.
กุยแกเป็นชาวอิ่งชวน เอี๋ยงตี๋ (เมืองอวี๋ มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เกิดปลายรัชสมัยตงฮั่น ในวัยเยาว์กุยแกเก็บตัวอยู่บ้าน ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าจะด้าน การเมือง การทหาร และประวัติศาสตร์ จนแตกฉาน จนเมื่ออายุได้ 27 ปี ได้รับราชการกับโจโฉ โดยการแนะนำของซุนฮก โดยเมื่อโจโฉได้ประกาศรับผู้มีความรู้ความสา มารถมาร่วมทำงานก็ได้ ซุนฮก และซุนฮกได้แนะนำตัวเทียหยกให้กับโจโฉ และเทียหยกได้บอกกับซุนฮกว่า " ยังมีหนุ่มอีกคนที่มีสติปัญญาความรู้แตกฉาน คนนั้นอยู่บ้านเดียวกับท่าน แซ่กุย ชื่อแก ชื่อรอง เฟิ่งเซี่ยว ไฉนท่านจึงไม่ไปเชิญตัวมาเล่า! ? "
ซุนฮกจึงได้เสนอต่อโจโฉ และได้เชิญกุยแกมา (แต่ในประวัติศาสตร์จริงๆกุยแกได้ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวก่อนและเมื่ออยู่ไปได้ไม่นานก็เริ่มไม่ชอบใจอ้วนเสี้ยว เพราะ อ้วนเสี้ยวนั้นต้องการผู้มีความรู้จริง แต่กลับใช้ไม่เป็นดั่งวานรได้แก้ว จึงได้ปลีกตัวออกมาเงียบๆ และได้รับการเชิญจากซุนฮก จนได้พบกับโจโฉ และสนทนากัน ถูกใจจึงรับราชการด้วยโจโฉ) เมื่อโจโฉได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นต่างๆกับกุยแกก็ เริ่มรู้สึกถูกใจจนถึงกับบอกว่า "
การใหญ่ของข้าจะสำเร็จก็เพราะด้วย กุยแก นี้แหละ !! "
และหลังจากสนทนากับโจโฉแล้ว กุยแกก็ถึงกับอดมิได้ที่จะชมโจโฉจนกล่าวว่า "
ท่านโจโฉนี้แหละที่จะเป็นนายข้าที่จะฝากความหวังไว้กับตัวท่าน!! " ซึ่งทั้งสองต่างชื่นชมกัน และกัน หลังจากนั้น โจโฉได้แต่งตั้งให้กุยแกเป็นเสนาธิการทหาร ในเดือน 10 เจี้ยนอันศก ปีที่ 1 ตรงกับ ค.ศ. 196 และหลังจากนั้น โจโฉก็ได้แต่ตั้งกุยแก เป็นกุนซือ
กุยแกผู้นี้เป็นผู้วิเคราะห์ เหตุชนะ 10 ประการของโจโฉ และ เหตุปราชัย 10 ประการของอ้วนเสี้ยว เพื่อสนับสนุนให้โขโฉกล้าประกาศสงครามกับอ้วนเสี้ยวอย่างเต็มตัว เพราะรู้ ในนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูงของโจโฉ ที่กระทำการใหญ่ร่วมกับอ้วนเสียวล้มล้างอำนาจของ ตั้งโต๊ะ มิใช่เป็นการกระทำเพื่อแผ่นดินแต่เป็นการกระทำเพื่อตนเองต่างหาก เพียงแต่เมื่อล้มล้าง ตั้งโต๊ะ ได้แล้วโจโฉยังไม่กล้าพอเพราะ อ้วนเสี้ยวก็รับเอาไพร่พลของตั๋งโต๊ะที่ปราชัยแล้วมาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก
