สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
ผู้เปิดสารบบนักรบให้ทหารเลว
"เล่าเซี่ยงชุน"
อันว่าวรรณคดีอมตะเรื่องสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) นั้นรายชื่อตัวเอกในเรื่อง มีมากมาย แต่น่าแปลกที่นักรบคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีฝีมือเก่งกล้าฉกาจฉกรรจ์ยิ่ง กลับไม่มีชื่อ ถ้าจะว่าเป็นพวกที่จัดอยู่ในประเภทลิ่วล้อก็ไม่ใช่ลิ่วล้อชั้นเลวที่ออกไปรบได้สามเพลงก็ตกม้าตายพรรค์นั้น เราลองมาดูฝีมือของเขาบ้างเป็นไร
สมัยเมื่อโจโฉหนี ตั๋งโต๊ะ ออกจากลกเอี๋ยงเมืองหลวง ไปรวบรวมผู้คนเข้าเป็นขบวนการกู้ชาติให้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ พ้นจากเงื้อมมือของมหาอุปราชผู้หยาบช้าน่าชังคนนั้น ก็มีสมัครพรรคพวกเข้ามาร่วมอุดมการณ์ด้วยกันถึงสิบเจ็ดหัวเมือง ทั้งหมดได้ประชุมพร้อมใจกันยกให้ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมืองปุดไฮเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกพหลพลไกรของสัมพันธมิตรทั้งหมดร่วมยี่สิบหมื่น ไปทำศึกกับตั๋งโต๊ะ โดยให้ ซุนเกี๋ยน เป็นแม่ทัพหน้าเข้าตีด่านกิสุยก๋วนเป็นอันดับแรก
ครั้นนายด่านให้ม้าใช้ถือใบบอก ไปแจ้งข่าวแก่มหาอุปราชตั๋งโต๊ะก็วิตกว่าจะได้ใครเป็นแม่ทัพออกไปต่อสู้ ลิโป้ ลูกเลี้ยงซึ่งเป็นทหารเอกฝีมือเก่งกล้าก็ปลอบว่า พวกหัวเมืองที่ยกกันมานี้แม้จะดูว่ามาก แต่ก็เปรียบเสมือนแมลงเม่า จะบินมาเข้ากองเพลิง อย่าได้วิตกไปเลยจะขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสียให้สิ้น
พอทหารชั้นลิ่วล้อคนหนึ่งได้ยินดังนั้นก็คุกเข้าลงคำนับแล้วว่า
"....ซึ่งจะฆ่าไก่และจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่สมควร ซึ่งการทั้งนี้เป็นแต่หัวเมืองทั้งปวงยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่าน จะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้น เห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดศีรษะ หัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้.."
ทหารผู้นี้สูงหกศอกเศษ มีกิริยาดั่งเสือ ชื่อของเขาคือ ฮัวหยง
ตั๋งโต๊ะจึงแต่งตั้งให้เป็นนายทหารใหญ่คุมพลห้าหมื่นพร้อมด้วยนายทหารรองอีกสามนาย ยกไปป้องกันกิสุยก๋วนทันที
ทางกองทัพหน้าของฝ่ายหัวเมืองไม่ค่อยจะกินเส้นกันเอง มีแต่อิจฉาตาร้อน กลัวผู้อื่นจะได้ดีกว่า ซุนเกี๋ยนแม่ทัพหน้ายังไม่ทันจะสั่งการแต่อย่างใด นายทหารใหญ่อีกคนหนึ่งชื่อ เปาสิ้น รีบส่งเปาต๋ง น้องชายของตน ยกทหารออกไปรบก่อน หวังจะเอาความดีความชอบก่อนใคร
ฮัวหยงไม่ได้รอช้ารีบคุมทหารเพียงห้าร้อยคนเปิดประตูค่ายออกไปปะทะทันที เพียงแค่ร้องตวาดคำเดียว เปาต๋งก็ถอดใจชักม้ากลับ ฮัวหยงเลยไล่ฟันด้วยง้าว ตกม้าตายโดยไม่ทันได้ต่อสู้เลย เป็นการประเดิมชัย
