ผ้เป็นใหญ่ฝ่ายเหนือ (๒) ๑๑ พ.ย.๖๐

สามก๊กฉบับลายคราม

ผู้เป็นใหญ่ฝ่ายเหนือ

ตอนที่ ๒ นายทัพที่ไม่ยอมรบ

เล่าเซี่ยงชุน

หลังจากที่ เล่าปี่ ได้ข่าวว่า อ้วนเสี้ยว รบชนะ กองซุนจ้าน และจะรวมพลกับ อ้วนสุด น้องชาย ก็ออกอุบายขออาสา โจโฉ ยกทหารออกจากเมืองหลวง เพื่อจะไปสกัดอ้วนสุดไม่ให้ติดต่อกับอ้วนเสี้ยวผู้พี่ชายได้ แต่ในใจจริงแล้วก็คิดจะหนีไปให้ ไกลโจโฉ เพราะได้ร่วมมือกับ ตังสิน เพื่อกำจัดโจโฉอยู่ กลัวความแตกตัวจะตายเสีย
เปล่า โจโฉเกิดหลวมตัวยอมมอบทหารห้าหมื่นให้เล่าปี่ไปตามคำขอ แต่พอที่ปรึกษาทักท้วงว่าจะเหมือนปล่อยเสือเข้าป่าหรือปล่อยจรเข้ลงน้ำ โจโฉก็ได้คิดให้ทหารเอกยกตามไป เล่าปี่ก็ไม่หันหลังกลับเสียแล้ว จึงต้องยกทหารตามไปปราบปรามเสีย ก่อนที่จะมีกำลังกล้าแข็งกว่านี้

เล่าปี่ได้ปะทะกับกองทัพของอ้วนสุดตามที่อาสามา และตีกองทัพอ้วนสุดแตกพ่าย จนตัวอ้วนสุดแค้นใจตายไป ครั้นได้ข่าวว่าโจโฉกำลังจะยกทัพมาเล่นงานตนบ้างก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ต้องมีหนังสือไปขอให้อ้วนเสี้ยวช่วย อ้วนเสี้ยวก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองแทนน้องชายที่ตาย กลับคิดว่าควรจะร่วมมือกับเล่าปี่ รบกับโจโฉดีกว่า

เตียนห้อง นายทหารเอกซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้วยให้ความเห็นว่าอ้วนเสี้ยว
นั้น ยกทหารไปทำสงครามอยู่ทุกปี ทหารก็อิดโรยเสบียงก็ร่อยหรอ ขืนยกไปอีกก็คงจะมีความลำบากยากแค้น ควรจะมีหนังสือกราบทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ ให้ห้ามโจโฉไม่ให้ยกทัพไปทำร้ายหัวเมืองอื่น ถ้าโจโฉไม่เชื่อฟัง จึงค่อยยกกองทัพใหญ่ ไปร่วมมือกับกองทัพของหัวเมืองต่าง ๆ เข้าล้อมเมืองหลวง และเกลี้ยกล่อมขุนนางในเมืองให้ร่วมมือด้วย ก็จะสามารถกำจัดโจโฉได้ ภายในสามปี
ฝ่าย สิมโพย ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งแย้งว่า อ้วนเสี้ยวมีนายทหาร
ล้วนแต่ฝีมือดีเป็นอันมาก ถ้าจะคิดกำจัดโจโฉก็ง่ายดาย เหมือนพลิกฝ่ามือคว่ำลง เหตุใดจึงต้องวางแผนให้ยอกย้อนยาวนานถึงเพียงนั้น

จอสิว นายทหารอีกคนหนึ่ง ก็สนับสนุนความคิดของเตียนห้องว่า การสงครามนั้น มิได้แพ้ชนะกันด้วยทหารมากหรือน้อย โจโฉมีความคิดชำนาญการสงครามลึกซึ้งยิ่งนัก คงจะไม่สามารถเอาชนะได้ง่าย ๆ เหมือนอย่างชนะกองซุนจ้านหรอก

กัวเต๋า ที่ปรึกษาอีกคนหนึ่งกลับสนับสนุนสิมโพยว่า ควรจะรีบร่วมมือกับ
เล่าปี่ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ กำจัดโจโฉเสียโดยเร็ว พระมหากษัตริย์กับขุนนางและราษฎร
จะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันเสียที

อ้วนเสี้ยวเห็นว่าสี่คนแบ่งออกเป็นสองฝ่ายไม่ลงเอยกัน ก็ชักลังเลใจ พอดี เขาฮิว กับ ซุนขาม นายทหารเอกเข้ามาในที่ประชุม อ้วนเสี้ยวจึงขอให้ทั้งสองนั้น
เข้าร่วมพิจารณาด้วย เขาฮิวกับซุนขามเกิดมีความเห็นตรงกันว่า ควรจะไปช่วยเล่าปี่
อ้วนเสี้ยวเห็นว่าตรงกับความคิดของตน ก็เลยตกลงใจแต่งหนังสือให้ผู้ติดต่อของเล่าปี่นำข้อตกลงร่วมรบไปแจ้งให้นายทราบ และให้ยกทัพมารวมกัน

แล้วอ้วนเสี้ยวก็จัดแจงแต่งกองทัพให้ งันเหลียง กับ บุนทิว ทหารเอก เป็นทัพหน้า สิมโพย กับ ฮองกี๋ เป็นปลัดทัพ อ้วนเสี้ยวคุมทัพหลวงมีทหารม้าสิบห้าหมื่นกับทหารเดินเท้าสิบห้าหมื่น ให้เตียนห้อง เขาฮิว ซุนขาม เป็นที่ปรึกษา รอคอยฤกษ์ดีที่จะ
ยาตราทัพไป ก่อนจะไปก็มีผู้แนะนำว่า ควรประกาศแจ้งแก่หัวเมืองต่าง ๆ อย่าให้เข้า
ร่วมมือกับโจโฉ โดยแต่งหนังสือเวียนส่งไปให้หัวเมืองทั้งสิบแปดหัวเมือง

อ้วนเสี้ยวจึงให้ ตันหลิม ซึ่งเคยเป็นอาลักษณ์เก่า ของ พระเจ้าฮั่นเต้
ปู่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้ และได้หนี ตั๋งโต๊ะ มาอยู่ด้วย เป็นผู้ร่างหนังสือให้มีข้อความตาม
ประวัติศาสตร์ ยืดยาวถึงสามแผ่นดินว่า

บ้านเมืองจะเดือดร้อนเป็นอันตรายได้ต่าง ๆ นั้น มาจากสาเหตุหลายประการ เช่น

พระมหากษัตริย์อ่อนแอขุนนางทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจของผู้หยาบช้า ดังเมื่อครั้ง พระเจ้าจิ๋นซีอ๋อง เสวยราชสมบัติตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ เตียวโก๋ ขุนนางผู้ใหญ่คิดจะชิงราชสมบัติ จึงทดลองใจขุนนางทั้งปวง โดยเอากวางเข้ามาในที่ประชุมสองตัวแล้ว
บอกว่าได้ม้ามาสองตัว ขุนนางสอพลอก็พลอยว่าม้าถึงเจ็ดส่วน แต่ขุนนางผู้ซื่อสัตย์ยืนยันว่ากวางมีเพียงสามส่วน เตียวโก๋จึงกำเริบทำการหยาบช้าต่าง ๆ จนมีผู้คบคิดกันจับฆ่าได้สำเร็จ ความชั่วของเตียวโก๋จึงได้จารึกอยู่จนทุกวันนี้

หรืออย่างเมื่อครั้ง พระเจ้าฮั่นโกโจ เชื่อคำสตรีคือ นางลิเฮา ผู้เป็นมเหสีทูลสิ่งใดก็เชื่อฟังทุกประการ ถึงกับแต่งตั้งน้องชายสองคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ซ้ายขวา
จนมีอำนาจมากก็ข่มเหงราษฎรให้ได้รับความเดือดร้อนทั้งแผ่นดิน ผู้ใดมาร้องทุกข์ก็จะถูกนางลิเฮาขัดขวาง จนพระเจ้าฮั่นโกโจสวรรคต ทั้งสองคนก็ตั้งตัวเป็นเจ้า เสวยราช สมบัติต่อ ขุนนางอื่นทนไม่ได้จึงชักชวนกันจับตัวสองพี่น้อง และสมัครพรรคพวกฆ่าเสียสิ้นแล้วก็ยก อันบุนเต้ พระราชบุตรขึ้นเสวยราชย์แทน