กุยแกผู้นี้เห็นโอกาสสุกงอม อีกทั้งเห็นแววการปรากฏตัวของขุนพลผู้กล้า ผู้มีความสามารถช่วงชิงแผ่นดินไม่น้อยกว่า โจโฉ นายของตนอีกถึง 2 คน นั้นก็คือ ซุนเเกี๋ยน(พ่อของซุนกวน) ผู้กุมทัพร้อยหมื่อยู่ทางใต้ และเล่าปี่ ที่เข้าร่วมทัพพันธมิตรเพื่อล้มล้างตั๋งโต๊ะด้วย จึงได้ร่างหนังสือใช้ตัวอักษรเข้าครอบงำทำให้โจโฉเชื่อว่า ตัวเองสามารถเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ โดยยกเอา 10 เหตุผลที่โจโฉจะชนะ และ 10 เหตุผลที่อ้วนเสี้ยวต้องผ่ายแพ้ มาโยกคลอนจิตใจ กระตุ้นความอยากในจิตใจของโจโฉที่อยากเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ให้ล้นทะลักออกมา ผลักดันให้นายตัวเองออกเดินนำหน้า เล่าปี่ที่ยังไม่มีกองกำลังของตัวเอง และซุนเซ็กผู้ยังคุมกำลังอยู่เงียบในพื้นที่ที่ห่างไกล
10 เหตุผลที่ว่า มีดังนี้
1. ตัวท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทหาร ในขณะที่อ้วนเสี้ยววางตัวเป็นเจ้ากับข้า นี่เป็นเหตุทั่วไปหนึ่ง
2.การกระทำของอ้วนเสี้ยวเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ส่วนท่านทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ นี่เป็นเหตุทางความชอบธรรมหนึ่ง
3.อ้วนเสี้ยวบริหารราชการด้วยความหย่อนยานหละหลวม แต่ท่านเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นเหตุทางด้านบริหารหนึ่ง
4.อ้วนเสี้ยวดูภายนอกโอบอ้อมอารี แต่ภายในแรงด้วยฤทธิ์อิจฉาริษยา ใช้คนได้ก็แต่หมู่ญาติ ส่วนท่านโอบอ้อมอารีทั้งภายนอกและภายใน ใช้คนได้ทั้งผู้มีสติปัญญาความสามารถและฝีมือกล้าแข็ง นี่เป็นเหตุแห่งอัธยาศัยหนึ่ง
5.อ้วนเสี้ยวมีน้ำใจโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ท่านน้ำใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว นี่เป็นเหตุทางจิตใจของแม่ทัพหนึ่ง
6.อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญา ไม่สามารถคิดอ่านอุบายและกลศึกได้ ตัวท่านมีสติปัญญา เชี่ยวชาญทางกลศึกและพิชัยสงคราม นี่เป็นเหตุแห่งสติปัญญาหนึ่ง
7.อ้วนเสี้ยวเป็นนักสร้างภาพและชื่อเสียงจอมปลอม ส่วนตัวท่านคิดทำและพูดบนพื้นฐานความจริงและความยุติธรรมเป็นหลัก นี่เป็นเหตุแห่งสัจจะหนึ่ง
8.อ้วนเสี้ยวรักคนใกล้มากกว่าคนไกล ส่วนท่านเอื้ออาทรต่อคนใกล้และคนไกลเสมอกัน นี่เป็นเหตุแห่งความยุติธรรมหนึ่ง
9.อ้วนเสี้ยวเป็นคนหูเบาและหลงงมงายทำให้กองทัพปั่นป่วน ส่วนท่านมีสติปัญญาแจ่มใส หนักแน่น นี่เป็นเหตุแห่งความเชื่อมั่นหนึ่ง การทำงานของอ้วนเสี้ยวสับสนผิดถูกไม่กระจ่าง ส่วนท่านผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มีกฎระเบียบวินัยเข้มงวดชัดเจน นี่เป็นเหตุแห่งนิติธรรมหนึ่ง
10.อ้วนเสี้ยวใช้คนโดยไม่รู้จักคน ส่วนท่านใช้คนตามความสามารถ นี่คือเหตุแห่งการปกครองและใช้คนอีกหนึ่ง ทั้งสิบประการนี้คือเหตุที่ทำให้ท่านได้รับชัยชนะและอ้วนเสี้ยวต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย
ซึ่งแน่นอนหากมิใช่คนหูหนวกตาบอด ย่อมรู้ว่า เหตุผลทั้ง 10 ข้อนั้น โจโฉไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพียงแต่กุนแกใช้คำลวงประดิษฐ์คำให้ดูดีสร้างความชอบธรรมที่โจโฉจะทำตามข้อเสนอของตน
แย่งชิงแผ่นดินโดยอ้างความชอบธรรม ให้โจโฉคิดเอาเองว่าบุคลิกของตนเองเป็นดั่งที่กุยแกแต่งขึ้นในอักษรที่มีแต่เรื่องโกหกเหล่านี้
แน่นอนว่าวาทะกรรมครั้งนี้ สำเร็จผลตามที่กุยแกมุ่งหวัง โจโฉทำตามเพราะเห็นว่า คำกล่าวของกุยแกนี้นับว่าฟังดีแท้ และหลังจากนี้โจโฉก็กรีฑาทัพขึ้นเหนือ เพื่อรบกับอ้วนเสี้ยว ในเวลาต่อมา กลายเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่อีกศึกในประวัติศาสตร์สามก๊ก เรียกว่า ยุทธการกัวต๋อ
หลังจากที่เกิดศึกใหญ่ ยุทธการกัวต๋อ โจโฉชนะอ้วนเสี้ยวที่มีกำลัง 7 สิบหมื่นโดยที่ กำลังโจโฉเองมีเพียง 7 หมื่น จนในที่สุด อ้วนเสี้ยวก็ตรอมใจตาย มีขุนนางหลายคนเสนอให้โจโฉตามไปตีล้างโคตร เหยี่ยบถิ่นอ้วนเสี้ยวให้ราบ แต่กุยแกกลับเสนอความเห็นอีกอย่าง ตรงข้ามว่า "อันอ้วนเสี้ยนนั้นมีบุตรสองคนคือ อ้วนซง และ อ้วนถำ สองคนนี้ไม่ถูกกันและอ้วนเสี้ยวก็ไมได้สั่งเสียไว้ให้ใครรับช่วงต่อ ทั้งคู่ต่างมี ที่ปรึกษาชั้นยอด คุมเชิงกันอยู่ เตรียมจะรบกัน ถ้าเราบุกไปทั้งสอง ก็จะจนตรอกและจะร่วมมือกันต่อต้านเรา ถ้าหากเราไม่ติดตามไปทั่งคู่ จะรบพุ่งกันเอง ทางที่ดีให้เรายกทัพลงใต้ เพื่อหลอกให้ ทั้งสองนั้นคิดว่าเราจะบุกไปตีเล่าเปียว ก็จะเกิดศึกสายเลือดกันเอง เมื่อนั้นเอง เราจะถือโอกาสบุกมัน ขณะเหนื่อยล้า เราก็จะชนะโดยง่าย!!" โจโฉจึงเห็นด้วย และใช้กลยุทธนี้ เหตุการณ์เป็นไปตามที่กุยแกคาดเอาไว้ โจโฉจึงยึดได้พื้นที่ของอ้วนเสี้ยวมากมาย จากนั้น อ้วนซง จึงหนีขึ้นเหนือไปขอพึ่งเผ่าอูหวนซึ่งเป็นชนเผ่า อยู่นอกด่านกำแพงเมืองจีน
ที่ปรึกษาหลายคนก็ทัดทานไว้ว่าไม่ควรตามไปตีเพราะ เกรงว่าเมื่อยกทัพพ้นเขตแดนกำแพงไป ฝ่ายเล่าเปียวที่มีเล่าปี่ไปอยู่ด้วยจะถือโอกาส บุกมาฮูโต๋ แต่คราวนี้กุยแกกลับเสนอให้ใช้กำลังตามอ้วนซงไป โดยให้ความเห็นว่า "สถานการณ์ครั้งนี้ ผิดกับครั้งก่อน พวกชาวอูหวนถือว่า อยู่ในชัยภูมิทีได้เปรียบนอกด่าน คงไม่คิดว่าพวกเราจะกล้ายกกำลังตามไปจู่โจม จึงมีความประมานไม่ทันระวังตัวเท่าที่ควน เราต้องรีบ ยกกำลังไปอย่างรวดเร็วและเผด็จศึกอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้เพราะอ้วนเสี้ยวเคยมีบุญคุณกับเผ่าอูหวน พวกอูหวนต้องกตัญญูด้วยการปกป้องอ้วนซงเป็นแน่ ถ้าเราปล่อยอ้วนซงไปนานๆ อ้วนซงอาจฟื้นกำลังแล้วยกทัพกลับลงมาสู้กับเราอีก เราควรรีบยกทัพไปถอนรากถอนโคน ให้สิ้นซาก ส่วนเรื่องเล่าเปียวนั้น ข้อนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะข้าพเจ้าพิจารณานิสัยใจคอลองเล่าเปียวแล้วมีความระแวงไม่วางใจเล่าปี่อยู่มาก คงไม่กล้ามอบกำลังให้เล่าปีลอบมาตีเมืองเราได้แน่" โจโฉเห็นด้วยกับความคิดกุยแก จึงสั่งเคลื่อนทัพไปบุกพวกอูหวนทันที เมื่อถึงชายแดน