ซุนเกี๋ยนจึงออกรบ พร้อมด้วยทหารเอกสี่คน คือเทียเภา ถือทวนคู่มือ อุยกาย ถือกระบองเหล็ก โจเมา ถือกระบี่ ฮันต๋ง ถือง้าว คราวนี้ฮัวหยงประมาทฝีมือข้าศึก จึงให้ทหารรองออกไปรบ แต่สู้เทียเภาได้แค่เจ็ดเพลงก็ถูกแทงตกม้าตาย ถึงกระนั้นเทียเภาก็ยังตีหักเอาด่านไม่ได้ ต้องถอยมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียงต๋ง แล้วขอเสบียงอาหารจากกองหลวงมาเพิ่มเติม กะจะตรึงกันเป็นแรมเดือน แต่ก็โดน อ้วนสุด น้องชายของแม่ทัพใหญ่ ซึ่งเป็นแม่กองเสบียงเบี้ยว ไม่ยอมส่งเสบียงให้กลัวจะชนะเสียอีก ทหารของซุนเกี๋ยนจึงอิดโรยอ่อนกำลังลง
ฮัวหยงรู้ข่าวจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกองยกเข้าตีค่ายซุนเกี๋ยนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อเวลาสองยามเศษเดือนมืดมาก ทหารในค่ายไม่รู้ใครเป็นใคร ก็แตกตื่นล้มตายลงเป็นอันมาก ซุนเกี๋ยนรีบแต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้าควงง้าวเข้าไปรบรับกับฮัวหยงได้แค่แปดเพลง โจเมาเห็นท่าไม่ค่อยดีก็พาซุนเกี๋ยนตีฝ่าออกไปจากค่าย ฮัวหยงก็ควบม้าตามไปติด ๆ ซุนเกี๋ยนหันมายิงเกาทัณฑ์ต้านไว้จนคันเกาทัณฑ์หักคามือ ก็ยังไม่เลิกตาม และไม่ระคายผิวเลย โจเมาใจฝ่อหนักขึ้นไปอีก จึงเปลี่ยนหมวกกับซุนเกี๋ยน แล้วก็แยกหนีไปคนละทาง
ฮัวหยงกับทหารจำได้แต่หมวก ก็ไล่ตามหลังโจเมาไปทั้ง ๆ ที่มืดมองเห็นไม่ถนัด โจเมาเห็นว่าเข้าตาขับขัน จึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้ แล้วเผ่นหนีเข้าป่าไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารก็ล้อมยิงตอไม้ด้วยเกาทัณฑ์อยู่นาน เห็นว่าไม่กระดุกกระดิก ก็พากันเข้าไปดู จึงได้รู้ว่าหลงกลข้าศึก
ฝ่ายโจเมาเห็นฮัวหยงเสียท่า ก็หวนกลับมาจะฆ่าให้ถนัดตอนเผลอ พอดีฮัวหยงเหลือบเห็นเสียก่อน เลยฟันด้วยง้าวตัวขาดสองท่อนเท่งทึงไปเป็นรายที่สอง
พอทัพหน้าแตกยับเยินไปแล้ว ฮัวหยงก็รุกคืบหน้าเข้าไปถึงค่ายทัพหลวงของอ้วนเสี้ยวร้องด่าท้าทายต่าง ๆ นา ๆ พร้อมกับเอาไม้เสียบหมวกของซุนเกี๋ยนเยาะเย้ยเสียอีกด้วย อ้วนเสี้ยวทนไม่ได้จึงส่ง ยูสิด ออกไปรบ ฮัวหยงรำง้าวได้สามเพลงก็ฟันยูสิดตกม้าตายเป็นรายที่สาม
ต่อไปกองทัพกู้ชาติก็ส่ง หัวหอง ซึ่งถือขวานใหญ่เบ้อเร่อ ออกไปประฝีมือกับฮัวหยงอีกคน ก็ไม่เกินสามเพลงเหมือนกัน ตกม้าตายเป็นรายสุดท้าย
คราวนี้อ้วนเสี้ยวชักขยาด เข้าไปปรารภในที่ประชุมแม่ทัพบ้านนอก ว่าทหารเอกของเรายังมีอีกสองคน แต่ยังมาไม่ถึง ไม่งั้นไม่ต้องกลัวอะไรกับฮัวหยง ว่าแต่ตอนนี้จะได้ใครออกไปรบเป็นคนต่อไป
