ผลกระทบจากความขัดแย้ง

ทะเลาะกันมาร่วม10ปีแล้วเบื่อมั๊ยครับ?
นับวันมีแต่จะรุนแรงแตกหัก กินบริเวณกว้างออกไปเรื่อยๆ
จนรู้สึกเหมือนกับว่า ความขัดแย้งที่เห็นนี่มันจะไม่มีทางออกไม่ทางจบลงได้โดยไม่มีสงครามให้สูญเสียกันก่อนเลย
ตั้งสติกันดูดีๆก็คงเห็นได้ไม่ยากหรอกครับว่า ความเกลียดชังที่สะสมกันมาจนถึงวันนี้น่ะ
ได้สร้างความเสียหายมีผลกระทบกับคนไทยทุกคน ทุกชนชั้นจริงๆ
          ตั้งแต่สถาบันฯที่เรารักมาจนถึงรากหญ้าหรือแม้แต่คนที่ไม่มีแม้แต่ที่จะซุกหัวนอน
ทุกสาขาวิชาชีพ ทุกองค์กรณ์ที่เรามี ร้าวลึกเลือกข้างกันไปจนกระทบต่อความสัมพันธ์ของผู้คนในทุกระดับ
ตั้งแต่ระดับเพื่อนร่วมชาติที่ไม่เคยรู้จัก จนถึงเพื่อนฝูงคนสนิท
ครูอาจารย์ ญาติพี่น้อง พ่อแม่ตัวเอง
          ที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกอันหนึ่งก็คือผลกระทบทางเศรษฐกิจนี่แหละ
เราต่างใช้อารมณ์เหนือเหตุผล ยอมทุบหม้อข้าวตัวเองกันถึงขนาดนี้  ไม่มีทางเลยที่เราจะหลีกพ้นผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะตามมาในเวลาอันใกล้

หลายคนอาจจะพยายามหลอกตัวเองว่าไม่เดือดร้อนหรอก ฉันดีกว่า ฉันพวกเยอะ  ฉันไม่ง้อใคร
แต่ก็ไม่มีทางหนีความจริงไปได้พ้นหรอกครับ
ปฏิเสธความมีอยู่จริงของเพื่อนร่วมชาติที่เห็นต่างจากเราไปไม่ได้หรอกครับ
จะเกลียดชังกันแค่ไหนก็กำจัดทำลายกันไปไม่ได้หมดหรอก
และจะไล่ให้ไปอยู่ที่อื่นก็ไม่สามารถทำได้จริงๆหรอกครับอย่าเพ้อเจ้อกันไปเลย
เคยมีลูกค้าทั้งประเทศจู่ๆปล่อยให้ความเกลียดชังมาไล่ลูกค้าหายไปครึ่งค่อนจะบอกว่าไม่กระทบไม่เดือดร้อนมันก็หลอกตัวเองกันเกินไป

คนที่เคยมีคนรักทั้งประเทศเมื่อเกิดเหตุการณ์ทำให้เลือกข้างเลือกฝ่าย คนที่เคยรักมากมายก็ไม่มีทางจะรักกันได้เท่าเดิมอีกหรอกครับ
ยิ่งหากไปทำอะไรที่ข้ามเส้นของความถูกต้องกันไปไกลเกิน  จากเคยรักก็กลายเป็นเกลียดชังกันได้ง่ายๆ
กว่าจะให้รักกว่าจะให้ชื่นชมกันได้ใช้เวลาสั่งสมกันเป็นปี
แต่ความเกลียดสามารถทำให้ความรักและศรัทธาที่มีต่อบุคคลสาธารณะนั้นหายไปได้ชั่วข้ามคืน (ผมหมายถึงดาราต่างๆนะครับ)

