สามก๊กฉบับอ่านซ้ำ
เจ้าเมืองผู้อับโชค
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ในสมัยสามก๊กนั้นมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นเพียงหัวเมืองเล็กน้อย ไม่มีความสำคัญอะไรมากนัก คือเมืองปักเป๋ง ซึ่งในสงครามอันยืดเยื้อยาวนาน ก็ไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครเลย แต่ในตำนานสามก๊กของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงระบุไว้ว่าต่อมาภายหลังก็คือเมืองปักกิง ซึ่งน่าจะเป็นปักกิ่ง นครหลวงของจีนในปัจจุบันนี้เอง
เมืองปักเป๋งในสมัยนั้น เจ้าเมืองชื่อกองซุนจ้าน เมื่อโจโฉหนีออกจากพระนคร ลกเอี๋ยง ไปอยู่ที่เมืองตันลิว แล้วจัดตั้งกองทัพปลดแอก เพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองนั้น กองซุนจ้านก็ยกกองทัพซึ่งมีกำลังพลประมาณหมื่นห้าพัน ไปสมทบกับหัวเมืองอื่นอีกสิบหกหัวเมืองด้วย
เมื่อเดินทางผ่านมาทางเมืองเพงงวนก๋วน เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับและพาเข้าไปพักในเมือง กองซุนจ้านเคยรู้จักกับเจ้าเมืองมาก่อน รู้ว่าชื่อเล่าปี่ เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น แต่คนสนิทสองคนหน้าแดงคนหนึ่งหน้าดำคนหนึ่งนั้น เป็นใครไม่รู้จัก เล่าปี่ก็แนะนำว่าคนหน้าแดงนั้นชื่อกวนอู และคนหน้าดำชื่อเตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่เป็นน้องกันมาแต่เมืองตุ้นก้วน และว่าทั้งสองคนนี้เป็นผู้มีฝีมือกล้าหาญ ได้ร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลืองมาด้วยกัน แต่หามีผู้ใดว่ากล่าวให้มีความดีความชอบไม่ จึงยังเป็นทหารเลวอยู่จนบัดนี้
กองซุนจ้านก็พักอยู่ในเมืองเพงงวนก๋วนคืนหนึ่ง และบอกให้เล่าปี่ทราบว่าโจโฉได้ออกประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวง ให้ร่วมกันยกทัพไปปราบปรามตั๋งโต๊ะ ซึ่งกุมอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้และอาณาประชาราษฎร ให้เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แล้วก็ชวนว่า
“……ทุกวันนี้ท่านได้เป็นเจ้าเมือง ก็เป็นแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการ ตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้น ก็จะได้เป็นเจ้าเมืองเอกขึ้น……”
เล่าปี่ก็มีความยินดีที่จะไปกับกองซุนจ้านด้วย จึงรวบรวมทหารคนสนิทประมาณยี่สิบคน และน้องชายสองคนเดินทางไปกับกองทัพของกองซุนจ้าน จนถึงที่ชุมพลของโจโฉนอกเมืองหลวง ซึ่งตั้งค่ายเรียงรายกันไปไกลประมาณสองร้อยเส้น เมื่อพร้อมแล้วโจโฉก็เชิญเจ้าเมืองทั้งปวงมาประชุมวางแผนการรบ อองของ เจ้าเมืองโห้ลายก็เสนอว่า
“…..บัดนี้เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์ เป็นผู้ใหญ่บังคับบัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย……”
โจโฉได้ฟังนั้น จึงเสนอเพื่อนเกลอที่หนีเข้าป่ามาพร้อมกันว่า
“……อ้วนเสี้ยวนี้เป็นคนมีตระกูล เชื้อขุนนางมาถึงสี่ห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เป็นนายทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง…….”
แต่อ้วนเสี้ยวยังไม่ยอมเป็น เจ้าเมืองทั้งปวงก็ไม่รู้ว่าจะให้ผู้ใดเป็น เพราะต่างก็อยากใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น อ้วนเสี้ยวเห็นว่าเรื่องจะยืดยาวไป จึงจำเป็นต้องยอมรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพทั้งสิบหกเหล่านั้น เพื่อมิให้แก่งแย่งกันจนไม่เป็นอันได้รบสักที
โจโฉกับเจ้าเมืองทั้งสิบหกก๊กก็ทำพิธีใหญ่โต มอบกระบี่อาญาสิทธิ์และตราประจำตำแหน่งให้อ้วนเสี้ยว แล้วจุดธูปเทียนบวงสรวงบูชาเทพารักษ์ ถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่าจะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป ไม่ได้คิดจะทำการเพื่อความเป็นใหญ่เป็นโต ของตนเองและพรรคพวก ตลอดจนเหล่าบริวารลูกหลานหว่านเครือ แต่ประการใด อ้วนเสี้ยวก็กล่าวปราศรัยว่า
“……สติปัญญาเราก็เป็นประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเป็นนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา…..”