กุยแกก็เสนอแผนการทำศึกว่า "การทำศึกครั้งนี้ต้องใช้แผนการที่รวดเร็ว จะมัวใช้ทัพเดินทางไปแบบนี้มิได้เพราะข้าศึกจะรู้ตัวเสียก่อน ขอให้จัดทัพน้อยเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ใช้อาวุธเบาเดินทางไปิย่างเงียบกริบด้วยกำลังไม่มากนักก็จะเอาชนะได้ง่ายๆ อย่างไม่เปลืองกำลัง" โจโฉก็ตกลงทำตามที่กุยแกว่า จากนั้นก็สามารถปราบเผ่าฮวน อูหวนลงได้ แต่ อ้วนซงหนีไปได้ พร้อมกับน้องชายอีกคนชื่ออ้วนฮี หนีเตลิดไปอยู่ ถึงแดนเหลียวตง นี้เป็นชัยชนะอีกชัยชนะที่เป็นการเสริมสร้างรากฐานของโจโฉ แต่การมาทำศึกปราบอูหวนครึ้งนี้กุยแกก็ล้มป่วยระหว่างเดินทาง ด้วยแพ้ดินฟ้าอากาศ จนต้องกลับมารักษาตัวที่เมืองฮูโต๋ ครั้นโจโฉเสร็จศึกกลับมา กุยแกก็จากไปแล้ว ด้วยวัยเพียง 38 ปี ใน เจียนอันศกปีที่ 12 ตรงกับค.ศ. 207 การจากไปของกุยแกนี้ โจโฉถึงกับคร่ำครวญ อาลัยอาวรยิ่งนัก แต่ก่อนการจากไปของเขายังสร้างผลงานที่ทำให้ทุกคนถึงกับ ยอมรับในตัวกุยแกว่าเป็นยอดกุนซือของโจโฉเลยที่เดียว โดยได้เขียนจดหมายฝากเด็กรับใช้ให้โจโฉเมื่อโจโฉเสร็จศึกกลับมา โดยเมื่อโจโฉ
อยู่ ณ เมืองอิจิ๋ว เตียวเลี้ยวก็กล่าวต่อโจโฉว่า"หากมิบุกไปเหลียวตงก็มิควรถอนทัพกลับ เพราะเกรงว่าเล่าเปียวจะบุก" โจโฉก็กล่าวว่า "ถ้าเราได้ ศีรษะ 2 พี่น้องนั้นเมื่อไหร่ ก็จะยกทัพกลับทันที" ขุนนางแถวนั้นก็ยังงงๆ กันอยู่ และเพียงชั่วครู่ กงซุนของเจ้าเมืองเหลียวตงได้ส่งคนนำศีรษะ
อ้วนซง อ้วนฮี มาให้ ทุกคนในบริเวณนั้นถึงกับตะลึง โจโฉจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า "
ไม่ผิดไปจากที่กุยแกคาดไว้จริงๆ!!! " ขุนนางทั้งหลายจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงว่า มิผิดคำกุยแก โจโฉจึงยื่นข้อความในจดหมายที่กุยแกฝากไว้ก่อนตาย ให้ดู ซึ่งเขียนไว้ว่า "
เวลานี้ได้ข่าวอ้วนซงอ้วนฮี หนีไปเหลียวตง ท่านมิควรยกทัพติดตามไปเป็นอันขาด กองซุนของหวั่นเกรงตระกูลอ้วนจะยึดแย่งมานานแล้ว เมื่อทั้ง 2 พี่น้องไปอาศัยที่นั้น ก็ต้องหวั่นเกรงเป็นธรรมดา และมันทั้งสองต้องตายที่นั้น ฉะนั้นยกทักไปก้เสียแรงเปล่า “
กุยแกผู้นี้มีความสามารถโน้มน้าวใจคนโดยใช้ตัวอักษรจริงๆ เพราะขนาดโจโฉที่เชื่อมั่นแต่ตัวเองยังต้องเชื่อในตัวอักษรของเขาถึงสองครั้งในการทำการใหญ่
จึงไม่แปลกอะไรถ้าคนในสมัยนี้จะพยายามประดิษฐ์คำมาสร้างว่ะกรรม สร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายตนเองอย่างเช่นที่กุยแกเคยกระทำ
เช่นเคยนะครับ อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหนก็เรียบเรียงออกมาตามความเข้าใจของผม โดยใช้ภาษาของผมเอง
