องเพลงเสียงไพเราะ อ้องอุ้นมีความเอ็นดู จึงอุปการะไว้เป็นบุตรเลี้ยง
วันหนึ่งเวลาดึกสงัด นางเห็นอ้องอุ้นถือไม้เท้าเดินลงไปในสวนดอกไม้ นางจึงเดินตามมาข้างหลัง นางก็เห็นอ้องอุ้นยืนพิงต้นไม้ แหงนหน้าขึ้นแลดูบนอากาศแล้วก็ร้องไห้ นางจึงทอดถอนใจใหญ่ ด้วยความสงสารผู้เป็นบิดาเลี้ยง
อ้องอุ้นเหลียวมาพบเข้า จึงเดินเข้ามาใกล้แล้วถามว่า
".....เวลาดึกสงัดถึงเพียงนี้ยังมินอน ลงมาเที่ยวอยู่ในสวนดอกไม้ แล้วทอดใจใหญ่ ทุกข์ด้วยไม่เห็นชู้มาหรือ....."
นางก็ตกใจคุกเข่าลงคำนับแล้วจึงบอกความในใจว่า
"....ข้าพเจ้าจะได้มีชู้มาคอยกันหามิได้ ตัวข้าพเจ้าเป็นทาสี ซึ่งท่านเลี้ยงข้าพเจ้าเป็นบุตรมาแต่น้อยนั้นพระคุณหาที่สุดมิได้ ทุกวันนี้ข้าพเจ้าก็คิดอยู่ว่า ถ้าท่านมีทุกข์สิ่งใด ข้าพเจ้าจะสนองพระคุณท่าน ถึงมาตรว่าชีวิตจะตาย แลกระดูกจะแหลกเป็นผงก็ดี ข้าพเจ้ามิได้เสียดายแก่ชีวิต เมื่อเวลากลางวันนั้น ตั๋งโต๊ะเชิญท่านไปกินโต๊ะแล้วกลับมา ข้าพเจ้าเห็นหน้าท่านนั้นเศร้าหมองยิ่งกว่าแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะมีทุกข์สิ่งใดใหญ่หลวงอยู่ ท่านจึงเป็นดังนี้ ข้าพเจ้าจึงตามลงมาหวังจะใคร่รู้เหตุ แล้วจะได้คิดอ่านสนองคุณท่าน ไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต....."
อ้องอุ้นจึงพานางเตียวเสียนขึ้นบนตึก เข้าไปในห้องดูหนังสืออันเป็นที่สงัด เมื่อให้นางเตียวเสียนนั่งบนเก้าอี้แล้ว อ้องอุ้นก็ลงคุกเข่าคำนับ นางก็ตกใจลงจากเก้าอี้คำนับ แล้วกอดเท้าอ้องอุ้นไว้ และห้ามว่า
".....ท่านอย่าคำนับข้าพเจ้าผู้บุตรนี้ไม่สมควร....."
อ้องอุ้นก็ตอบว่า
".....เราได้ยินเจ้าว่าทั้งนี้ ก็มีความยินดีนัก เราจึงคำนับเจ้า เจ้าจงมีใจเมตตาแก่พระมหากษัตริย์ แลอาณาประชาราษฎรด้วยเถิด....."
แล้วอ้องอุ้นก็ร้องไห้อีก นางเตียวเสียนจึงว่า
".....ข้าพเจ้าได้ออกปากว่าจะเอาชีวิตแทนคุณท่าน เป็นไฉนท่านมิบอกเหตุ ซึ่งจะมาร้องไห้อยู่ฉะนี้ ทุกข์ของท่านจะสำเร็จแล้วหรือ....."
อ้องอุ้นจึงเล่าความว่า
".....ทุกวันนี้แผ่นดินร้อนทุกเส้นหญ้า เจ้าก็แจ้งอยู่แล้ว พระเจ้าเหี้ยนเต้อุปมาดังฟองไก่ อันวางอยู่เหนือหน้าศิลา ขุนนางกับอาณาประชาราษฎรอุปมาดังหยากเยื่อใกล้กองเพลิง มิได้รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้ากำเริบขึ้น จะชิงเอาราชสมบัติ หาผู้ใดจะคิดล้างตั๋งโต๊ะไม่ แลตั๋งโต๊ะนั้นมีบุตรเลี้ยงคนหนึ่งชื่อลิโป้ มีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจตั๋งโต๊ะกับลิโป้นั้น มากยินดีด้วยสตรีรูปงาม ถ้าเจ้าจะช่วยกู้แผ่นดินแล้ว พ่อจะคิดเป็นกลอุบาย....."
แล้วอ้องอุ้นก็บอกเล่าแผนที่จะดำเนินการ ให้นางเตียวเสียนฟังโดยละเอียดทุกประการ แล้วย้ำว่า
"....เมื่อศัตรูราชสมบัติตายแล้ว บ้านเมืองก็จะอยู่เย็นเป็นสุขสืบไป ตัวเจ้าซึ่งได้อาสากู้แผ่นดินก็จะมีชื่อปรากฎไปชั่วฟ้าชั่วดิน ซึ่งพ่อคิดทั้งนี้เจ้าจะยอมด้วยหรือประการใด....."