เสร็จพิธีแล้วก็ยกทัพเข้าไปตั้งค่าย ประชิดด่านกิสุยก๋วนหน้าเมืองลกเอี๋ยง ฝ่าย ตั๋งโต๊ะซึ่งมีลิโป้เป็นแม่ทัพใหญ่ ก็ยกพลออกมาต่อสู้ นายกองที่คุมทหารออกมารบกับกองทัพของอ้วนเสี้ยวนั้น ชื่อฮัวหยง ออกรบได้ไม่กี่ครั้งก็ฆ่านายทหารของอ้วนเสี้ยว ตายไปสองคน อ้วนเสี้ยวก็เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าจะส่งผู้ใดออกไปรบอีก
กองซุนจ้านก็แนะนำเล่าปี่ ว่าเป็นเพื่อนศิษย์เก่าร่วมสำนักเรียนมาด้วยกัน เดี๋ยวนี้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน และเป็นเชื้อพระวงศ์กับพระเจ้าเหี้ยนเต้ อ้วนเสี้ยวก็เชิญให้ขึ้นมานั่งร่วมประชุมด้วย ส่วนกวนอูกับเตียวหุยก็เป็นพลทหารองครักษ์ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่ พอดีฮัวหยงยกทหารมาท้าทายอยู่หน้าค่าย อ้วนเสี้ยวส่งนายทหารออกไปต่อสู้ก็ถูกฆ่าตายไปอีกสองคน กวนอูจึงขออาสาออกไปจัดการกับฮัวหยงเอง
อ้วนเสี้ยวไม่เชื่อฝีมือของกวนอู แต่โจโฉเป็นผู้สนับสนุนให้ลองดูก่อน กวนอูจึงถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอก ขี่ม้าออกจากค่ายไปแต่ผู้เดียว ไม่มีใครรู้ว่ากวนอูรบกับฮัวหยงด้วยวิธีไหน เพียงครู่เดียวก็หิ้วศรีษะของฮัวหยงเข้ามาให้อ้วนเสี้ยว รวดเร็วเสียจนสุราอุ่นที่โจโฉรินไว้เป็นรางวัล นั้น ยังไม่ทันจะเย็นเลย
แต่กองทัพอันใหญ่โตที่มีอ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพ ก็ไม่สามารถเอาชนะตั๋งโต๊ะได้ เพราะไม่ได้ใช้อาญาสิทธิ์ที่ได้รับมอบนั้น ให้เป็นไปตามความยุติธรรม เจ้าเมืองที่ร่วมเป็นพันธมิตรต่างก็แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบกันและกัน แล้วก็ขัดแย้งกันเองจนต่างก็ยกทัพกลับบ้านเมืองของตนไปหมด
กองซุนจ้านกลับมาอยู่เมืองปักเป๋งได้ไม่นาน อ้วนเสี้ยวก็มีหนังสือมาชวน ให้ยกทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเคยส่งเสบียงให้อ้วนเสี้ยวที่เมืองโห้ลาย ถ้าตีได้แล้วจะแบ่งทรัพย์สินและเมืองขึ้นให้กึ่งหนึ่ง กองซุนจ้านก็เห็นด้วยจึงจัดเตรียมกองทัพจะยกไป ก็ได้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวยึดครองเมืองกิจิ๋วได้แล้ว โดยไม่ต้องเสียไพร่พลแม้สักคนเกาทัณฑ์แม้สักดอกเลย จึงให้กองซุนอวดน้องชายไป
ทวงสัญญา ที่ว่าจะแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่ง
น้องชายไปเมืองกิจิ๋วได้ไม่นาน ก็มีทหารกลับมาบอกว่า อ้วนเสี้ยวให้กองซุนอวดกลับมาเชิญกองซุนจ้านไปเอง แต่ระหว่างเดินทางกลับอ้วนเสี้ยวก็ส่งทหารมาล้อมฆ่าเสีย กองซุนจ้านก็โกรธยิ่งนักประกาศว่า
“…..อ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว แต่งเป็นกลอุบายให้ทหารมาซุ่ม คอยฆ่ากองซุนอวดผู้น้องเราเสีย แล้วแกล้งประกาศว่าเป็นทหารตั๋งโต๊ะ แลอ้วนเสี้ยวทำทั้งนี้กูมีความแค้นนัก ถ้ากูแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไม่ได้ ก็เหมือนหนึ่งไม่ใช่ชาติทหาร…..”
แล้วก็เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งเมือง เข้ากองทัพยกไปรบกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งออกมาตั้งรับที่แม่น้ำพวนโห้ฟากตะวันตก ทั้งสองชักม้ามาพบกันที่กลางสะพานศิลา ซึ่งทอดข้ามแม่น้ำนั้น กองซุนจ้านก็ด่าอ้วนเสี้ยวว่า
“….ตัวไม่รักษาสัตย์ มาล่อลวงกูแล้วซ้ำฆ่ากองซุนอวดผู้น้องกูเสีย…..”
