เขียนไปเรื่อยเปื่อย ตามกระแสความคิด
การแกว่ง หมายความว่า ชีวิตต้องมีสองด้าน เช่น สุข-ทุกข์ ยุ่งเหยิง-สงบ รัก-เกลียด หลับ-ตื่น สุภาพ-รุนแรง ได้มา-จากไป เป็นต้น
แต่โดยมาก ผู้คนมักหวังด้านเดียว ที่นำความสุข หรือความพึงพอใจมาให้ แล้วพยายามไม่ยอมรับ เก็บกดอีกด้านที่ถือว่าไม่ดี ไม่น่าพึงพอใจเอาไว้
แต่ละคนจึงมีภาพพจน์อย่างที่อยากให้คนอื่นมองเห็น หรือรับรู้ ซึ่งเป็นการให้ความหมายที่ถูกสร้างขึ้น ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
และเป็นไปเองหรือตั้งใจ ด้วยภาพพจน์ดังกล่าว แต่ละคนจึงได้ใช้มันเพื่ออ้างอิงในความสัมพันธ์ระหว่างกัน
พร้อมทั้งรักษา ปกป้อง หรือพัฒนาให้มันดูดีขึ้นไป
กลายเป็นต้นทุนทางสังคม ที่เอาไปใช้ประโยชน์ต่อยอด
แต่ความจริง ก็ยังคงเป็นจริง และนั่นหมายความว่า ไม่มีใครที่เพรียบพร้อม หรือดีไปหมด หรือเสียไปหมด
ทุกคนจึงมีสภาพเป็นส่วนผสมของความสำเร็จและล้มเหลว ดีและไม่ดี ปะปนกันในคนๆหนึ่งเสมอ ต่างกันที่การควบคุมตนเองเท่านั้นในการแสดงออก
ดังนั้น เพื่อจะรู้จักชีวิต เราจึงควรฝึกการเผชิญหน้าการแกว่ง ซึมซาบมัน และทำตามกฏธรรมชาติข้อนี้
เช่น การที่เราจะมีสุขภาพดี อารมณ์แข็งแรง เราก็จะต้องฝึกความรุนแรงผ่านร่างกายด้วยการออกกำลังกายให้มีเหงื่อ หัวใจเต้นแรง
และนานพอจะทำให้สารเอนดอร์ฟินหลั่ง ซึ่งจะส่งผลต่อความรู้สึกสบายสงบและเชื่อมั่นตามมา เรื่องอื่นๆเช่น การนอนกับการตื่น
ตรงนี้มันเป็นไปเองตามนาฬิกาชีวิต ซึ่งเราก็ควรมีวินัยและซื่อสัตย์ตัวเอง
ด้วยการรู้จักฟังเสียงจากภายในว่า ร่างกายต้องการอย่างไร ไม่หักโหมหรือเกียจคร้านเกินไป
แต่ก็น่าแปลกที่อาจจะมีบางคนที่มีการใช้ชีวิตแบบแกว่งๆ เช่น กลางวันเป็นผู้ทำดี ลับหลังเป็นโจร พระที่ดูดี ลับหลังก็มั่วสีกา
หน่วยงานที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ที่ใช้โอกาสนั้นฉกทรัพย์สินของผู้เสียหาย หรือ นักการเมืองที่โกงความไว้วางใจจากประชาชน
จนภาพพจน์ไม่ดี หรือดารา นักร้อง ที่เป็นผู้สื่อสารและจรรโลงโลก แต่กลับแกว่งลับหลังด้วยการต้องพึ่งพายาเสพติด
เพื่อสร้างโลกสวยเป็นแรงกระตุ้นตัวเอง พฤติกรรมการแกว่งเช่นนี้ ใครตอบได้บ้างว่าเพราะเหตุใด
มันไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ แต่ในสังคมที่ซับซ้อน คนเราก็กลับเลือกการแกว่งเพื่อ
ชดเชยสิ่งที่กิจวัตรการงานปกติ ไม่สามารถให้คำตอบหรือตอบสนองได้ ก็เป็นได้