นางเตียวเสียนจึงตอบว่า
".....ข้าพเจ้าได้ออกปากไว้ว่า จะสนองคุณท่าน อย่าว่าแต่จะเสียตัวเพียงนี้เลยถึงจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต ซึ่งท่านจะคิดประการใดก็เร่งคิดเถิด ถ้าข้าพเจ้าได้ไปอยู่ด้วยตั๋งโต๊ะแล้ว ข้าพเจ้าจะคิดกลมารยา ให้ลิโป้ฆ่าตั๋งโต๊ะเสียจงได้....."
อ้องอุ้นก็ว่า
".....ถ้าเจ้าจะอาสาแผ่นดินแทนคุณพ่อแล้ว จะคิดการสิ่งใดให้ปิดป้องให้จงดี ถ้าเผื่อความแพร่งพราย ตัวเจ้ากับบิดาแลญาติ ก็จะพากันตายเสียสิ้น....."
นางเตียวเสียนก็สาบานว่า ถ้าแพร่งพรายความนี้แก่ผู้ใด ขอให้ตายด้วยอาวุธ ต่าง ๆ เถิด อ้องอุ้นก็มีความยินดีนัก
รุ่งเช้าอ้องอุ้นจึงจัดของกำนัลอย่างดีมากมาย แอบเอาไปให้ลิโป้ แล้วเชิญลิโป้มากินเลี้ยงที่บ้านในเวลาเย็น เมื่อเลิกจากการติดตามตั๋งโต๊ะเข้าเฝ้าแล้ว
เมื่อลิโป้มาถึงบ้าน อ้องอุ้นก็ต้อนรับอย่างดี ลิโป้ก็ว่าอ้องอุ้นเป็นขุนนางผู้ใหญ่ใน พระเจ้าเหี้ยนเต้ เป็นไฉนจึงมานับถือตน ซึ่งเป็นนายทหารผู้น้อยไม่สมควร อ้องอุ้นก็ว่าที่นับถือนั้น ก็เพราะรักฝีมือในการทหารของลิโป้ แล้วก็พูดจายกยอสรรเสริญตั๋งโต๊ะ กับลิโป้เป็นอันมาก
ต่อมาก็ขับคนใช้ผู้ชายออกไปเสียสิ้น และให้หญิงรับใช้สี่คน ไปเชิญนางเตียวเสียน ออกมา แล้วแนะนำว่า
"....นางเตียวเสียนนี้เป็นบุตรของเรา ทุกวันนี้เราได้อยู่เย็นเป็นสุข ก็เพราะบุญของ มหาอุปราชกับท่าน ท่านก็มีความเมตตาแก่เราดังญาติพี่น้อง เราจึงให้หาออกมาหวังจะให้ท่านรู้จักไว้....."
แล้วอ้องอุ้นก็ให้นางเตียวเสียนรินสุราให้ลิโป้ เมื่อนางรินสุราส่งให้แก่ลิโป้ครั้งใด ก็ ชม้ายชายตาสบสายตาลิโป้ทุกครั้ง อ้องอุ้นจึงทำเป็นเมา แล้วบอกนางว่า
".....พ่อนี้ชราแล้วกำลังน้อย เสพสุราก็เมา เจ้าคำนับแทนพ่อเถิด...."
ลิโป้จึงเชิญให้นางเตียวเสียนนั่ง นางก็แกล้งทำเป็นอายมิได้นั่งลง ขยับจะคำนับบิดาลาเข้าข้างใน อ้องอุ้นจึงว่า
".....ลูกเอ๋ยอย่าอายเลย ลิโป้มีความเมตตาแก่เราดังญาติ จงนั่งลงคำนับรินสุราให้เถิด...."
นางเตียวเสียนจึงนั่งลงข้างบิดา แล้วก็รินสุราคำนับกับลิโป้แทนบิดาต่อไป ลิโป้นั้นเมื่อรับจอกสุราทีไร ชำเลืองไปก็สบสายตาของนางเตียวเสียนทุกครั้ง ใจก็เคลิบเคลิ้มไปกับความงามของนาง อ้องอุ้นเห็นกิริยาลิโป้ว่าพอใจนางเตียวเสียนอยู่ จึงออกปากว่า
"....ตัวเรานี้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ก็จริง แต่ชราแล้วอุปมาเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง บุตรของเราคนนี้จะยกให้เป็นภรรยาน้อยท่าน จะได้ฝากผีแก่ท่านสืบไป...."
ลิโป้ก็ยินดีนัก ลุกขึ้นคุกเข่าคำนับอ้องอุ้นแล้วว่า
".....ซึ่งท่านเมตตาข้าพเจ้าทั้งนี้นั้น คุณหาที่สุดมิได้ ถึงจะเป็นประการใดข้าพเจ้าจะสนองคุณท่านสืบไป..."