อ้วนเสี้ยวก็แก้ว่า ฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วเป็นคนโฉดเขลาหาความคิดมิได้ อยู่ ๆ ยังไม่ทันได้รบก็ยอมยกเมืองให้ตน ดังนั้นกองซุนจ้านจะมาชุบมือเปิบเอาส่วนแบ่งได้อย่างไร กองซุนจ้าน ก็ด่าอ้วนเสี้ยวว่าเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่สมควรจะอยู่ปกครองบ้านเมือง อ้วนเสี้ยวก็โกรธใช้ให้บุนทิวนายทหารเอกฝีมือเยี่ยมยุทธ ออกไปจับตัวกองซุนจ้านให้ได้
กองซุนจ้านชักม้าลงจากสะพาน แล้วต่อสู้กับบุนทิวได้สิบเพลง ก็หมดฝีมือต้องถอยเข้าไปอยู่ในหมู่ทหารองครักษ์ ทหารเอกสี่นายก็เข้าปะทะป้องกันกองซุนจ้านไว้ แต่ก็ถูกบุนทิวเอาทวนแทงตายไปคนหนึ่ง อีกสามคนก็กลับหลังตามนายไป บุนทิวก็ขับม้าไล่ตามกองซุนจ้านเข้าป่าไปไกล จนถึงเนินเขาแห่งหนึ่งม้าสะดุดก้อนหินล้มลง กองซุนจ้านกระเด็นกลิ้งลงกับพื้นดิน ยังไม่ทันที่บุนทิวจะพุ่งทวนแทง ก็มีทหารหนุ่มผู้หนึ่ง ขี่ม้าขาวรำทวนเข้าสกัดหน้าไว้ ทั้งสองก็รบกันถึงหกสิบเพลง ก็มิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน จนเหล่าทหารของกองซุนจ้านซึ่งแตกหนีไป คุมกันติดหวนกลับมาล้อมบุนทิวไว้ บุนทิวเห็นว่าขืนอยู่ช้าคงจะเสียที จึงชักม้าผละหนีกลับไป
กองซุนจ้านออกมาจากซอกหินที่วิ่งเข้าไปหลบแอบอยู่ จึงได้รู้จักว่าผู้ที่มาช่วยตนให้รอดพ้นจากความตายนั้น ชื่อจูล่งเป็นชาวเมืองเสียงสัน เดิมเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่เห็นว่าเป็นคนไม่สัตย์ซื่อ จึงหนีมาหวังจะอยู่กับกองซุนจ้าน พอดีได้ทันช่วยชีวิตไว้ กองซุนจ้านก็ดีใจนักรับไว้เป็นทหารของตน แล้วพากันกลับเข้าค่ายริมแม่น้ำ
หลังจากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ยกทหารมาต่อสู้กับกองซุนจ้าน แถวสะพานนั้นอีก จ๊กยี่นายทหารของอ้วนเสี้ยว ก็บุกเข้าไปจนถึงตัวกองซุนจ้าน ต้องถอยหนีอีก จูล่งซึ่งเป็นกองหลังก็เข้ามาช่วย ฆ่าก๊กยี่ตาย แต่อ้วนเสี้ยวก็ยกพลมาโอบล้อมไว้ จูล่งก็พากองซุนจ้านหนีไปประมาณห้าสิบเส้น ก็พบกับเล่าปี่กวนอูและเตียวหุย ที่ยกพลจากเมืองเพงงวนก๋วนมาช่วย อ้วนเสี้ยวเกรงฝีมือของสามพี่น้อง จึงถอยกลับเข้าค่ายไป
ทั้งสองฝ่ายก็ตั้งท่ารบกันอยู่อีกหลายยก ตั๋งโต๊ะเกรงว่าจะเป็นศึกใหญ่ เดือดร้อนมาถึงตน จึงทำหนังสือเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ ให้เลิกรบและเป็นไมตรีกันเสีย ทั้งสองยังเคารพใน รับสั่งจึงยอมเชื่อฟัง ต่างก็แยกกันกลับบ้านเมืองของตน โดยที่กองซุนจ้านยังไม่ได้แก้แค้นแทนน้องชาย ดังปรารถนา
ในคราวนั้นเล่าปี่ก็รักในน้ำใจของจูล่งมาก อยากจะได้ตัวไว้เป็นทหารของตน แต่ยังเกรงใจกองซุนจ้าน จึงต่างก็ต้องแยกกันไปคนละทาง จูล่งไปอยู่กับกองซุนจ้านตามความคิดเดิม ส่วนเล่าปี่ก็กลับไปอยู่บ้านเมืองของตน