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของ กองซุนจ้าน จึงยกมือขออาสา อ้วนเสี้ยวถามว่าเจ้าคนที่อาสานั้นเป็นทหารตำแหน่งใด กองซุนจ้านบอกว่าเป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธจนหนวดสั่น หาว่าเป็นแต่ทหารเลวแล้ว บังอาจดูหมิ่นฝีมือนายทัพนายกองในที่นี้อวดดีขออาสาโดยไม่เจียมตัว ในกองทัพทั้งสิบเจ็ดหัวเมืองนี้ ยังมีนายทหารอีกมากพอที่จะทำศึกต่อไปได้ ไม่ต้องถึงขั้นใช้พลทหารเป็นนายทัพหรอก ว่าแล้วก็ไล่ไปให้พ้นหน้า
โจโฉ เป็นผู้เห็นการณ์ไกลจึงประนีประนอมว่าท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งโกรธ อันทหารที่ชื่อ กวนอู ผู้นี้ ท่วงทีจะมีฝีมือกล้าหาญอยู่ น่าจะปล่อยให้แสดงความสามารถดูก่อน ถ้าออกไปรบแล้วไม่สมปากว่าก็ควรเอาโทษถึงตาย ถ้าชนะก็ดีไป อ้วนเสี้ยวแย้งว่า ถ้าขืนเอาทหารเลวออกไปรบ ฮัวหยงก็จะหัวเราะเยาะเล่นได้ ว่าในกองทัพของเราไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉก็อ้อนวอนต่อไปว่า ดูรูปร่างของกวนอูนี้ก็ใหญ่โตคมสันอยู่ คือสูงได้ประมาณหกศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุดทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหมจักษุยาวดังนกการะเวก ถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอกหนักถึงแปดสิบสองชั่ง เห็นท่าทางจะสมเป็นทหารเอก ฮัวหยงจะรู้ได้อย่างไร กวนอูจึงย้ำว่า ถ้าออกไปครั้งนี้ทำงานไม่สำเร็จไม่ได้ศีรษะฮัวหยงมา ก็ขอแลกด้วยศีรษะตนเอง
อ้วนเสี้ยวเห็นว่าไม่มีทางขาดทุน จึงยอมจัดทหารให้กวนอูออกไปรบได้ โจโฉซึ่งเป็นคนลุ้นอยู่ ก็รินสุราใส่จอกยื่นให้กวนอูเป็นการยกย่องเอาใจตามหลักจิตวิทยาการครองใจคน กวนอูคำนับด้วยความเคารพแล้วว่าตนเองเป็นเพียงทหารเลว ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ ซึ่งจะให้สุรากินนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ของดไว้ก่อน เมื่อได้ศีรษะฮัวหยงมาแล้วนั่นแหละ จึงจะมีศักดิ์ศรีพอจะรับสุราของท่านได้ ว่าแล้วก็ขึ้นม้าถือง้าวยาวสองเท่าตัว นำทหารออกไปรบ
ความจริงการรบครั้งนี้น่าจะมีรายละเอียด เกี่ยวกับฝีไม้ลายมือของทั้งสองฝ่ายบันทึกเอาไว้บ้าง แต่ไม่ทราบว่าท่านผู้แต่ง สามก๊ก ฉบับภาษาจีน ลำเอียง หรือตั้งใจจะยกย่องกวนอูจนเกินเหตุไปหน่อย จึงไม่กล่าวถึงฮัวหยงซึ่งเคยแสดงฝีมือ ให้เห็นประจักษ์มาแล้วบ้างเลยแม้แต่น้อย คงมีที่ท่านว่าไว้เพียงสั้น ๆ ไม่กี่บรรทัด ดังน
"....ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองและม้าล่อดังอื้ออึงก็ชวนกันออกไปดู กวนอูรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วเอาศีรษะฮัวหยงกลับมาทิ้งไว้ตรงหน้าค่าย นายทัพทั้งปวงเห็นก็ดีใจจึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับส่งให้กวนอู ๆ คำนับตอบแล้วรับจอกสุรานั้นมากินสุรานั้นยังอุ่นอยู่...."
