ทำไมผมต้องซื้อ PF หุ้นอสังหาริมทรัพย์ด้วย ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นหุ้นที่ไม่มีคนสนใจ อยู่ในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซา สงสัยคงดอยแน่

กระทู้สนทนา
สงสัยจะดอยแล้วครับ เพิ่งอ่านเจอบทวิเคราะห์โบรกเกอร์พื้นฐานแค่ 0.91 บาท อยู่ในภาวะซบเซายาวนาน คิดผิดแท้ๆ ที่ซื้อมาจนต้องดอย 1.14 บาท เห็นบทวิเคราะห์นี้แล้วไม่อยากจะถัว  ใครดอยหุ้นตัวนี้หรือซื้อสะสมหุ้น PF บ้างครับ  ไตรมาส 4/56 จะกำไรดีมั้ย  เมื่อก่อนเห็นเฮีย JJS เชียร์ขาดใจตอน 1.50 บาท  ผู้บริหาร กองทุนในประเทศและต่างชาติซื้อตอนราคา 1.70 - 1.75 บาท เกือบ 30 ล้านหุ้น แม้แต่ขาใหญ่ยังติดดอย แล้วเม่าอย่างผมจะเหลือเหรอดอยตามระเบียบ

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////



บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : PF แนะนำ "ขาย" ราคาพื้นฐาน 0.91 บาท  