ต่อมาอีกนานจนตั๋งโต๊ะตายไปแล้ว เล่าปี่ช่วยโจโฉรบชนะลิโป้ จับตัวมาประหารเสียที่เมืองชีจิ๋ว มีความชอบมาก โจโฉจึงพาไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง อ้วนเสี้ยวจึงได้ยกทัพไปตีเมืองปักเป๋งของกองซุนจ้าน ซึ่งกองซุนจ้านยกทหารออกรบหลายครั้งก็เสียที และกองซุนจ้านนั้นทำการรบตามใจตนเอง ไม่ฟังคำแนะนำของที่ปรึกษา จูล่งเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ จึงปลีกตัวออกไปคนเดียว เพื่อตามหาเล่าปี่หวังจะขอพึ่งบารมีต่อไป
กองซุนจ้านก็ให้ปลูกหอคอยสูงยี่สิบวา แล้วกวาดข้าวปลาอาหารมาไว้เป็นเสบียงในเมืองเป็นอันมาก และเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่บนเชิงเทินไว้ให้มั่นคง กะจะทำศึกยืดยาวแรมปี อ้วนเสี้ยวก็หันไปตีเมืองเล็กเมืองน้อย ที่ขึ้นอยู่กับเมืองปักเป๋งแตกระส่ำระสายไปหลายตำบล เมื่อเจ้าเมืองเหล่านั้น มีหนังสือมาขอกองทัพไปช่วย กองซุนจ้านก็ว่าพวกหัวเมืองทั้งปวง มิได้เต็มใจรบพุ่งกับข้าศึก ดีแต่จะให้ยกไปช่วยท่าเดียวก็นิ่งเฉยเสีย หัวเมืองรอบนอกจึงพากันอ่อนน้อมยอมเข้ากับอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวก็ยกทัพมาล้อมเมืองปักเป๋งไว้
เมื่อกองซุนจ้านแต่งหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ ขอกองทัพมาช่วย อ้วนเสี้ยวก็จับพล นำสารไว้ กองซุนจ้านรอกองทัพหลวงไม่เห็นมา จึงมีหนังสือไปหาเตียวเอี๋ยนพันธมิตรของตน ให้ยกกองทัพมาช่วย ถ้ามาถึงแล้วให้จุดเพลิงขึ้นเป็นสำคัญ ตนจะได้คุมทหารตีกระหนาบออกมาจากเมือง แต่อ้วนเสี้ยวก็จับได้อีก และซ้อนกลโดยส่งทหารเข้าตีเมืองปักเป๋ง แล้วจุดไฟขึ้นห่างค่ายไปประมาณสามสิบเส้น พอกองซุนจ้านยกทหารออกจากเมือง ก็ถูกอ้วนเสี้ยวล้อมกรอบฆ่าฟันทหารตายไปเป็นอันมาก แต่ตัวกองซุนจ้านหนีเข้าเมืองได้
ครั้งสุดท้ายอ้วนเสี้ยวให้ทหารขุดอุโมงค์ ทะลุเข้าไปในเมืองแล้วจุดไฟเผาบ้านเรือนขึ้นทั่วเมือง กองซุนจ้านไม่รู้ว่าข้าศึกเข้าเมืองได้มากน้อยเท่าใด เห็นจวนตัวจึงฆ่าบุตรภรรยาเสีย แล้วเชือดคอตนเองตายตาม อ้วนเสี้ยวจึงยึดเมืองปักเป๋งไว้เป็นของตนได้
เมื่อเล่าปี่ได้ทราบข่าวนี้ ก็เป็นขณะที่รับราชการอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีไพร่พลอยู่ในกำมือ จึงไม่สามารถจะช่วยเหลือผู้มีคุณแก่ตนได้ ด้วยประการใด
กองซุนจ้านเจ้าเมืองผู้อาภัพอับโชค ไม่สามารถเลี้ยงดูทหารฝีมือดี ให้อยู่เป็นกำลัง ในการแผ่ขยายอำนาจด้วยกันได้ จึงสิ้นชื่อไปตั้งแต่บ้านเมืองยังไม่เริ่มเป็นสามก๊กเลย.