ชีวิตของ ฮัวหยง ลิ่วล้อชั้นดี ก็สิ้นสุดลงอย่างง่ายดาย เป็นเครื่องเซ่นคมง้าวของ กวนอู ซึ่งเป็นพลทหารเลวคนหนึ่งเช่นกัน ในเวลาเพียงแค่สุราในจอกยังไม่ทันเย็นเลย
และตั้งแต่บัดนั้นมา ชีวิตของกวนอูทหารม้าถือเกาทัณฑ์ก็ก้าวหน้ารุ่งโรจน์เป็นทหารเอกที่มีชื่อเสียงของ สามก๊ก ต่อไปอีกนานถึงสามสิบปี จนอายุได้ห้าสิบแปดปีจึงต้องตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกัน
แต่ยังดีที่ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็น...เทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ...มาจนถึงทุกวันนี้
ตรงกันข้ามกับ ฮัวหยง พระเอกระดับลิ่วล้อของเรา ซึ่งตายแล้วก็ดับสูญสิ้นชื่อไปเลย.
##########
ผู้เปิดระบบนักรบให้ทหารเลว ๑๕ ก.พ.๕๗
ผู้เปิดสารบบนักรบให้ทหารเลว
"เล่าเซี่ยงชุน"
อันว่าวรรณคดีอมตะเรื่องสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) นั้นรายชื่อตัวเอกในเรื่อง มีมากมาย แต่น่าแปลกที่นักรบคนหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้มีฝีมือเก่งกล้าฉกาจฉกรรจ์ยิ่ง กลับไม่มีชื่อ ถ้าจะว่าเป็นพวกที่จัดอยู่ในประเภทลิ่วล้อก็ไม่ใช่ลิ่วล้อชั้นเลวที่ออกไปรบได้สามเพลงก็ตกม้าตายพรรค์นั้น เราลองมาดูฝีมือของเขาบ้างเป็นไร
สมัยเมื่อโจโฉหนี ตั๋งโต๊ะ ออกจากลกเอี๋ยงเมืองหลวง ไปรวบรวมผู้คนเข้าเป็นขบวนการกู้ชาติให้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ พ้นจากเงื้อมมือของมหาอุปราชผู้หยาบช้าน่าชังคนนั้น ก็มีสมัครพรรคพวกเข้ามาร่วมอุดมการณ์ด้วยกันถึงสิบเจ็ดหัวเมือง ทั้งหมดได้ประชุมพร้อมใจกันยกให้ อ้วนเสี้ยว เจ้าเมืองปุดไฮเป็นแม่ทัพใหญ่ ยกพหลพลไกรของสัมพันธมิตรทั้งหมดร่วมยี่สิบหมื่น ไปทำศึกกับตั๋งโต๊ะ โดยให้ ซุนเกี๋ยน เป็นแม่ทัพหน้าเข้าตีด่านกิสุยก๋วนเป็นอันดับแรก
ครั้นนายด่านให้ม้าใช้ถือใบบอก ไปแจ้งข่าวแก่มหาอุปราชตั๋งโต๊ะก็วิตกว่าจะได้ใครเป็นแม่ทัพออกไปต่อสู้ ลิโป้ ลูกเลี้ยงซึ่งเป็นทหารเอกฝีมือเก่งกล้าก็ปลอบว่า พวกหัวเมืองที่ยกกันมานี้แม้จะดูว่ามาก แต่ก็เปรียบเสมือนแมลงเม่า จะบินมาเข้ากองเพลิง อย่าได้วิตกไปเลยจะขออาสายกกองทัพออกไปฆ่าเสียให้สิ้น
พอทหารชั้นลิ่วล้อคนหนึ่งได้ยินดังนั้นก็คุกเข้าลงคำนับแล้วว่า
"....ซึ่งจะฆ่าไก่และจะเอามีดฆ่าโคมาฆ่านั้นไม่สมควร ซึ่งการทั้งนี้เป็นแต่หัวเมืองทั้งปวงยกมา อันลิโป้ผู้บุตรท่าน จะยกออกไปรบด้วยข้าศึกนั้น เห็นไม่สมควร ข้าพเจ้าจะขออาสาไปตัดศีรษะ หัวเมืองทั้งปวงมาให้จงได้.."