สถาบันฯ และ องค์กรณ์ที่ต้องอาศัยศรัทธาค้ำจุนให้คงอยู่  
เมื่อก้าวล้ำเส้นความถูกต้องยุติธรรมกันไปเพียงเพื่อจะนำเอามาเป็นเครื่องมือเอาชนะกัน
ก็ย่อมมีผลต่อศรัทธาที่สั่งสมมากันนานเป็นชั่วอายุคนอย่างไม่ต้องสงสัย
มันน่ากลัวที่ว่า สถาบันฯและองค์กรณ์หลักที่เป็นรากฐาณของสังคม เป็นหลักยึดของความเป็นชาตินี้
หากศรัทธาถูกกัดกร่อนจนไม่อาจพึ่งพาได้ เราจะต้องมานั่งสร้างศรัทธากันใหม่กันอีกเป็นชั่วอายุคนทีเดียว
และ ถ้ายิ่งเป็นสถาบันฯที่ทำหน้าที่รักษากฏกติกาของสังคม
หากผู้คนสิ้นศรัทธากันไปแล้ว กฏกติกาไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้อีกต่อไป
สังคมก็คงไม่พ้นต้องหันไปพึ่งกฏหมู่กันแทน ซึ่งนั่นมันก็หมายถึงสงครามนั่นแหละครับ

ลองตั้งสติกันให้ดีๆซักครั้ง
มองให้เห็นปัญหาแท้จริง ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไรกันแน่?
อย่าไปหลอกตัวเองกันอยู่เลยครับว่าเราทะเลาะกันเพราะอีกฝ่ายนึงชั่ว เพราะข้ออ้างอย่างนั้นมัน Bull s**t ครับ
ผมเชื่อว่าทุกคนนั้นรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้ว
ถูกผิดนั้น มันมีแค่มาตรฐาณเดียว
ความถูกต้องยุติธรรมก็มีแค่มาตรฐาณเดียว รู้อยู่แก่ใจทุกคนทุกฝ่าย
ที่อ้างว่าโกงว่าผิด ช่วยกันสร้างนิมิต จินตนาการว่าทะเลาะกันเพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้น่ะ
เป็นเพราะเราไม่กล้าที่จะเผชิญกับสาเหตุของความขัดแย้งที่แท้จริง ใช่หรือไม่??

เรากลัวอำนาจที่มองไม่เห็น เรากลัวการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจรู้ผลที่ตามมาของมัน
แต่เรากลับเผชิญกับมันด้วยจินตนาการเป็นหลัก
มันก็ไม่มีทางที่จะเดินหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้องได้เลยจริงมั๊ย?

จะดีกว่านี้มั๊ยครับ? ถ้าเราสามารถพูดคุยถกเถียงกันอย่างเปิดเผยได้ตามระบอบประชาธิปไตย
ไม่ต้องกลัวกับอำนาจมืด ไม่ต้องกลัวกับการใช้กฏหมายที่ไม่เป็นธรรม
เราจะได้ไม่ต้องมา"ตีวัวกระทบคราด"กันอย่างนี้

จะดีกว่านี้มั๊ย? หากเราจะยึดหลักความถูกต้องยุติธรรมอันเดียวกัน ช่วยกันทำ ให้ความจริงทุกอย่างเปิดเผยออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ไม่ต้องไปพยายามบิดเบือนปกป้อง  เลิกเอาผ้าสกปรก และวิธีสกปรกมาทำความสะอาดกัน

หนทางแก้ปัญหาความขัดแย้งอย่างสันตินั้นทำได้แค่ตามหนทางตามหลักประชาธิปไตยเท่านั้นแหละครับ
อย่าไปหลงทางหาทางลัดกันอยู่เลย
ช่วยกันทำให้ความจริงทุกอย่างปรากฏให้ชัดเจนมากที่สุด
ตัดอคติในใจออกไปเสียแล้วยึดหลักความถูกต้องยุติธรรมเอาไว้ให้มั่น
หากทุกคนรู้ว่าเราทะเลาะกันเรื่องอะไร ความจริงและสำนึกผิดชอบชั่วดีของคนในสังคมนี่แหละครับ ที่จะพาให้เราหลุดพ้นจากความขัดแย้งนี้ไปได้

ไม่แน่นะครับหากความจริงทั้งหลายปรากฏ ก็อาจจะเปลี่ยนแนวคิดเลือกข้างเลือกฝ่ายของผู้คนไปเลยก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าจะออกมาในรูปใด ประเทศไทยเราก็ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วล่ะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่