############
เจ้าเมืองผู้อับโชค ๒๖ ก.พ.๕๗
เจ้าเมืองผู้อับโชค
“ เล่าเซี่ยงชุน “
ในสมัยสามก๊กนั้นมีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นเพียงหัวเมืองเล็กน้อย ไม่มีความสำคัญอะไรมากนัก คือเมืองปักเป๋ง ซึ่งในสงครามอันยืดเยื้อยาวนาน ก็ไม่ค่อยได้เกี่ยวข้องอะไรกับใครเลย แต่ในตำนานสามก๊กของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงระบุไว้ว่าต่อมาภายหลังก็คือเมืองปักกิง ซึ่งน่าจะเป็นปักกิ่ง นครหลวงของจีนในปัจจุบันนี้เอง
เมืองปักเป๋งในสมัยนั้น เจ้าเมืองชื่อกองซุนจ้าน เมื่อโจโฉหนีออกจากพระนคร ลกเอี๋ยง ไปอยู่ที่เมืองตันลิว แล้วจัดตั้งกองทัพปลดแอก เพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองนั้น กองซุนจ้านก็ยกกองทัพซึ่งมีกำลังพลประมาณหมื่นห้าพัน ไปสมทบกับหัวเมืองอื่นอีกสิบหกหัวเมืองด้วย
เมื่อเดินทางผ่านมาทางเมืองเพงงวนก๋วน เจ้าเมืองก็ออกมาต้อนรับและพาเข้าไปพักในเมือง กองซุนจ้านเคยรู้จักกับเจ้าเมืองมาก่อน รู้ว่าชื่อเล่าปี่ เป็นเชื้อสายราชวงศ์ฮั่น แต่คนสนิทสองคนหน้าแดงคนหนึ่งหน้าดำคนหนึ่งนั้น เป็นใครไม่รู้จัก เล่าปี่ก็แนะนำว่าคนหน้าแดงนั้นชื่อกวนอู และคนหน้าดำชื่อเตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่เป็นน้องกันมาแต่เมืองตุ้นก้วน และว่าทั้งสองคนนี้เป็นผู้มีฝีมือกล้าหาญ ได้ร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลืองมาด้วยกัน แต่หามีผู้ใดว่ากล่าวให้มีความดีความชอบไม่ จึงยังเป็นทหารเลวอยู่จนบัดนี้
กองซุนจ้านก็พักอยู่ในเมืองเพงงวนก๋วนคืนหนึ่ง และบอกให้เล่าปี่ทราบว่าโจโฉได้ออกประกาศแก่หัวเมืองทั้งปวง ให้ร่วมกันยกทัพไปปราบปรามตั๋งโต๊ะ ซึ่งกุมอำนาจอยู่ในเมืองหลวง และทำหยาบช้าต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้และอาณาประชาราษฎร ให้เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แล้วก็ชวนว่า
“……ทุกวันนี้ท่านได้เป็นเจ้าเมือง ก็เป็นแต่เมืองน้อย ครั้งนี้จงไปกับเราเถิด ถ้าสำเร็จราชการ ตัวท่านแลน้องทั้งสองคนนั้น ก็จะได้เป็นเจ้าเมืองเอกขึ้น……”
เล่าปี่ก็มีความยินดีที่จะไปกับกองซุนจ้านด้วย จึงรวบรวมทหารคนสนิทประมาณยี่สิบคน และน้องชายสองคนเดินทางไปกับกองทัพของกองซุนจ้าน จนถึงที่ชุมพลของโจโฉนอกเมืองหลวง ซึ่งตั้งค่ายเรียงรายกันไปไกลประมาณสองร้อยเส้น เมื่อพร้อมแล้วโจโฉก็เชิญเจ้าเมืองทั้งปวงมาประชุมวางแผนการรบ อองของ เจ้าเมืองโห้ลายก็เสนอว่า
“…..บัดนี้เราทั้งปวงมีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งมาทำการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ ไม่มีผู้ใดถืออาญาสิทธิ์ เป็นผู้ใหญ่บังคับบัญชานายทัพนายกองทั้งปวง ซึ่งจะยกเข้าตีนั้นเรายังไม่เห็นด้วย……”
โจโฉได้ฟังนั้น จึงเสนอเพื่อนเกลอที่หนีเข้าป่ามาพร้อมกันว่า
“……อ้วนเสี้ยวนี้เป็นคนมีตระกูล เชื้อขุนนางมาถึงสี่ห้าชั่วคนแล้ว ควรจะให้เป็นนายทัพใหญ่ ถืออาญาสิทธิ์บังคับบัญชานายทัพนายกอง…….”
แต่อ้วนเสี้ยวยังไม่ยอมเป็น เจ้าเมืองทั้งปวงก็ไม่รู้ว่าจะให้ผู้ใดเป็น เพราะต่างก็อยากใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น อ้วนเสี้ยวเห็นว่าเรื่องจะยืดยาวไป จึงจำเป็นต้องยอมรับตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพทั้งสิบหกเหล่านั้น เพื่อมิให้แก่งแย่งกันจนไม่เป็นอันได้รบสักที
โจโฉกับเจ้าเมืองทั้งสิบหกก๊กก็ทำพิธีใหญ่โต มอบกระบี่อาญาสิทธิ์และตราประจำตำแหน่งให้อ้วนเสี้ยว แล้วจุดธูปเทียนบวงสรวงบูชาเทพารักษ์ ถือน้ำพิพัฒน์สัจจาว่าจะสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินสืบไป ไม่ได้คิดจะทำการเพื่อความเป็นใหญ่เป็นโต ของตนเองและพรรคพวก ตลอดจนเหล่าบริวารลูกหลานหว่านเครือ แต่ประการใด อ้วนเสี้ยวก็กล่าวปราศรัยว่า
“……สติปัญญาเราก็เป็นประมาณ ซึ่งท่านทั้งปวงปรึกษาให้เราเป็นนายทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์ เราก็จะทำไปตามสติปัญญา อันอย่างธรรมเนียมกฎพิชัยสงครามนั้น ถ้าผู้ใดมีความชอบก็จะปูนบำเหน็จตามสมควร ถ้าผู้ใดผิดเราจะลงโทษโดยพระอัยการศึก ท่านทั้งปวงอย่าได้น้อยใจเรา…..”