อ้องอุ้นก็ว่าได้ยกบุตรให้เป็นสิทธิ์แก่ลิโป้แล้ว แต่ขอให้รอหาวันดีเมื่อใด ก็จะส่งตัวให้เมื่อนั้น ลิโป้ก็ไม่ขัดข้องและขอลากลับไป
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง อ้องอุ้นเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้เห็นลิโป้มากับตั๋งโต๊ะ จึงเชิญตั๋งโต๊ะไปกินเลี้ยงที่บ้านในเวลาเที่ยง เมื่อออกจากที่เฝ้าแล้ว ตั๋งโต๊ะก็ยกขบวนแห่แหนไปที่บ้าน อ้องอุ้น ซึ่งได้เตรียมการต้อนรับไว้อย่างใหญ่โต แล้วอ้องอุ้นก็คุกเข่ารินสุราส่งให้ตั๋งโต๊ะกิน ตั๋งโต๊ะก็ว่าอย่าต้องคุกเข่าคำนับเลย จงนั่งให้เป็นสุขเถิด
อ้องอุ้นก็นั่งคุยสรรเสริญเยินยอตั๋งโต๊ะเป็นอันมาก ตั้งโต๊ะกินเลี้ยงอยู่จนเวลาเย็น อ้องอุ้นจึงเชิญเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องในเป็นการเฉพาะ แล้วว่า
".....เมื่ออายุข้าพเจ้าได้ยี่สิบห้าปีนั้น ข้าพเจ้าได้เรียนดูดาวสำหรับพระมหากษัตริย์ แลดาวประจำเมืองกับดาวบริวารทั้งปวงนั้น บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นดาวสำหรับพระมหากษัตริย์นั้นเศร้าหมอง แลดาวมหาอุปราชนั้นมีรัศมีรุ่งเรือง ข้าพเจ้าพิจารณาดูเห็นว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้จะดับสูญ ราชสมบัตินั้นจะได้แก่ท่านเป็นมั่นคง....."
ตั๋งโต๊ะได้ฟังก็ยินดี ถามว่าเรานี้จะถึงเศวตฉัตรเจียวหรือ อ้องอุ้นก็ยืนยันว่า
".....อันอย่างธรรมเนียมโบราณ ถ้าผู้ใดหาบุญแลสติปัญญามิได้ ก็ย่อมแพ้แก่ ผู้มีบุญแลปัญญาความคิด ข้าพเจ้าเห็นดังนี้....."
ตั๋งโต๊ะก็ชักจะเคลิ้มบอกว่า
"...ถ้าเราได้ราชสมบัติเหมือนคำท่าน เราจะตั้งท่านให้เป็นมหาอุปราช เป็นบำเหน็จปากซึ่งท่านทำนายนั้น....."
อ้องอุ้นก็ทำเป็นยินดี พอพลบค่ำลงอ้องอุ้นก็ให้จุดเทียนชวาลาสว่างไสว แล้วสั่งให้มโหรีและนางรำออกมาบำเรอตั๋งโต๊ะ โดยให้นางเตียวเสียนเป็นหัวหน้า ตั๋งโต๊ะก็ถามว่านางนี้ ชื่อไร อ้องอุ้นก็บอกว่าชื่อนางเตียวเสียน แล้วก็ให้ขับร้องให้ตั๋งโต๊ะฟัง นางเตียวเสียนก็ขับเพลงพลางทำกิริยายั่วยวน จนตั๋งโต๊ะมีใจหลงเล่ห์เสน่หา อ้องอุ้นจึงคุกเข่าคำนับตั๋งโต๊ะ แล้วกล่าวว่า
".....ทุกวันนี้ข้าพเจ้ามีความสุขเพราะบุญท่าน ข้าพเจ้าหาสิ่งใดจะสนองคุณมิได้ แลนางเตียวเสียนนี้ ข้าพเจ้าได้เลี้ยงมาแต่น้อย ข้าพเจ้าจะยกให้แก่ท่านเป็นสิทธิ์....."
ตั๋งโต๊ะก็มีความยินดียิ่งนัก อ้องอุ้นจึงให้จัดแจงเสื้อผ้าอย่างดี ให้นางเตียวเสียน เป็นอันมาก แล้วให้นางนั่งเกี้ยวมีขบวนไปส่งตัว ที่บ้านพักของตั๋งโต๊ะในคืนนั้นเอง
นางเตียวเสียนก็ตกเป็นภรรยาของตั๋งโต๊ะในคืนนั้น ด้วยความเต็มใจของนางเอง ที่จะล่อให้ตั๋งโต๊ะลุ่มหลง ตามแผนการขั้นแรกของอ้องอุ้นผู้มีคุณ ส่วนขั้นต่อไปจะทำอย่างไรให้สำเร็จ สมความปรารถนาที่จะกำจัดมหาอุปราชผู้ชั่วร้ายนี้ น่าจะรอให้ถึงรุ่งเช้าเสียก่อน.
###############