                    ปี 56 ขายที่ดินเปล่าน้อยกว่าแผน ฉุดกำไร   จากแผนเดิมบริษัทวางแผนว่าปี 56 จะขายที่ดินเปล่าจำนวน 1.3 พันล้านบาท แต่กลายเป็นว่าขายได้จริงเพียง 530 ล้านบาท ไม่ถึงครึ่งจากที่วางแผนไว้ เราจึงต้องปรับประมาณการปี 56 ลงถึง 43% สะท้อนมายังกำไรหลัก 4Q56 เป็นเพียง 19 ล้านบาท ลดลง 64% y-o-y และ 69% q-o-q   ในที่สุดยอดขาย (Presales) ปี 56 ทำได้เพียง 10.6 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าก่อนหน้าที่ 12.4 พันล้านบาทอยู่ 14.5% เป็นเพราะเปิดขายโครงการใหม่น้อยกว่าเป้าและได้รับผลลบจากการเมือง   ปรับคาดการณ์กำไรปีนี้ลงอีก 30% ด้วยสมมุติฐานว่าประมาณการรายได้ปีนี้จะออกมาต่ำกว่าคาด เพราะได้รับผลลบจากปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองไทย ขณะเดียวกับความสามารถในการแข่งขันต่ำ   คงคำแนะนำ ขาย ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 0.91 บาทซึ่งประเมินด้วย P/BV ปี 57 ที่ 0.6 เท่า คาดว่ากำไรปี 56 จะออกมาน่าผิดหวัง และ P/E ปี 57 และ 58 แพงเป็น 27 และ 34 เท่า ตามลำดับ   เลื่อนการขายที่ดินเปล่าบางส่วนมายังปีนี้ เดิมทีบริษัทวางแผนว่าจะขายที่ดินเปล่าที่ทำเลกรุงเทพกรีฑาราคาขายประมาณ 800 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 56 แต่แล้วก็ยังไม่สำเร็จ แต่ในรอบ 9M56 บริษัทขายที่ดินเปล่าไปแล้ว 530 ล้านบาทคือ ทำเลบางบัวทองและแจ้งวัฒนะ ดังนั้นใน 4Q56 จึงคาดว่าไม่มีการบันทึกรายได้จากการขายที่ดินเปล่าอีก และเนื่องจากรายได้ที่ขาดหายไปนั้นเป็นจำนวนมาก ทำให้เรามีการปรับประมาณการกำไรปี 56 ลงถึง 43% เป็นเพียง 167 ล้านบาท ส่วนในปีนี้หรือปี 57 เรายังให้มีการบันทึกรายได้ขายที่ดินเปล่าเท่าเดิมคือ 2 พันล้านบาทที่ถนนสุขุมวิท แต่ส่วน 800 ล้านบาท ที่เลื่อนมายังไม่ให้ เพราะไม่แน่ใจว่าเมื่อถึงเวลานั้น บริษัทจะขายได้สำเร็จหรือไม่   คาดว่ากำไรหลัก 4Q56 เป็นเพียง 19 ล้านบาท ลดลงถึง 64% y-o-y และ 69% q-o-q ตามลำดับ แม้รายได้ 4Q56 เพิ่มขึ้นทั้ง yo-y และ q-o-q เพราะคาดว่าจะมีการบันทึกรายได้จากการขายโครงการหอพัก Uniloft เข้าสู่กองทุนอสังหาฯ แต่ค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นกลับต่ำลงเป็น 27% เพราะการขาย Uniloft มีอัตรากำไรขั้นต้นไม่สูงเป็นประมาณ 20% ขณะที่บ้านแนวราบและคอนโดมีอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ 30% รวมทั้งไตรมาสนี้ไม่มีการขายที่ดินเปล่ามาช่วยเสริมกำไร ขณะที่ 3Q56 มีการขายที่ดินเปล่า แต่ 4Q55 ไม่มีเช่นกัน อีกทั้งดอกเบี้ยจ่ายก็สูงใน 4Q56 ตามหนี้เงินกู้ที่เพิ่ม ส่วน Kiroro ที่ญี่ปุ่นก็คาดว่าจะยังประสบภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง   ยอดขาย (Presales) ปี 56 ต่ำเป้าหมาย ทำได้เพียง 10.6 พันล้านบาท ต่ำกว่าเป้าก่อนหน้าที่ 12.4 พันล้านบาทอยู่ 14.5% เป็นเพราะเปิดขายโครงการใหม่น้อยกว่าเป้าหมาย จากเดิมตั้งเป้าว่าจะเปิดขาย 24 โครงการ แต่เปิดขายได้เพียง 14 โครงการ และได้รับผลลบจากปัจจัยการเมือง ตั้งแต่ปลาย พ.ย.56 โดยเฉพาะการปิดกรุงเทพฯ ทำให้ไม่มีความมั่นใจในเรื่องเศรษฐกิจไทย ซึ่งจะมีผลต่อรายได้ในงวดปี 57-58 ในเรื่องยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ลดลง   ปรับคาดการณ์กำไรปีนี้ลงอีก 30% ด้วยสมมุติฐานว่าประมาณการรายได้ปีนี้จะออกมาต่ำกว่าคาด เราปรับให้ลดลงเป็น 12.6 พันล้านบาท จากเดิมที่ 13.6 พันล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง และดอกเบี้ยจ่ายที่อยู่ในระดับสูง เพราะได้รับผลลบจากปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองไทย ขณะเดียวกับความสามารถในการแข่งขันอยู่ในเกณฑ์ต่ำ พิจารณาได้จากยอดขายที่ทำได้ไม่สูง ต่ำกว่าเป้าหมาย และอัตราการยกเลิก (rejection rate) ปัจจุบันสูงเป็น 15-20%   คงคำแนะนำ ขาย ราคาพื้นฐานใหม่ปรับลงเป็น 0.91 บาทซึ่งประเมินด้วย P/BV ปี 57 ที่ 0.6 เท่า ราคาปิดถือว่าใกล้เคียง คาดว่ากำไรหลักปี 56 จะออกมาน่าผิดหวังเป็นเพียง 169 ล้านบาท ลดลงถึง 47% y-o-y ส่วนปี 57 แม้คาดว่ากำไรฟื้นตัว 23% y-o-y แต่เป็นจำนวนเงินที่ต่ำเพียง 197 ล้านบาท จากปีปกติที่ทำกำไรได้ 400-500 ล้านบาท P/E ปี 57 และ 58 ถือว่าแพงเป็น 27 และ 34 เท่า ตามลำดับ คาดการณ์อัตราผลตอบแทนปันผลปีนี้ไม่สูงเป็น 1.7% สิ่งที่เป็นความเสี่ยงคือ หนี้เงินกู้สูงมาก คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนปลายปีนี้เป็น 2.4 เท่า การลงทุนจำนวนมากใน ธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์ ขณะที่กำลังซื้อหดตัว และสกีรีสอร์ทที่ญี่ปุ่นให้ผลขาดทุนต่อเนื่อง แม้บริษัทคาดว่ามีแผนจะขายออกไป และได้กำไร แต่เราจะรอให้เกิดขึ้นจริงก่อน จึงจะใส่ไว้ในประมาณการนักวิเคราะห์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : Tel 7835sombata@th.dbsvickers.com


เรียบเรียง โดย ปุณณภา นาเมืองรักษ์                  อีเมล์. reporter@efinancethai.com

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่