[CR] (รีวิว) - Her เธอ ฉัน ในโลกคนละใบที่ไม่มีวันบรรจบกัน (มีสปอย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เป็นหนังยาวเรื่องที่สองของผู้กำกับ Spike Jonze นับตั้งแต่ Where the Wild Things Are แต่ถ้านับหนังสั้นเรื่อง I’m hear ซึ่งเป็นสามสิบนาทีที่กินใจไปด้วย “Her” คงจะเป็นเรื่องที่สาม
เรื่องราวเกี่ยวกับ “ธีโอดอร์” พนักงานเขียนจดหมายในโลกอนาคต ซึ่งผู้กำกับเปรยไว้ว่าอาจจะเป็นยุคซัก 10 ปีข้างหน้า ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกลไปอีกระดับหนึ่ง ไปจนถึงระดับที่สามารถแยกผู้คนออกเป็นปัจเจกได้อย่างชัดเจน กับอุปกรณ์อะไรบางอย่างที่คล้ายจะเป็นที่นิยมในยุคนั้น Os (Operation System)รุ่นใหม่ที่คล้ายกับว่าจะอัฉริยะที่เหนือกกว่าบรรดา Os ทั้งหมดที่เคยมีมา จากชายหนุ่มขี้เหงาที่กำลังจะเซ็นใบอย่ากับแฟนเก่าหลังจากแยกกันอยู่มาเกือบปี บังเอิญได้มาเจอ “ซาเมนทรา” (พากษ์เสียงโดยสกาเล็ต โยแฮนสัน) Os สาวที่เหมือนเป็นกาวสมานช่องว่างที่ว้าเหว่ในหัวใจให้ได้รับการเติมเต็ม ยิ่งนานวันยิ่งผูกพัน นานวันยิ่งแปลเปลี่ยนเป็นความรัก ความรักที่ก้าวล้ำเรื่องของเพศ สปีชี่ ความรักที่ไม่ต้องมีแม้ร่างกาย!! ไม่ใช่ความรักของคนกับเครื่องจักรอย่างการ์ตูนเรื่อง Chobit หรือความรักข้ามสายพันธ์อย่าง Avatar แต่มันคือความรักของคนกับระบบปฎิบัติการ!! (จะตกใจทำไมนักหนา...)
เอาเข้าจจริงข่าวแปลกๆทำนองนี้ก็มีให้เห็นบ่อยๆ ทั้งคนแต่งงานกับตัละครในเกมที่ตัวเองรัก ( Love Plus) หรือคนแต่งงานกับสัตว์ก็มีให้เห็น (ไม่เชื่องลองเซิจ Google ดู) แต่หนังเรื่องนี้ กลับไม่ได้สร้างความรู้สึก “ประหลาด” ให้รู้สึกเลยซักนิด โลกเทคโนโลยีที่อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่างในตอนที่กำลังพิมพ์อยู่นี้ก็มีบางคู่ที่มาด้วยกันแต่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ของกันและกัน ซึ่งฉากที่แสดงในหนังดูเหมือนจะสะท้อนเรื่องพวกนี้ออกมาชัดเจนไม่ต่างกับสภาพปัจจุบัน
ชอบตรงที่หนังไม่พยยามยัดเยียดความเป็น “อนาคต” มากเกินไปจนดูเหมือนห่างไกล ไม่มีรถบินได้ ไม่มีเครื่องบิดเบือนสภาพดินฟ้าอากาศ ฉากส่วนใหญ่อยู่ในมหานครนิวยอค แต่ฟุตเทจบางแห่งผู้กำกับบอกว่าอามาจากประเทศจีน..