ขอบคุณครับ
ป.ล.มีเสียวเล็กๆที่เมื่อเช้าตั้งกะทู้แล้วโดนอุ้มหายไป สงสัยผมจะเขียนอย่างอื่นไม่ได้แล้วในที่นี้ นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์
*แก้ไขคำผิด
(บทความ) กุยแก ยอดนักประดิษฐ์ วาทะกรรม ผู้ครอบงำด้วยตัวอักษรเพื่อแย่งชิงแผ่นดิน
กุยแกเป็นชาวอิ่งชวน เอี๋ยงตี๋ (เมืองอวี๋ มณฑลเหอหนานในปัจจุบัน) เกิดปลายรัชสมัยตงฮั่น ในวัยเยาว์กุยแกเก็บตัวอยู่บ้าน ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาหาความรู้ ไม่ว่าจะด้าน การเมือง การทหาร และประวัติศาสตร์ จนแตกฉาน จนเมื่ออายุได้ 27 ปี ได้รับราชการกับโจโฉ โดยการแนะนำของซุนฮก โดยเมื่อโจโฉได้ประกาศรับผู้มีความรู้ความสา มารถมาร่วมทำงานก็ได้ ซุนฮก และซุนฮกได้แนะนำตัวเทียหยกให้กับโจโฉ และเทียหยกได้บอกกับซุนฮกว่า " ยังมีหนุ่มอีกคนที่มีสติปัญญาความรู้แตกฉาน คนนั้นอยู่บ้านเดียวกับท่าน แซ่กุย ชื่อแก ชื่อรอง เฟิ่งเซี่ยว ไฉนท่านจึงไม่ไปเชิญตัวมาเล่า! ? "
ซุนฮกจึงได้เสนอต่อโจโฉ และได้เชิญกุยแกมา (แต่ในประวัติศาสตร์จริงๆกุยแกได้ไปอยู่กับอ้วนเสี้ยวก่อนและเมื่ออยู่ไปได้ไม่นานก็เริ่มไม่ชอบใจอ้วนเสี้ยว เพราะ อ้วนเสี้ยวนั้นต้องการผู้มีความรู้จริง แต่กลับใช้ไม่เป็นดั่งวานรได้แก้ว จึงได้ปลีกตัวออกมาเงียบๆ และได้รับการเชิญจากซุนฮก จนได้พบกับโจโฉ และสนทนากัน ถูกใจจึงรับราชการด้วยโจโฉ) เมื่อโจโฉได้สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็นต่างๆกับกุยแกก็ เริ่มรู้สึกถูกใจจนถึงกับบอกว่า " การใหญ่ของข้าจะสำเร็จก็เพราะด้วย กุยแก นี้แหละ !! "
และหลังจากสนทนากับโจโฉแล้ว กุยแกก็ถึงกับอดมิได้ที่จะชมโจโฉจนกล่าวว่า " ท่านโจโฉนี้แหละที่จะเป็นนายข้าที่จะฝากความหวังไว้กับตัวท่าน!! " ซึ่งทั้งสองต่างชื่นชมกัน และกัน หลังจากนั้น โจโฉได้แต่งตั้งให้กุยแกเป็นเสนาธิการทหาร ในเดือน 10 เจี้ยนอันศก ปีที่ 1 ตรงกับ ค.ศ. 196 และหลังจากนั้น โจโฉก็ได้แต่ตั้งกุยแก เป็นกุนซือ
กุยแกผู้นี้เป็นผู้วิเคราะห์ เหตุชนะ 10 ประการของโจโฉ และ เหตุปราชัย 10 ประการของอ้วนเสี้ยว เพื่อสนับสนุนให้โขโฉกล้าประกาศสงครามกับอ้วนเสี้ยวอย่างเต็มตัว เพราะรู้ ในนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูงของโจโฉ ที่กระทำการใหญ่ร่วมกับอ้วนเสียวล้มล้างอำนาจของ ตั้งโต๊ะ มิใช่เป็นการกระทำเพื่อแผ่นดินแต่เป็นการกระทำเพื่อตนเองต่างหาก เพียงแต่เมื่อล้มล้าง ตั้งโต๊ะ ได้แล้วโจโฉยังไม่กล้าพอเพราะ อ้วนเสี้ยวก็รับเอาไพร่พลของตั๋งโต๊ะที่ปราชัยแล้วมาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก
กุยแกผู้นี้เห็นโอกาสสุกงอม อีกทั้งเห็นแววการปรากฏตัวของขุนพลผู้กล้า ผู้มีความสามารถช่วงชิงแผ่นดินไม่น้อยกว่า โจโฉ นายของตนอีกถึง 2 คน นั้นก็คือ ซุนเเกี๋ยน(พ่อของซุนกวน) ผู้กุมทัพร้อยหมื่อยู่ทางใต้ และเล่าปี่ ที่เข้าร่วมทัพพันธมิตรเพื่อล้มล้างตั๋งโต๊ะด้วย จึงได้ร่างหนังสือใช้ตัวอักษรเข้าครอบงำทำให้โจโฉเชื่อว่า ตัวเองสามารถเอาชนะอ้วนเสี้ยวได้ โดยยกเอา 10 เหตุผลที่โจโฉจะชนะ และ 10 เหตุผลที่อ้วนเสี้ยวต้องผ่ายแพ้ มาโยกคลอนจิตใจ กระตุ้นความอยากในจิตใจของโจโฉที่อยากเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ให้ล้นทะลักออกมา ผลักดันให้นายตัวเองออกเดินนำหน้า เล่าปี่ที่ยังไม่มีกองกำลังของตัวเอง และซุนเซ็กผู้ยังคุมกำลังอยู่เงียบในพื้นที่ที่ห่างไกล
10 เหตุผลที่ว่า มีดังนี้
1. ตัวท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทหาร ในขณะที่อ้วนเสี้ยววางตัวเป็นเจ้ากับข้า นี่เป็นเหตุทั่วไปหนึ่ง
2.การกระทำของอ้วนเสี้ยวเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ส่วนท่านทำตามรับสั่งของฮ่องเต้ นี่เป็นเหตุทางความชอบธรรมหนึ่ง
3.อ้วนเสี้ยวบริหารราชการด้วยความหย่อนยานหละหลวม แต่ท่านเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นเหตุทางด้านบริหารหนึ่ง
4.อ้วนเสี้ยวดูภายนอกโอบอ้อมอารี แต่ภายในแรงด้วยฤทธิ์อิจฉาริษยา ใช้คนได้ก็แต่หมู่ญาติ ส่วนท่านโอบอ้อมอารีทั้งภายนอกและภายใน ใช้คนได้ทั้งผู้มีสติปัญญาความสามารถและฝีมือกล้าแข็ง นี่เป็นเหตุแห่งอัธยาศัยหนึ่ง
5.อ้วนเสี้ยวมีน้ำใจโลเล ตัดสินใจไม่เด็ดขาด แต่ท่านน้ำใจมั่นคง เด็ดเดี่ยว นี่เป็นเหตุทางจิตใจของแม่ทัพหนึ่ง
6.อ้วนเสี้ยวไร้สติปัญญา ไม่สามารถคิดอ่านอุบายและกลศึกได้ ตัวท่านมีสติปัญญา เชี่ยวชาญทางกลศึกและพิชัยสงคราม นี่เป็นเหตุแห่งสติปัญญาหนึ่ง
7.อ้วนเสี้ยวเป็นนักสร้างภาพและชื่อเสียงจอมปลอม ส่วนตัวท่านคิดทำและพูดบนพื้นฐานความจริงและความยุติธรรมเป็นหลัก นี่เป็นเหตุแห่งสัจจะหนึ่ง
8.อ้วนเสี้ยวรักคนใกล้มากกว่าคนไกล ส่วนท่านเอื้ออาทรต่อคนใกล้และคนไกลเสมอกัน นี่เป็นเหตุแห่งความยุติธรรมหนึ่ง
9.อ้วนเสี้ยวเป็นคนหูเบาและหลงงมงายทำให้กองทัพปั่นป่วน ส่วนท่านมีสติปัญญาแจ่มใส หนักแน่น นี่เป็นเหตุแห่งความเชื่อมั่นหนึ่ง การทำงานของอ้วนเสี้ยวสับสนผิดถูกไม่กระจ่าง ส่วนท่านผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก มีกฎระเบียบวินัยเข้มงวดชัดเจน นี่เป็นเหตุแห่งนิติธรรมหนึ่ง
10.อ้วนเสี้ยวใช้คนโดยไม่รู้จักคน ส่วนท่านใช้คนตามความสามารถ นี่คือเหตุแห่งการปกครองและใช้คนอีกหนึ่ง ทั้งสิบประการนี้คือเหตุที่ทำให้ท่านได้รับชัยชนะและอ้วนเสี้ยวต้องตกเป็นฝ่ายปราชัย