ทหารผู้นี้สูงหกศอกเศษ มีกิริยาดั่งเสือ ชื่อของเขาคือ ฮัวหยง
ตั๋งโต๊ะจึงแต่งตั้งให้เป็นนายทหารใหญ่คุมพลห้าหมื่นพร้อมด้วยนายทหารรองอีกสามนาย ยกไปป้องกันกิสุยก๋วนทันที
ทางกองทัพหน้าของฝ่ายหัวเมืองไม่ค่อยจะกินเส้นกันเอง มีแต่อิจฉาตาร้อน กลัวผู้อื่นจะได้ดีกว่า ซุนเกี๋ยนแม่ทัพหน้ายังไม่ทันจะสั่งการแต่อย่างใด นายทหารใหญ่อีกคนหนึ่งชื่อ เปาสิ้น รีบส่งเปาต๋ง น้องชายของตน ยกทหารออกไปรบก่อน หวังจะเอาความดีความชอบก่อนใคร
ฮัวหยงไม่ได้รอช้ารีบคุมทหารเพียงห้าร้อยคนเปิดประตูค่ายออกไปปะทะทันที เพียงแค่ร้องตวาดคำเดียว เปาต๋งก็ถอดใจชักม้ากลับ ฮัวหยงเลยไล่ฟันด้วยง้าว ตกม้าตายโดยไม่ทันได้ต่อสู้เลย เป็นการประเดิมชัย
ซุนเกี๋ยนจึงออกรบ พร้อมด้วยทหารเอกสี่คน คือเทียเภา ถือทวนคู่มือ อุยกาย ถือกระบองเหล็ก โจเมา ถือกระบี่ ฮันต๋ง ถือง้าว คราวนี้ฮัวหยงประมาทฝีมือข้าศึก จึงให้ทหารรองออกไปรบ แต่สู้เทียเภาได้แค่เจ็ดเพลงก็ถูกแทงตกม้าตาย ถึงกระนั้นเทียเภาก็ยังตีหักเอาด่านไม่ได้ ต้องถอยมาตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเลียงต๋ง แล้วขอเสบียงอาหารจากกองหลวงมาเพิ่มเติม กะจะตรึงกันเป็นแรมเดือน แต่ก็โดน อ้วนสุด น้องชายของแม่ทัพใหญ่ ซึ่งเป็นแม่กองเสบียงเบี้ยว ไม่ยอมส่งเสบียงให้กลัวจะชนะเสียอีก ทหารของซุนเกี๋ยนจึงอิดโรยอ่อนกำลังลง
ฮัวหยงรู้ข่าวจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกองยกเข้าตีค่ายซุนเกี๋ยนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เมื่อเวลาสองยามเศษเดือนมืดมาก ทหารในค่ายไม่รู้ใครเป็นใคร ก็แตกตื่นล้มตายลงเป็นอันมาก ซุนเกี๋ยนรีบแต่งตัวใส่เกราะ ขึ้นม้าควงง้าวเข้าไปรบรับกับฮัวหยงได้แค่แปดเพลง โจเมาเห็นท่าไม่ค่อยดีก็พาซุนเกี๋ยนตีฝ่าออกไปจากค่าย ฮัวหยงก็ควบม้าตามไปติด ๆ ซุนเกี๋ยนหันมายิงเกาทัณฑ์ต้านไว้จนคันเกาทัณฑ์หักคามือ ก็ยังไม่เลิกตาม และไม่ระคายผิวเลย โจเมาใจฝ่อหนักขึ้นไปอีก จึงเปลี่ยนหมวกกับซุนเกี๋ยน แล้วก็แยกหนีไปคนละทาง