อีกครั้งหนึ่งเมื่อ พระเจ้าฮั่นเต้ ปู่ของพระเจ้าเหี้ยนเต้นี้เอง เชื่อถือคนพาลคือขันทีทั้งปวง และ โจเท้ง ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งเป็นปู่ของโจโฉ ก็เข้าเป็นพวกของ
ขันทีเหล่านั้นด้วย ร่วมกันทำการหยาบช้าต่าง ๆ ธรรมเนียมทั้งหลายก็ฟั่นเฟือนแปร ปรวนไป จนมาถึงบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้เสวยราชสมบัติ ก็มีโจโฉเป็นผู้ว่าราชการ ที่คอยทำให้เดือดร้อนพระทัยมาหลายครั้ง เพราะโจโฉมีทหารมากมีคนเกรงกลัว จึงคิดกำเริบจะทำอันตรายต่อราชสมบัติ จึงขอให้เจ้าเมืองทั้งสิบแปดหัวเมือง ร่วมมือกับอ้วนเสี้ยวกำจัดโจโฉ แทนคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ต่อไป
อ้วนเสี้ยวก็ให้เอาประกาศนี้ ไปปิดไว้จนทั่วทุกหัวเมือง พอได้
ฤกษ์ดีก็ยกทัพสามสิบหมื่น ไปตั้งค่ายที่ตำบลตันลิมหยงปลายแดนเมืองฮูโต๋ ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่โจโฉยึดครองอยู่

โจหอง ญาติผู้น้องของโจโฉ ก็เอาหนังสือที่อ้วนเสี้ยวประกาศ ไปให้โจโฉดูขณะที่ยังป่วยอยู่ โจโฉอ่านแล้วก็เหงื่อแตกทุกเส้นขนด้วยความโกรธแค้นเพราะถูกด่าย้อนหลังไปถึงปู่ ถามหาตัวคนเขียนแล้วก็ปรารภว่า เสียดายตันหลิมเป็นคนมีปัญญามาเข้าพวกอ้วนเสี้ยว เห็นจะไม่มีทางเจริญแน่ ว่าแล้วก็ลุกขึ้นไปประชุมกับที่ปรึกษาทั้งหลาย เพื่อคิดการสงครามกับอ้วนเสี้ยวต่อไป

ขงหยง ให้ข้อคิดว่ากองทัพของอ้วนเสี้ยวครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก มีที่ปรึกษาชั้นดีสี่คน มีทหารเอกถึงเจ็ดคน มีเมืองขึ้นมากมาย เสบียงอาหารก็บริบูรณ์ ทหารเลวก็มีเป็นจำนวนมาก เห็นท่าจะสู้ไม่ไหว ควรเจรจาด้วยไมตรี ให้เลิกทัพกลับไปจะดีกว่า

ซุนฮก แย้งว่าลิ่วล้อของอ้วนเสี้ยวนั้น ถึงจะมีฝีมือแต่ก็นิสัยไม่ค่อยดีเช่น
เตียนห้องก็เป็นคนหยาบช้าดื้อดึง เขาฮิวนั้นมีปัญญาแต่เป็นคนโลภ สิมโพยนั้นเป็นคนอวดรู้ใครพูดถูกก็ว่าผิด ฮองกี๋นั้นดีแต่โวหารเอางานไม่ได้ ที่ปรึกษาก็ไม่ค่อยจะลงรอยกันเอง ทหารเอกก็มีแต่ฝีมือไม่รู้จักทีได้ทีเสีย ทหารเลวถึงจะมีมาก ก็เพียงแต่พลอยแพ้หรือชนะด้วยเท่านั้น

โจโฉชอบใจ ชมเชยว่าซุนฮกคิดถูก จึงให้ทหารเอกสองนาย คุมทหารห้าหมื่นไปสกัดทัพเล่าปี่ที่เมืองชีจิ๋วไว้ แล้วโจโฉก็ยกพลยี่สิบหมื่นไปตั้งค่ายที่ตำบล กัวต๋อให้ห่างจากค่ายอ้วนเสี้ยวประมาณแปดร้อยเส้น