ซึ่งแน่นอนหากมิใช่คนหูหนวกตาบอด ย่อมรู้ว่า เหตุผลทั้ง 10 ข้อนั้น โจโฉไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพียงแต่กุนแกใช้คำลวงประดิษฐ์คำให้ดูดีสร้างความชอบธรรมที่โจโฉจะทำตามข้อเสนอของตน แย่งชิงแผ่นดินโดยอ้างความชอบธรรม ให้โจโฉคิดเอาเองว่าบุคลิกของตนเองเป็นดั่งที่กุยแกแต่งขึ้นในอักษรที่มีแต่เรื่องโกหกเหล่านี้
แน่นอนว่าวาทะกรรมครั้งนี้ สำเร็จผลตามที่กุยแกมุ่งหวัง โจโฉทำตามเพราะเห็นว่า คำกล่าวของกุยแกนี้นับว่าฟังดีแท้ และหลังจากนี้โจโฉก็กรีฑาทัพขึ้นเหนือ เพื่อรบกับอ้วนเสี้ยว ในเวลาต่อมา กลายเป็นศึกที่ยิ่งใหญ่อีกศึกในประวัติศาสตร์สามก๊ก เรียกว่า ยุทธการกัวต๋อ
หลังจากที่เกิดศึกใหญ่ ยุทธการกัวต๋อ โจโฉชนะอ้วนเสี้ยวที่มีกำลัง 7 สิบหมื่นโดยที่ กำลังโจโฉเองมีเพียง 7 หมื่น จนในที่สุด อ้วนเสี้ยวก็ตรอมใจตาย มีขุนนางหลายคนเสนอให้โจโฉตามไปตีล้างโคตร เหยี่ยบถิ่นอ้วนเสี้ยวให้ราบ แต่กุยแกกลับเสนอความเห็นอีกอย่าง ตรงข้ามว่า "อันอ้วนเสี้ยนนั้นมีบุตรสองคนคือ อ้วนซง และ อ้วนถำ สองคนนี้ไม่ถูกกันและอ้วนเสี้ยวก็ไมได้สั่งเสียไว้ให้ใครรับช่วงต่อ ทั้งคู่ต่างมี ที่ปรึกษาชั้นยอด คุมเชิงกันอยู่ เตรียมจะรบกัน ถ้าเราบุกไปทั้งสอง ก็จะจนตรอกและจะร่วมมือกันต่อต้านเรา ถ้าหากเราไม่ติดตามไปทั่งคู่ จะรบพุ่งกันเอง ทางที่ดีให้เรายกทัพลงใต้ เพื่อหลอกให้ ทั้งสองนั้นคิดว่าเราจะบุกไปตีเล่าเปียว ก็จะเกิดศึกสายเลือดกันเอง เมื่อนั้นเอง เราจะถือโอกาสบุกมัน ขณะเหนื่อยล้า เราก็จะชนะโดยง่าย!!" โจโฉจึงเห็นด้วย และใช้กลยุทธนี้ เหตุการณ์เป็นไปตามที่กุยแกคาดเอาไว้ โจโฉจึงยึดได้พื้นที่ของอ้วนเสี้ยวมากมาย จากนั้น อ้วนซง จึงหนีขึ้นเหนือไปขอพึ่งเผ่าอูหวนซึ่งเป็นชนเผ่า อยู่นอกด่านกำแพงเมืองจีน
ที่ปรึกษาหลายคนก็ทัดทานไว้ว่าไม่ควรตามไปตีเพราะ เกรงว่าเมื่อยกทัพพ้นเขตแดนกำแพงไป ฝ่ายเล่าเปียวที่มีเล่าปี่ไปอยู่ด้วยจะถือโอกาส บุกมาฮูโต๋ แต่คราวนี้กุยแกกลับเสนอให้ใช้กำลังตามอ้วนซงไป โดยให้ความเห็นว่า "สถานการณ์ครั้งนี้ ผิดกับครั้งก่อน พวกชาวอูหวนถือว่า อยู่ในชัยภูมิทีได้เปรียบนอกด่าน คงไม่คิดว่าพวกเราจะกล้ายกกำลังตามไปจู่โจม จึงมีความประมานไม่ทันระวังตัวเท่าที่ควน เราต้องรีบ ยกกำลังไปอย่างรวดเร็วและเผด็จศึกอย่างเร่งด่วน ทั้งนี้เพราะอ้วนเสี้ยวเคยมีบุญคุณกับเผ่าอูหวน พวกอูหวนต้องกตัญญูด้วยการปกป้องอ้วนซงเป็นแน่ ถ้าเราปล่อยอ้วนซงไปนานๆ อ้วนซงอาจฟื้นกำลังแล้วยกทัพกลับลงมาสู้กับเราอีก เราควรรีบยกทัพไปถอนรากถอนโคน ให้สิ้นซาก ส่วนเรื่องเล่าเปียวนั้น ข้อนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะข้าพเจ้าพิจารณานิสัยใจคอลองเล่าเปียวแล้วมีความระแวงไม่วางใจเล่าปี่อยู่มาก คงไม่กล้ามอบกำลังให้เล่าปีลอบมาตีเมืองเราได้แน่" โจโฉเห็นด้วยกับความคิดกุยแก จึงสั่งเคลื่อนทัพไปบุกพวกอูหวนทันที เมื่อถึงชายแดน