ฮัวหยงกับทหารจำได้แต่หมวก ก็ไล่ตามหลังโจเมาไปทั้ง ๆ ที่มืดมองเห็นไม่ถนัด โจเมาเห็นว่าเข้าตาขับขัน จึงถอดหมวกสวมตอไม้ไว้ แล้วเผ่นหนีเข้าป่าไป ฝ่ายฮัวหยงกับทหารก็ล้อมยิงตอไม้ด้วยเกาทัณฑ์อยู่นาน เห็นว่าไม่กระดุกกระดิก ก็พากันเข้าไปดู จึงได้รู้ว่าหลงกลข้าศึก
ฝ่ายโจเมาเห็นฮัวหยงเสียท่า ก็หวนกลับมาจะฆ่าให้ถนัดตอนเผลอ พอดีฮัวหยงเหลือบเห็นเสียก่อน เลยฟันด้วยง้าวตัวขาดสองท่อนเท่งทึงไปเป็นรายที่สอง
พอทัพหน้าแตกยับเยินไปแล้ว ฮัวหยงก็รุกคืบหน้าเข้าไปถึงค่ายทัพหลวงของอ้วนเสี้ยวร้องด่าท้าทายต่าง ๆ นา ๆ พร้อมกับเอาไม้เสียบหมวกของซุนเกี๋ยนเยาะเย้ยเสียอีกด้วย อ้วนเสี้ยวทนไม่ได้จึงส่ง ยูสิด ออกไปรบ ฮัวหยงรำง้าวได้สามเพลงก็ฟันยูสิดตกม้าตายเป็นรายที่สาม
ต่อไปกองทัพกู้ชาติก็ส่ง หัวหอง ซึ่งถือขวานใหญ่เบ้อเร่อ ออกไปประฝีมือกับฮัวหยงอีกคน ก็ไม่เกินสามเพลงเหมือนกัน ตกม้าตายเป็นรายสุดท้าย
คราวนี้อ้วนเสี้ยวชักขยาด เข้าไปปรารภในที่ประชุมแม่ทัพบ้านนอก ว่าทหารเอกของเรายังมีอีกสองคน แต่ยังมาไม่ถึง ไม่งั้นไม่ต้องกลัวอะไรกับฮัวหยง ว่าแต่ตอนนี้จะได้ใครออกไปรบเป็นคนต่อไป
ทหารชั้นผู้น้อยคนหนึ่งของ กองซุนจ้าน จึงยกมือขออาสา อ้วนเสี้ยวถามว่าเจ้าคนที่อาสานั้นเป็นทหารตำแหน่งใด กองซุนจ้านบอกว่าเป็นทหารม้าถือเกาทัณฑ์ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธจนหนวดสั่น หาว่าเป็นแต่ทหารเลวแล้ว บังอาจดูหมิ่นฝีมือนายทัพนายกองในที่นี้อวดดีขออาสาโดยไม่เจียมตัว ในกองทัพทั้งสิบเจ็ดหัวเมืองนี้ ยังมีนายทหารอีกมากพอที่จะทำศึกต่อไปได้ ไม่ต้องถึงขั้นใช้พลทหารเป็นนายทัพหรอก ว่าแล้วก็ไล่ไปให้พ้นหน้า
โจโฉ เป็นผู้เห็นการณ์ไกลจึงประนีประนอมว่าท่านแม่ทัพอย่าเพิ่งโกรธ อันทหารที่ชื่อ กวนอู ผู้นี้ ท่วงทีจะมีฝีมือกล้าหาญอยู่ น่าจะปล่อยให้แสดงความสามารถดูก่อน ถ้าออกไปรบแล้วไม่สมปากว่าก็ควรเอาโทษถึงตาย ถ้าชนะก็ดีไป อ้วนเสี้ยวแย้งว่า ถ้าขืนเอาทหารเลวออกไปรบ ฮัวหยงก็จะหัวเราะเยาะเล่นได้ ว่าในกองทัพของเราไม่มีทหารเอกแล้ว โจโฉก็อ้อนวอนต่อไปว่า ดูรูปร่างของกวนอูนี้ก็ใหญ่โตคมสันอยู่ คือสูงได้ประมาณหกศอกเศษ หน้าแดงดังผลพุดทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม คิ้วดังตัวไหมจักษุยาวดังนกการะเวก ถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอกหนักถึงแปดสิบสองชั่ง เห็นท่าทางจะสมเป็นทหารเอก ฮัวหยงจะรู้ได้อย่างไร กวนอูจึงย้ำว่า ถ้าออกไปครั้งนี้ทำงานไม่สำเร็จไม่ได้ศีรษะฮัวหยงมา ก็ขอแลกด้วยศีรษะตนเอง