ข้างอ้วนเสี้ยวรู้ว่าโจโฉยกมาประจันหน้าแล้ว ก็ปรึกษากับลิ่วล้อชั้นดีว่า
จะทำอย่างไร ก็ไม่เป็นที่ตกลง เพราะเขาฮิวน้อยใจว่าสิมโพยได้เป็นปลัดทัพใหญ่กว่าตน จอสิวก็น้อยใจอ้วนเสี้ยวว่าให้ความคิดเห็นอะไรก็ไม่เอาด้วยสักอย่าง กองทัพอันใหญ่โตของทั้งสองฝ่าย จึงตั้งรอกันอยู่ถึงสองเดือนโดยไม่ได้รบกันเลย โจโฉเห็นอ้วนเสี้ยวไม่ออกรบ เกรงว่าจะแบ่งทหารแอบไปตีเมืองฮูโต๋ จึงให้ โจหยิน คุมพลประจันหน้าข้าศึกต่อไป ส่วนตนเองกลับไปดูแลเมืองฮูโต๋ พอถึงเดือนสิบสองเข้าหน้าหนาวอ้วนเสี้ยวก็เลยยกทัพกลับเมืองกิจิ๋วบ้าง เป็นอันว่าคราวนี้เพียงแต่แสดงแสนยานุภาพอวดกันเท่านั้น

ต่อมาเมื่อโจโฉจับ ตังสิน และพรรคพวกซึ่งคิดจะทำการโค่นล้มได้และประหารชีวิตหมดแล้ว จึงรู้ว่าเล่าปี่ร่วมคิดด้วย แต่หาหนทางเอาตัวรอดหนีไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองชีจิ๋วแล้ว จึงยกทัพจะไปปราบปรามให้สิ้นเสี้ยนหนาม ก่อนที่จะมีปีกกล้าขาแข็งกว่านี้

เล่าปี่เมื่อรู้ข่าวก็ใช้ให้ ซุนเขียน ถือหนังสือไปขอให้อ้วนเสี้ยวช่วยตามเคยซุนเขียนก็รับหนังสือไปถึงเมืองกิจิ๋ว แล้วก็แวะไปหาเตียนห้องที่ปรึกษา ให้ช่วยพาไปหาอ้วนเสี้ยว พออ้วนเสี้ยวอ่านหนังสือรู้เรื่องแล้วก็ทำเป็นทุกข์โศกเสียเต็มที เตียนห้องก็ถามว่า ท่านไม่สบายมีวิตกกังวลอะไรหนักหนาหรือ อ้วนเสี้ยวจึงว่าเรานี้ใกล้จะตายอยู่แล้ว ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่ง วิตกอยู่แต่บุตรทั้งหลายไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เจ้าคนสุดท้องนั้นก็พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง แต่อายุยังน้อยนักและกำลังป่วยอยู่ด้วยก็เลยคิดอ่านอะไรไม่ออก

เตียนห้องก็สงสัยเป็นกำลัง จึงว่า

".....คนทั้งปวงก็ลือชาปรากฎว่าท่านเป็นใหญ่อยู่หัวเมืองฝ่ายเหนือ เหตุใดท่านมาคิดย่อท้อจะมาตีตนตายก่อนไข้นั้นไม่ควร บัดนี้โจโฉก็ยกทัพไปตีเมืองชีจิ๋ว เมืองฮูโต๋นั้นหามีผู้ใดอยู่รักษาไม่ เล่าปี่ก็ให้หนังสือมาขอกองทัพท่านไปช่วย ถ้าท่านยกกองทัพไปตีเมืองฮูโต๋ครั้งนี้เห็นจะได้โดยง่าย....."

อ้วนเสี้ยวก็ว่า ความจริงก็รู้อยู่แล้วว่ามีโอกาสชนะ แต่ตอนนี้กำลังเป็นห่วงบุตร ถ้ายกทัพไปทางโน้นแล้วบุตรเกิดเป็นอันตรายภายหลัง เราก็คงจะตายด้วยเป็นแน่ และถ้ายกไปครั้งนี้ทั้ง ๆ ที่ไม่สบายใจ ก็คงจะเอาชนะข้าศึกไม่ได้ ดังนั้นจึงของดไว้ก่อน ถ้าเล่าปี่ขัดสนอย่างไรก็บอกมา จะได้ช่วยเหลือภายหน้า

เตียนห้องก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เสียดายโอกาสที่ครั้งนี้จะได้ทีอยู่แล้ว
เกิดจะมาเป็นห่วงลูกเล็กเด็กน้อยขึ้นมาเสียอีก ส่วนซุนเขียนเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ไม่รู้จะทำ
ประการใดต่อไป จำเป็นต้องลากลับไปบอกเล่าปี่ ให้ช่วยตัวเองตามกำลังของตนต่อไป.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่