การแกว่งที่บิดเบี้ยวดังว่า มันทำให้ผู้แกว่งดำรงสถานะมนุษย์สองหน้า และนี่มันเป็นการเล่นเกมส์ชีวิตที่ท้าทาย อย่างหนึ่ง
เช่น ฮีโร่อย่างแบตแมน มีชีวิตสองด้านที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่งเป็นเศรษฐี มีชีวิตหรูหรา
อีกด้านหนึ่งก็ธำรงความยุติธรรมด้วยการใช้ศาลเตี้ยกำจัดเหล่าโจรผู้ร้าย โรบินฮู๊ดก็เหมือนกัน
หรืออย่างในจำพวกฆ่าตกรต่อเนื่อง ที่เป็นโรคจิตชอบฆ่าเหยื่อผู้หญิง และปิดบังตัวเองในยาม
ปกติที่อาจดูสุภาพเรียบร้อย แต่พอมีโอกาส แรงเก็บกดในวัยเด็กก็ทำให้เขาสร้างอำนาจให้เป็นจริงด้วยการฆ่าเหยื่อที่อ่อนแอกว่า
เพียงเพราะทำได้และพอใจที่ได้เห็นความรุนแรง ก็ได้
เหล่านี้เป็นการแกว่งของการใช้ชีวิตที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติ แต่มาจากความผิดปกติทางจิตที่เป็นปมปัญหา
ดูเหมือนว่า มนุษย์มีพลังสองด้านที่ขัดแย้งในตัว และมันได้สร้างแรงขับพฤติกรรมเพื่อปลดปล่อย และไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ดี จนสมดุล
มีสุขมากกว่าทุกข์ หรือทุกข์น้อยในระดับที่ควบคุมได้ ยิ่งสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นช่องว่างทางชนชั้น ก็ย่อมมีแนวโน้มก่อความรุนแรงได้
ท่านหล่ะ มีชีวิตที่แกว่งๆบ้างหรือไม่ หรือชอบเป็นคนธรรดาที่ไม่ยอมแกว่ง ...
การแกว่ง
การแกว่ง หมายความว่า ชีวิตต้องมีสองด้าน เช่น สุข-ทุกข์ ยุ่งเหยิง-สงบ รัก-เกลียด หลับ-ตื่น สุภาพ-รุนแรง ได้มา-จากไป เป็นต้น
แต่โดยมาก ผู้คนมักหวังด้านเดียว ที่นำความสุข หรือความพึงพอใจมาให้ แล้วพยายามไม่ยอมรับ เก็บกดอีกด้านที่ถือว่าไม่ดี ไม่น่าพึงพอใจเอาไว้
แต่ละคนจึงมีภาพพจน์อย่างที่อยากให้คนอื่นมองเห็น หรือรับรู้ ซึ่งเป็นการให้ความหมายที่ถูกสร้างขึ้น ทั้งรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว
และเป็นไปเองหรือตั้งใจ ด้วยภาพพจน์ดังกล่าว แต่ละคนจึงได้ใช้มันเพื่ออ้างอิงในความสัมพันธ์ระหว่างกัน
พร้อมทั้งรักษา ปกป้อง หรือพัฒนาให้มันดูดีขึ้นไป
กลายเป็นต้นทุนทางสังคม ที่เอาไปใช้ประโยชน์ต่อยอด
แต่ความจริง ก็ยังคงเป็นจริง และนั่นหมายความว่า ไม่มีใครที่เพรียบพร้อม หรือดีไปหมด หรือเสียไปหมด
ทุกคนจึงมีสภาพเป็นส่วนผสมของความสำเร็จและล้มเหลว ดีและไม่ดี ปะปนกันในคนๆหนึ่งเสมอ ต่างกันที่การควบคุมตนเองเท่านั้นในการแสดงออก
ดังนั้น เพื่อจะรู้จักชีวิต เราจึงควรฝึกการเผชิญหน้าการแกว่ง ซึมซาบมัน และทำตามกฏธรรมชาติข้อนี้