เสร็จพิธีแล้วก็ยกทัพเข้าไปตั้งค่าย ประชิดด่านกิสุยก๋วนหน้าเมืองลกเอี๋ยง ฝ่าย ตั๋งโต๊ะซึ่งมีลิโป้เป็นแม่ทัพใหญ่ ก็ยกพลออกมาต่อสู้ นายกองที่คุมทหารออกมารบกับกองทัพของอ้วนเสี้ยวนั้น ชื่อฮัวหยง ออกรบได้ไม่กี่ครั้งก็ฆ่านายทหารของอ้วนเสี้ยว ตายไปสองคน อ้วนเสี้ยวก็เรียกประชุมแม่ทัพนายกอง ปรึกษาว่าจะส่งผู้ใดออกไปรบอีก
กองซุนจ้านก็แนะนำเล่าปี่ ว่าเป็นเพื่อนศิษย์เก่าร่วมสำนักเรียนมาด้วยกัน เดี๋ยวนี้เป็นเจ้าเมืองเพงงวนก๋วน และเป็นเชื้อพระวงศ์กับพระเจ้าเหี้ยนเต้ อ้วนเสี้ยวก็เชิญให้ขึ้นมานั่งร่วมประชุมด้วย ส่วนกวนอูกับเตียวหุยก็เป็นพลทหารองครักษ์ยืนอยู่ข้างหลังเล่าปี่ พอดีฮัวหยงยกทหารมาท้าทายอยู่หน้าค่าย อ้วนเสี้ยวส่งนายทหารออกไปต่อสู้ก็ถูกฆ่าตายไปอีกสองคน กวนอูจึงขออาสาออกไปจัดการกับฮัวหยงเอง
อ้วนเสี้ยวไม่เชื่อฝีมือของกวนอู แต่โจโฉเป็นผู้สนับสนุนให้ลองดูก่อน กวนอูจึงถือง้าวยาวสิบเอ็ดศอก ขี่ม้าออกจากค่ายไปแต่ผู้เดียว ไม่มีใครรู้ว่ากวนอูรบกับฮัวหยงด้วยวิธีไหน เพียงครู่เดียวก็หิ้วศรีษะของฮัวหยงเข้ามาให้อ้วนเสี้ยว รวดเร็วเสียจนสุราอุ่นที่โจโฉรินไว้เป็นรางวัล นั้น ยังไม่ทันจะเย็นเลย
แต่กองทัพอันใหญ่โตที่มีอ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพ ก็ไม่สามารถเอาชนะตั๋งโต๊ะได้ เพราะไม่ได้ใช้อาญาสิทธิ์ที่ได้รับมอบนั้น ให้เป็นไปตามความยุติธรรม เจ้าเมืองที่ร่วมเป็นพันธมิตรต่างก็แก่งแย่งชิงดี เอารัดเอาเปรียบกันและกัน แล้วก็ขัดแย้งกันเองจนต่างก็ยกทัพกลับบ้านเมืองของตนไปหมด
กองซุนจ้านกลับมาอยู่เมืองปักเป๋งได้ไม่นาน อ้วนเสี้ยวก็มีหนังสือมาชวน ให้ยกทัพไปตีเมืองกิจิ๋ว ซึ่งเคยส่งเสบียงให้อ้วนเสี้ยวที่เมืองโห้ลาย ถ้าตีได้แล้วจะแบ่งทรัพย์สินและเมืองขึ้นให้กึ่งหนึ่ง กองซุนจ้านก็เห็นด้วยจึงจัดเตรียมกองทัพจะยกไป ก็ได้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวยึดครองเมืองกิจิ๋วได้แล้ว โดยไม่ต้องเสียไพร่พลแม้สักคนเกาทัณฑ์แม้สักดอกเลย จึงให้กองซุนอวดน้องชายไป
ทวงสัญญา ที่ว่าจะแบ่งสมบัติให้กึ่งหนึ่ง
น้องชายไปเมืองกิจิ๋วได้ไม่นาน ก็มีทหารกลับมาบอกว่า อ้วนเสี้ยวให้กองซุนอวดกลับมาเชิญกองซุนจ้านไปเอง แต่ระหว่างเดินทางกลับอ้วนเสี้ยวก็ส่งทหารมาล้อมฆ่าเสีย กองซุนจ้านก็โกรธยิ่งนักประกาศว่า
“…..อ้วนเสี้ยวได้เมืองกิจิ๋วแล้ว แต่งเป็นกลอุบายให้ทหารมาซุ่ม คอยฆ่ากองซุนอวดผู้น้องเราเสีย แล้วแกล้งประกาศว่าเป็นทหารตั๋งโต๊ะ แลอ้วนเสี้ยวทำทั้งนี้กูมีความแค้นนัก ถ้ากูแก้แค้นอ้วนเสี้ยวไม่ได้ ก็เหมือนหนึ่งไม่ใช่ชาติทหาร…..”
