ผมอยากกลับบ้าน

อารามภบท
   ผมจบเภสัชมานานมาก แต่รู้ไหมครับว่าผมแทบจะทำไม่ได้ทำงานในวงการสาธารณสุขเลย อย่างมากสุดก็แค่ทำงานในโรงงานผลิตเครื่องสำอางค์แค่  6 เดือน จากนั้นล่องลอยมาวงการปศุสัตว์ ทำงานในวงการผลิตยาสัตว์ โรงงานชำแหละเนื้อ จนมาถึงดูแลเรื่องการควบคุมคุณภาพ หรือ Food Safety ครบทั้งวงจรจากฟาร์มสู่
โต๊ะอาหาร จนรู้สึกว่ามันไม่ใช่ชีวิตของตนเอง ทั้งในด้านวิชาชีพ และความเป็นจริงของการทำธุรกิจ อ่านแล้ว
อาจแปลกใจ แล้วทนทำอยู่ได้อย่างไร จะทนไปทำไม เลยมีคำถามอยู่เสมอว่า “ ผมอยากกลับบ้าน “
เส้นทางชีวิตที่อยากก้าวผ่าน
    เพื่อนฝูงหลายคน จะได้ยินผมบ่นเสมอกับคำพูดนี้  “ผมอยากกลับบ้าน “ แม้ผมทำงานในวงการปศุสัตว์ จะมีความก้าวหน้าในระดับสูงมากพอสมควร มีหน้ามีตาในวงการ แต่ไม่มีเพื่อนเภสัชสักเท่าไหร่ในวงการนี้ มีแต่กลุ่มสัตวแพทย์และสัตวบาลเป็นส่วนใหญ่ ความขัดแย้งทางความคิดมากมาย เพราะผมเห็นว่าวงการปศุสัตว์ยังไม่ค่อยใส่ใจเรื่อง คุณธรรม จรยธรรม และจรรยาบรรณ มากเท่าวงการสาธารณสุข ใช่ครับพูดแบบนี้ก็เป็นเรื่องขัดแย้ง เพราะในวงการสธารณสุขเองอาจจะมีมากว่านี้ก็ได้ เนื่องจากผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงการสาธารณสุขเลย นั่นเป็นแค่เรื่องหนึ่ง ยังมีประเด็นว่า การทำธุรกิจมักต้องสนใจเรื่องการทำกำไรให้ได้มากมาย ลดต้นทุนให้ได้มากที่สุด คุณภาพต้องได้ตามกำหนด แต่ภาพจริงที่ผมพบ สุดท้ายเรื่องต้นทุน กำไร มาก่อนเสมอ แต่เวลาออกข่าว ผู้บริโภคจะรับรู้แค่ว่า เน้น คุณภาพ สะอาด และปลอดภัย คนทำงานด้านคุณภาพอย่างผมจึงรู้สึกกดดันตลอดเวลา ครั้นจะพูดความจริงออกไปก็อาจถูกข้อกล่าวหาว่า ไม่รักองค์กร รวมไปถึงไม่รักประเทศชาติ เพราะหลายเรื่องมักถูกปกปิดจากองค์รัฐ ดังนั้นทุกครั้งที่ผมไปเป็นวิทยากรจึงพูดไปด้วยความขมขื่นใจ แต่ต้องพูดไปเพื่อกระตุ้นเร้าให้ผู้ฟังต้องสนในเรื่องคุณภาพ
        เวลามีปัญหาวัตถุดิบหรือสินค้าไม่มีคุณภาพ ถ้ามีเรื่องของยอดขายตกส่งของไม่ทันมาเกี่ยวข้อง มักจะถูกขอร้องให้ปล่อยผ่าน อย่างเสียไมได้ จนผมต้องมีคำตอบออกไปว่า “ไม่เป็นไรถ้าจะปล่อยผ่าน ขอให้ที่ประชุมรับรองปล่อยผ่าน แต่จดในรายงานการประชุมด้วยว่า ผมไม่เห็นด้วย “ พูดแบบนี้มักเป็นเรื่องทุกที ดังนั้นจึงอยู่ด้วยความอึดอัด และตรงข้ามกับตัวตนของตนเอง ผมได้ถูกย้ายงานไปอีกงานจากด้านวิชาการเป็นด้านการขาย ยังไม่รู้ว่าจะเป็นเช่นไร แต่ในความรู้สึกแล้ว ผมอยากกลับบ้านมากกว่า อยากช่วยเหลือผู้บริโภคหรือประชาชนมากกว่าที่จะเน้นเรื่องของการขายให้ได้มากๆๆ  บางครั้งอบากลาออกมาเสียเลยจะได้ไม่รู้สึกถึงความหลอกลวงประชาชนอยู่ตลอดเวลา แต่หลายคนก็บอกบริษัทอื่นมันมากกว่านี้อีก ทำไมแกเครียดและจริงจังเกินไปไหม อยู่กับความจริงไม่ดีกว่าเหรอ
บทสรุป
        สุดท้ายผมก็ยังวนเวียนอยู่กับธุรกิจ จนเชื่อว่าถึงวันหนึ่งเขาคงไล่เราออกดีกว่า หาคนที่ใส่ใจบริษัทมากกว่าดีกว่าคนที่ไม่คิดทำกำไรให้บริษัท ความเครียดแต่ละวันจนรู้สึกถึงว่า ผมเป็นโรคซึมเศร้าไปแล้ว
ต้องหาทางออกให้ตัวเองดีกว่า ควรออกจากสภาพนี้ไปอยู่อย่างมีความสุขเล็กๆไม่ทะเยอทะยานจะดีกว่า เลยบอกกับตัวเองว่า ผมพอแล้วกับการทำงานบริหารธุรกิจ ผมอยากกลับบ้านครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่