เช่น การที่เราจะมีสุขภาพดี อารมณ์แข็งแรง เราก็จะต้องฝึกความรุนแรงผ่านร่างกายด้วยการออกกำลังกายให้มีเหงื่อ หัวใจเต้นแรง
และนานพอจะทำให้สารเอนดอร์ฟินหลั่ง ซึ่งจะส่งผลต่อความรู้สึกสบายสงบและเชื่อมั่นตามมา เรื่องอื่นๆเช่น การนอนกับการตื่น
ตรงนี้มันเป็นไปเองตามนาฬิกาชีวิต ซึ่งเราก็ควรมีวินัยและซื่อสัตย์ตัวเอง
ด้วยการรู้จักฟังเสียงจากภายในว่า ร่างกายต้องการอย่างไร ไม่หักโหมหรือเกียจคร้านเกินไป
แต่ก็น่าแปลกที่อาจจะมีบางคนที่มีการใช้ชีวิตแบบแกว่งๆ เช่น กลางวันเป็นผู้ทำดี ลับหลังเป็นโจร พระที่ดูดี ลับหลังก็มั่วสีกา
หน่วยงานที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ที่ใช้โอกาสนั้นฉกทรัพย์สินของผู้เสียหาย หรือ นักการเมืองที่โกงความไว้วางใจจากประชาชน
จนภาพพจน์ไม่ดี หรือดารา นักร้อง ที่เป็นผู้สื่อสารและจรรโลงโลก แต่กลับแกว่งลับหลังด้วยการต้องพึ่งพายาเสพติด
เพื่อสร้างโลกสวยเป็นแรงกระตุ้นตัวเอง พฤติกรรมการแกว่งเช่นนี้ ใครตอบได้บ้างว่าเพราะเหตุใด
มันไม่สอดคล้องกับธรรมชาติ แต่ในสังคมที่ซับซ้อน คนเราก็กลับเลือกการแกว่งเพื่อ
ชดเชยสิ่งที่กิจวัตรการงานปกติ ไม่สามารถให้คำตอบหรือตอบสนองได้ ก็เป็นได้
การแกว่งที่บิดเบี้ยวดังว่า มันทำให้ผู้แกว่งดำรงสถานะมนุษย์สองหน้า และนี่มันเป็นการเล่นเกมส์ชีวิตที่ท้าทาย อย่างหนึ่ง
เช่น ฮีโร่อย่างแบตแมน มีชีวิตสองด้านที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ด้านหนึ่งเป็นเศรษฐี มีชีวิตหรูหรา
อีกด้านหนึ่งก็ธำรงความยุติธรรมด้วยการใช้ศาลเตี้ยกำจัดเหล่าโจรผู้ร้าย โรบินฮู๊ดก็เหมือนกัน
หรืออย่างในจำพวกฆ่าตกรต่อเนื่อง ที่เป็นโรคจิตชอบฆ่าเหยื่อผู้หญิง และปิดบังตัวเองในยาม
ปกติที่อาจดูสุภาพเรียบร้อย แต่พอมีโอกาส แรงเก็บกดในวัยเด็กก็ทำให้เขาสร้างอำนาจให้เป็นจริงด้วยการฆ่าเหยื่อที่อ่อนแอกว่า
เพียงเพราะทำได้และพอใจที่ได้เห็นความรุนแรง ก็ได้
เหล่านี้เป็นการแกว่งของการใช้ชีวิตที่ไม่ได้เป็นธรรมชาติ แต่มาจากความผิดปกติทางจิตที่เป็นปมปัญหา
ดูเหมือนว่า มนุษย์มีพลังสองด้านที่ขัดแย้งในตัว และมันได้สร้างแรงขับพฤติกรรมเพื่อปลดปล่อย และไม่ใช่ทุกคนที่ทำได้ดี จนสมดุล
มีสุขมากกว่าทุกข์ หรือทุกข์น้อยในระดับที่ควบคุมได้ ยิ่งสังคมที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นช่องว่างทางชนชั้น ก็ย่อมมีแนวโน้มก่อความรุนแรงได้
ท่านหล่ะ มีชีวิตที่แกว่งๆบ้างหรือไม่ หรือชอบเป็นคนธรรดาที่ไม่ยอมแกว่ง ...