แล้วก็เกณฑ์ชายฉกรรจ์ทั้งเมือง เข้ากองทัพยกไปรบกับอ้วนเสี้ยว ซึ่งออกมาตั้งรับที่แม่น้ำพวนโห้ฟากตะวันตก ทั้งสองชักม้ามาพบกันที่กลางสะพานศิลา ซึ่งทอดข้ามแม่น้ำนั้น กองซุนจ้านก็ด่าอ้วนเสี้ยวว่า
“….ตัวไม่รักษาสัตย์ มาล่อลวงกูแล้วซ้ำฆ่ากองซุนอวดผู้น้องกูเสีย…..”
อ้วนเสี้ยวก็แก้ว่า ฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วเป็นคนโฉดเขลาหาความคิดมิได้ อยู่ ๆ ยังไม่ทันได้รบก็ยอมยกเมืองให้ตน ดังนั้นกองซุนจ้านจะมาชุบมือเปิบเอาส่วนแบ่งได้อย่างไร กองซุนจ้าน ก็ด่าอ้วนเสี้ยวว่าเป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่สมควรจะอยู่ปกครองบ้านเมือง อ้วนเสี้ยวก็โกรธใช้ให้บุนทิวนายทหารเอกฝีมือเยี่ยมยุทธ ออกไปจับตัวกองซุนจ้านให้ได้
กองซุนจ้านชักม้าลงจากสะพาน แล้วต่อสู้กับบุนทิวได้สิบเพลง ก็หมดฝีมือต้องถอยเข้าไปอยู่ในหมู่ทหารองครักษ์ ทหารเอกสี่นายก็เข้าปะทะป้องกันกองซุนจ้านไว้ แต่ก็ถูกบุนทิวเอาทวนแทงตายไปคนหนึ่ง อีกสามคนก็กลับหลังตามนายไป บุนทิวก็ขับม้าไล่ตามกองซุนจ้านเข้าป่าไปไกล จนถึงเนินเขาแห่งหนึ่งม้าสะดุดก้อนหินล้มลง กองซุนจ้านกระเด็นกลิ้งลงกับพื้นดิน ยังไม่ทันที่บุนทิวจะพุ่งทวนแทง ก็มีทหารหนุ่มผู้หนึ่ง ขี่ม้าขาวรำทวนเข้าสกัดหน้าไว้ ทั้งสองก็รบกันถึงหกสิบเพลง ก็มิได้เพลี่ยงพล้ำแก่กัน จนเหล่าทหารของกองซุนจ้านซึ่งแตกหนีไป คุมกันติดหวนกลับมาล้อมบุนทิวไว้ บุนทิวเห็นว่าขืนอยู่ช้าคงจะเสียที จึงชักม้าผละหนีกลับไป
กองซุนจ้านออกมาจากซอกหินที่วิ่งเข้าไปหลบแอบอยู่ จึงได้รู้จักว่าผู้ที่มาช่วยตนให้รอดพ้นจากความตายนั้น ชื่อจูล่งเป็นชาวเมืองเสียงสัน เดิมเป็นทหารของอ้วนเสี้ยว แต่เห็นว่าเป็นคนไม่สัตย์ซื่อ จึงหนีมาหวังจะอยู่กับกองซุนจ้าน พอดีได้ทันช่วยชีวิตไว้ กองซุนจ้านก็ดีใจนักรับไว้เป็นทหารของตน แล้วพากันกลับเข้าค่ายริมแม่น้ำ
หลังจากนั้นอ้วนเสี้ยวก็ยกทหารมาต่อสู้กับกองซุนจ้าน แถวสะพานนั้นอีก จ๊กยี่นายทหารของอ้วนเสี้ยว ก็บุกเข้าไปจนถึงตัวกองซุนจ้าน ต้องถอยหนีอีก จูล่งซึ่งเป็นกองหลังก็เข้ามาช่วย ฆ่าก๊กยี่ตาย แต่อ้วนเสี้ยวก็ยกพลมาโอบล้อมไว้ จูล่งก็พากองซุนจ้านหนีไปประมาณห้าสิบเส้น ก็พบกับเล่าปี่กวนอูและเตียวหุย ที่ยกพลจากเมืองเพงงวนก๋วนมาช่วย อ้วนเสี้ยวเกรงฝีมือของสามพี่น้อง จึงถอยกลับเข้าค่ายไป
ทั้งสองฝ่ายก็ตั้งท่ารบกันอยู่อีกหลายยก ตั๋งโต๊ะเกรงว่าจะเป็นศึกใหญ่ เดือดร้อนมาถึงตน จึงทำหนังสือเป็นรับสั่งของฮ่องเต้ ให้เลิกรบและเป็นไมตรีกันเสีย ทั้งสองยังเคารพใน รับสั่งจึงยอมเชื่อฟัง ต่างก็แยกกันกลับบ้านเมืองของตน โดยที่กองซุนจ้านยังไม่ได้แก้แค้นแทนน้องชาย ดังปรารถนา