กุยแกก็เสนอแผนการทำศึกว่า "การทำศึกครั้งนี้ต้องใช้แผนการที่รวดเร็ว จะมัวใช้ทัพเดินทางไปแบบนี้มิได้เพราะข้าศึกจะรู้ตัวเสียก่อน ขอให้จัดทัพน้อยเป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ใช้อาวุธเบาเดินทางไปิย่างเงียบกริบด้วยกำลังไม่มากนักก็จะเอาชนะได้ง่ายๆ อย่างไม่เปลืองกำลัง" โจโฉก็ตกลงทำตามที่กุยแกว่า จากนั้นก็สามารถปราบเผ่าฮวน อูหวนลงได้ แต่ อ้วนซงหนีไปได้ พร้อมกับน้องชายอีกคนชื่ออ้วนฮี หนีเตลิดไปอยู่ ถึงแดนเหลียวตง นี้เป็นชัยชนะอีกชัยชนะที่เป็นการเสริมสร้างรากฐานของโจโฉ แต่การมาทำศึกปราบอูหวนครึ้งนี้กุยแกก็ล้มป่วยระหว่างเดินทาง ด้วยแพ้ดินฟ้าอากาศ จนต้องกลับมารักษาตัวที่เมืองฮูโต๋ ครั้นโจโฉเสร็จศึกกลับมา กุยแกก็จากไปแล้ว ด้วยวัยเพียง 38 ปี ใน เจียนอันศกปีที่ 12 ตรงกับค.ศ. 207 การจากไปของกุยแกนี้ โจโฉถึงกับคร่ำครวญ อาลัยอาวรยิ่งนัก แต่ก่อนการจากไปของเขายังสร้างผลงานที่ทำให้ทุกคนถึงกับ ยอมรับในตัวกุยแกว่าเป็นยอดกุนซือของโจโฉเลยที่เดียว โดยได้เขียนจดหมายฝากเด็กรับใช้ให้โจโฉเมื่อโจโฉเสร็จศึกกลับมา โดยเมื่อโจโฉ
อยู่ ณ เมืองอิจิ๋ว เตียวเลี้ยวก็กล่าวต่อโจโฉว่า"หากมิบุกไปเหลียวตงก็มิควรถอนทัพกลับ เพราะเกรงว่าเล่าเปียวจะบุก" โจโฉก็กล่าวว่า "ถ้าเราได้ ศีรษะ 2 พี่น้องนั้นเมื่อไหร่ ก็จะยกทัพกลับทันที" ขุนนางแถวนั้นก็ยังงงๆ กันอยู่ และเพียงชั่วครู่ กงซุนของเจ้าเมืองเหลียวตงได้ส่งคนนำศีรษะ
อ้วนซง อ้วนฮี มาให้ ทุกคนในบริเวณนั้นถึงกับตะลึง โจโฉจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า " ไม่ผิดไปจากที่กุยแกคาดไว้จริงๆ!!! " ขุนนางทั้งหลายจึงถามว่า เหตุใดท่านจึงว่า มิผิดคำกุยแก โจโฉจึงยื่นข้อความในจดหมายที่กุยแกฝากไว้ก่อนตาย ให้ดู ซึ่งเขียนไว้ว่า " เวลานี้ได้ข่าวอ้วนซงอ้วนฮี หนีไปเหลียวตง ท่านมิควรยกทัพติดตามไปเป็นอันขาด กองซุนของหวั่นเกรงตระกูลอ้วนจะยึดแย่งมานานแล้ว เมื่อทั้ง 2 พี่น้องไปอาศัยที่นั้น ก็ต้องหวั่นเกรงเป็นธรรมดา และมันทั้งสองต้องตายที่นั้น ฉะนั้นยกทักไปก้เสียแรงเปล่า “
กุยแกผู้นี้มีความสามารถโน้มน้าวใจคนโดยใช้ตัวอักษรจริงๆ เพราะขนาดโจโฉที่เชื่อมั่นแต่ตัวเองยังต้องเชื่อในตัวอักษรของเขาถึงสองครั้งในการทำการใหญ่
เช่นเคยนะครับ อ่านแล้วไม่จำเป็นต้องเชื่อผม ผมอ่านมาแบบไหนก็เรียบเรียงออกมาตามความเข้าใจของผม โดยใช้ภาษาของผมเอง
ขอบคุณครับ
ป.ล.มีเสียวเล็กๆที่เมื่อเช้าตั้งกะทู้แล้วโดนอุ้มหายไป สงสัยผมจะเขียนอย่างอื่นไม่ได้แล้วในที่นี้ นอกจากเรื่องประวัติศาสตร์
*แก้ไขคำผิด