คิดว่าอีกอย่างที่หนังเรื่องนี้คงถูกใจใครหลายๆคน น่าจะเป็นเหตุผลมาจากสังคมปัจจุบัน เรากำลังเป็นอย่างนั้นจริงๆรึเปล่า วินาทีแรกที่ดูจบ คำแรกที่ผุดขึ้นมาในหัว “เราแทบทุกคนน่าจะเป็นซาแมนทราของใครบางคน” หากคุณเกิดมาทันยุคที่บรรดาโปรแกรม instant message กำลังฮิตๆในยุคแรก จะพบว่าการได้คุยกับใครบางคนที่เราไม่รู้จัก บางครั้งก็สร้างความรู้สึกพิเศษในใจได้ไม่ยากนัก ประกอบกับสภาพสังคมปัจจุบันที่คนเหงากำลังมีจำนวนมากขึ้นอย่างน่าตกใจ (รวมรวมข้อมูลจากคนใกล้ตัว) เช่นในหนัง เมืองใหญ่โตมโหราญเรียงง่ายราวกับจ้างอิเกียมาออกแบบเมือง ก็ไม่น่าจะแปลกใจที่มีคนเหงามากมายปะปนอยู่ในนั้น
เพลงประกอบในเรื่องชวนให้อบอุ่นไปกับช่วงเวลา บทสนทนาของทั้งสองราวกับท่องในโลกของกวี (อันนี้ต้องชมคนที่แปลออกมาด้วย) อาจเพราะธีโอดอร์ทำงานเกี่ยวกับการเขียน ส่วนซาเมนทราก็เรียนภาษาจากคลังความรู้ทั่วอินเตอร์เนต มีประโยคหนึ่งซี่งเป็นประโยคที่ผมชอบในเรื่อง ซาเมนซากล่าวกับธีโอดอร์ว่า
“เหมือนฉันกำลังอ่านหนังสือที่ฉันรัก แต่ฉันกลับอ่านมันได้ช้าลง ช่องว่างระหว่างคำมันดูไกลออกไปมากขึ้น จนมันดูไม่มีที่สิ้นสุด ฉันยังรู้สึกว่าเรื่องของเรามันมีช่องว่างไม่สิ้นสุดสำหรับการค้นหาตัวของฉันในขณะนี้ มันเป็นสถานที่ที่โลกของมนุษย์ไม่มีวันเข้าใจ มันเป็นความรู้สึกที่คุณไม่มีวันเข้าใจได้ว่ามันเป็นอะไร ฉันรักคุณมาก แต่ในสถานที่ที่ฉันกำลังจะไป ซักวันฉันอยากให้คุณไป ยังไงตอนนี้ฉันคงไม่อาจได้อยู่ในหนังสือของคุณได้อีกต่อไป....” จำได้คร่าวๆประมาณนี้ ความรู้สึกแบบ โอ้โห Os บรรลุอรหันเร็วกว่าคนอีก!!
ฉากที่ชอบที่สุดไม่ใช่ฉากพระเอกนางเอก แต่ชอบฉากพระเอกกำลังเล่นเกมนักบินอวกาศผู้เคว้งคว้างหาทางออกไม่เจอ จนไปเจอกับมนุษย์ต่างดาวก้าวร้าว แต่ขี้เหงา เชื่อว่าจริงๆแล้วแม้มนุษย์ต่างดาวจะนำทางไปจนถึงทางออกเพื่อกลับยาน แต่เหมือนธีโอดอร์จะเหลือไม่ขึ้นยานกลับ ในฉากหลังๆจะพบว่าธีโอดอร์ยังคงอยู่ที่เดิมโดยมีมุษย์ต่างดาวนั้นอยู่ด้วยในเกม
แม้ตอนจบจะดูอบอุ่น แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเหงาๆอยู่พอสมควร สุดท้ายแล้วสัจธรรมของโลกก็เป็นแบบนี้ “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป” ยกให้เป็นหนังประทับใจอีกเรื่อง จริงๆแล้วฉากประทับใจทีมากกว่านี้ ไม่แปลกใจเลยที่ได้รับรางวัล ค้นพบว่าหนังดีๆบางทีไม่จำเป็นต้องมีเอฟเฟกอลังการ ขอเป็นหนังง่ายๆ ที่เข้าถึงใจคนดูได้ก็พอแล้ว
แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ
[CR] (รีวิว) - Her เธอ ฉัน ในโลกคนละใบที่ไม่มีวันบรรจบกัน (มีสปอย)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้