ในคราวนั้นเล่าปี่ก็รักในน้ำใจของจูล่งมาก อยากจะได้ตัวไว้เป็นทหารของตน แต่ยังเกรงใจกองซุนจ้าน จึงต่างก็ต้องแยกกันไปคนละทาง จูล่งไปอยู่กับกองซุนจ้านตามความคิดเดิม ส่วนเล่าปี่ก็กลับไปอยู่บ้านเมืองของตน
ต่อมาอีกนานจนตั๋งโต๊ะตายไปแล้ว เล่าปี่ช่วยโจโฉรบชนะลิโป้ จับตัวมาประหารเสียที่เมืองชีจิ๋ว มีความชอบมาก โจโฉจึงพาไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ และได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายกรมวัง อ้วนเสี้ยวจึงได้ยกทัพไปตีเมืองปักเป๋งของกองซุนจ้าน ซึ่งกองซุนจ้านยกทหารออกรบหลายครั้งก็เสียที และกองซุนจ้านนั้นทำการรบตามใจตนเอง ไม่ฟังคำแนะนำของที่ปรึกษา จูล่งเห็นว่าไม่มีทางจะเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ จึงปลีกตัวออกไปคนเดียว เพื่อตามหาเล่าปี่หวังจะขอพึ่งบารมีต่อไป
กองซุนจ้านก็ให้ปลูกหอคอยสูงยี่สิบวา แล้วกวาดข้าวปลาอาหารมาไว้เป็นเสบียงในเมืองเป็นอันมาก และเกณฑ์ทหารขึ้นรักษาหน้าที่บนเชิงเทินไว้ให้มั่นคง กะจะทำศึกยืดยาวแรมปี อ้วนเสี้ยวก็หันไปตีเมืองเล็กเมืองน้อย ที่ขึ้นอยู่กับเมืองปักเป๋งแตกระส่ำระสายไปหลายตำบล เมื่อเจ้าเมืองเหล่านั้น มีหนังสือมาขอกองทัพไปช่วย กองซุนจ้านก็ว่าพวกหัวเมืองทั้งปวง มิได้เต็มใจรบพุ่งกับข้าศึก ดีแต่จะให้ยกไปช่วยท่าเดียวก็นิ่งเฉยเสีย หัวเมืองรอบนอกจึงพากันอ่อนน้อมยอมเข้ากับอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก อ้วนเสี้ยวก็ยกทัพมาล้อมเมืองปักเป๋งไว้
เมื่อกองซุนจ้านแต่งหนังสือกราบทูลฮ่องเต้ ขอกองทัพมาช่วย อ้วนเสี้ยวก็จับพล นำสารไว้ กองซุนจ้านรอกองทัพหลวงไม่เห็นมา จึงมีหนังสือไปหาเตียวเอี๋ยนพันธมิตรของตน ให้ยกกองทัพมาช่วย ถ้ามาถึงแล้วให้จุดเพลิงขึ้นเป็นสำคัญ ตนจะได้คุมทหารตีกระหนาบออกมาจากเมือง แต่อ้วนเสี้ยวก็จับได้อีก และซ้อนกลโดยส่งทหารเข้าตีเมืองปักเป๋ง แล้วจุดไฟขึ้นห่างค่ายไปประมาณสามสิบเส้น พอกองซุนจ้านยกทหารออกจากเมือง ก็ถูกอ้วนเสี้ยวล้อมกรอบฆ่าฟันทหารตายไปเป็นอันมาก แต่ตัวกองซุนจ้านหนีเข้าเมืองได้
ครั้งสุดท้ายอ้วนเสี้ยวให้ทหารขุดอุโมงค์ ทะลุเข้าไปในเมืองแล้วจุดไฟเผาบ้านเรือนขึ้นทั่วเมือง กองซุนจ้านไม่รู้ว่าข้าศึกเข้าเมืองได้มากน้อยเท่าใด เห็นจวนตัวจึงฆ่าบุตรภรรยาเสีย แล้วเชือดคอตนเองตายตาม อ้วนเสี้ยวจึงยึดเมืองปักเป๋งไว้เป็นของตนได้
เมื่อเล่าปี่ได้ทราบข่าวนี้ ก็เป็นขณะที่รับราชการอยู่ในเมืองหลวง ไม่มีไพร่พลอยู่ในกำมือ จึงไม่สามารถจะช่วยเหลือผู้มีคุณแก่ตนได้ ด้วยประการใด
กองซุนจ้านเจ้าเมืองผู้อาภัพอับโชค ไม่สามารถเลี้ยงดูทหารฝีมือดี ให้อยู่เป็นกำลัง ในการแผ่ขยายอำนาจด้วยกันได้ จึงสิ้นชื่อไปตั้งแต่บ้านเมืองยังไม่เริ่มเป็นสามก๊กเลย.
############