อ้วนเสี้ยวเห็นว่าไม่มีทางขาดทุน จึงยอมจัดทหารให้กวนอูออกไปรบได้ โจโฉซึ่งเป็นคนลุ้นอยู่ ก็รินสุราใส่จอกยื่นให้กวนอูเป็นการยกย่องเอาใจตามหลักจิตวิทยาการครองใจคน กวนอูคำนับด้วยความเคารพแล้วว่าตนเองเป็นเพียงทหารเลว ท่านเป็นถึงรองแม่ทัพใหญ่ ซึ่งจะให้สุรากินนั้นเป็นเกียรติอย่างยิ่ง แต่ของดไว้ก่อน เมื่อได้ศีรษะฮัวหยงมาแล้วนั่นแหละ จึงจะมีศักดิ์ศรีพอจะรับสุราของท่านได้ ว่าแล้วก็ขึ้นม้าถือง้าวยาวสองเท่าตัว นำทหารออกไปรบ
ความจริงการรบครั้งนี้น่าจะมีรายละเอียด เกี่ยวกับฝีไม้ลายมือของทั้งสองฝ่ายบันทึกเอาไว้บ้าง แต่ไม่ทราบว่าท่านผู้แต่ง สามก๊ก ฉบับภาษาจีน ลำเอียง หรือตั้งใจจะยกย่องกวนอูจนเกินเหตุไปหน่อย จึงไม่กล่าวถึงฮัวหยงซึ่งเคยแสดงฝีมือ ให้เห็นประจักษ์มาแล้วบ้างเลยแม้แต่น้อย คงมีที่ท่านว่าไว้เพียงสั้น ๆ ไม่กี่บรรทัด ดังน
"....ฝ่ายหัวเมืองทั้งปวงซึ่งอยู่ในค่ายนั้น ได้ยินเสียงกลองและม้าล่อดังอื้ออึงก็ชวนกันออกไปดู กวนอูรบกับฮัวหยง ครั้นออกไปถึงประตูค่ายก็เห็นกวนอูหิ้วเอาศีรษะฮัวหยงกลับมาทิ้งไว้ตรงหน้าค่าย นายทัพทั้งปวงเห็นก็ดีใจจึงพากวนอูเข้าไปในค่าย โจโฉจึงเอาจอกสุรานั้นมาคำนับส่งให้กวนอู ๆ คำนับตอบแล้วรับจอกสุรานั้นมากินสุรานั้นยังอุ่นอยู่...."
ชีวิตของ ฮัวหยง ลิ่วล้อชั้นดี ก็สิ้นสุดลงอย่างง่ายดาย เป็นเครื่องเซ่นคมง้าวของ กวนอู ซึ่งเป็นพลทหารเลวคนหนึ่งเช่นกัน ในเวลาเพียงแค่สุราในจอกยังไม่ทันเย็นเลย
และตั้งแต่บัดนั้นมา ชีวิตของกวนอูทหารม้าถือเกาทัณฑ์ก็ก้าวหน้ารุ่งโรจน์เป็นทหารเอกที่มีชื่อเสียงของ สามก๊ก ต่อไปอีกนานถึงสามสิบปี จนอายุได้ห้าสิบแปดปีจึงต้องตายอย่างน่าอนาถเช่นเดียวกัน
แต่ยังดีที่ได้รับคำสรรเสริญว่าเป็น...เทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ...มาจนถึงทุกวันนี้
ตรงกันข้ามกับ ฮัวหยง พระเอกระดับลิ่วล้อของเรา ซึ่งตายแล้วก็ดับสูญสิ้นชื่อไปเลย.
##########