สวัสดีค่ะ เราอายุ 25 ปี เพิ่งทำงานกับบริษัทที่ทำอยู่ปัจจุบันมาได้ 1 ปี กับอีก 4 เดือน
องค์กรของเราเป็นองค์กรใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดัง มั่นคง ยาวนานและดีที่สุดในประเทศนี้(ในธุรกิจสาขานี้) มีเครือข่าย 50 ประเทศทั่วโลก ใครๆก็มองว่ามันสวยหรู แต่ใครจะรู้เราคิดลาออกวันนึงไม่ต่ำกว่าสิบหน เราเลยร่างจม.ลาออกเอาไว้ มีผลวันที่ 30 เม.ย. ตั้งใจจะยื่นเจ้านาย 1 มี.ค.นี้
เหตุผลน่ะหรอ จั่วเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. ภายใต้ภาพลักษณ์อันเป็นสากล กลับมีระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม และแนวคิดในขององค์กรที่มันโบราณมากๆ แทบจะต้องคลานเข่าเข้าหาผู้ใหญ่เลยทีเดียว คนที่ถูกปลูกฝังเรื่องสิทธิความเท่าเทียมมาจากสถาบันศึกษาอย่างเรารู้สึกขัดตาขัดใจเป็นอย่างมาก ชั้นรับไม่ได้
2. เนื้องานในฝ่ายของเรายังบั่นทอนคุณภาพชีวิต และสิทธิส่วนบุคคลเสมอๆ บางครั้งเวลามีแขกชาว ตปท. เดินทางมาประเทศไทยเราต้องอยู่รอรับ ไม่ว่าไฟลท์จะถึงกี่โมงก็ตาม เวลาจะกลับก็ต้องส่งให้ถึงบันไดไปสู่ Passport Control (รอจนกว่าจะใกล้ Boarding นั่นแล) ซึ่งบางครั้งมันก็ตีหนึ่งตีสอง เราต้องนั่งแท็กซี่ออกจากบ้านมารับ หรือกลับบ้านคนเดียวในช่วงเวลาแบบนั้นเสมอๆ ใน 2-3 เดือน เราต้องเดินทางออก ตจว.เพื่อจัดประชุม จัดค่าย อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง ยิ่งช่วง ม.ค. ถึง มิ.ย. มีจัดประชุมจัดค่ายสัมนา ไม่ต่ำกว่า 10 งาน ในช่วงเวลาที่ออกนอกสถานที่เราต้องตื่นเช้าสุดตี 2 หรือบางงานกว่าจะได้เข้านอนก็ตี 1 บางงานไม่ได้นอนเลย 36 ช.ม. โดยที่คนในทีมมีกันอยู่ 9 คน ทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการจ้าง Outsource หรือ Organizer มาจัดงานให้ ค่ายหรืองานที่เราจัดมีผู้เข้าร่วมประมาณ 10,20, 30, 50, 70, 100, 200, หรือ 300 คน แล้วแต่ประเภทโครงการ ซึ่ง คน 9 คน มันอยู่ในอัตรส่วนต่องานที่น้อยมาก นี่ยังไม่ตัดคนที่ใช้ปากทำงานออกไปนะคะ
3. อย่างที่บอกในทีมเรา มี 9 คน ในจำนวนนี้มีไดเรกเตอร์ 1 คน จึงเหลือคนที่ทำงาน 8 คน ใน 8 คนนี้ มีเมเนเจอร์ 3 คน จึงเหลือระดับปฏิบัติการจริงๆอยู่ 5 คน 4 คนข้างบนนั้นนอกจากกระจายงานให้ 5 คนที่เหลือ พวกนางยังมีหน้าที่ จ้องจับผิด งานที่รันมาดีๆ นางก็เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ประชุมตกลงกันแล้วว่างานจะเป็นแบบนี้ๆพอถึงหน้างานจริง พวงนางจำไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนเอาตามใจ พอทีมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกระทันหัน(ต่างจากที่ตระเตรียมกันไว้)ไม่ทัน พวกนางก็จะเก็บทุกเม็ด เรียกประชุมในวันนั้นเลย(ย้ำ วันนั้นเลย ไม่รอให้งานเสร็จ กลับออฟฟิศค่อยว่ากัน) เพื่อต่อว่าต่อขาน ในสิ่งที่พวกนางคิดว่าพวกเราทำผิด (ทั้งๆที่คนผิดคือ...เอิ่มมมมมม) สร้างดราม่า ตบหัว ลูบหลัง งานแล้วงานเล่า
อ่อ ลืมบอกไปค่ะ 4 คนนี้ มีอายุงานเรียกได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลเลยก็ว่าได้ 10 ปีขึ้นไปทั้งนั้น ส่วนระดับต๊อกต๋อยอย่างพวกเราไม่เคยมีใครอยู่เกิน 2 ปี ก่อนหน้าเรา มี Rotation อยู่สูงมาก ใน 5 ปี เปลี่ยน พนง.ไป 20 กว่าคน ทุกคนลาออกเองบ้าง มีเหตุร้ายต้องออกบ้าง มีความทรงจำที่ไม่ดีๆต่อกันเกือบทั้งนั้น
4. เงินเดือนน้อยเชียวค่ะ ตำแหน่งเรา 2 หมื่นกว่าๆ (น้อยมากกกกกก เมื่อเทียบกับปริมาณงาน) มีค่าพาหนะให้พนง.ทุกคนเพิ่มอีก 2,000 บาทต่อเดือน โดยไม่หักภาษี ไม่มีค่าโอที ไม่มีค่าเพอร์เดียม มีโพรวิเด้นท์ฟันด์ มีประกันชีวิตแบบกลุ่ม ค่ารักษาพยาบาลวันละ 3500 กรณีผู้ป่วยใน มีค่าทำฟันปีละ 5000 คุ้มครองเสียชีวิตที่ 1 ล้านบาท เอาเป็นว่าแผนกอื่นอยู่กันสบายๆยังไงก็คุ้ม แต่แผนกบู๊อย่างเรามีแต่เหนื่อยฟรี กับเหนื่อยฟรี
แต่ด้วยความที่เรา เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เป็นตัวของตัวเอง และพอมีผลงานให้เจ้านายมองเห็นอยู่เสมอ เราจึงเป็นลูกหม้อของทั้ง 4 คนนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เราไม่ใช่คนแนวประจบประแจงนะคะ เราเป็นคนตรง พูดความจริง แสกหน้าเจ้านายเงิบหมู่กันไปก็หลายครั้ง แต่แปลกนะที่พวกเขาก็ยังเอ็นดูยกย่องเรา เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆก็จะค่อนข้างชื่นชมเรา (คิดไปเองหรือเปล่านะ) เรื่องความร้ายกาจของสตรีทั้ง 4 นี้จึงไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตการทำงานของเรา เพราะเราค่อนข้างทำงานเป๊ะ ไม่พลาด เขาทำอะไรเราไม่ได้ แต่หลายๆครั้งที่เราต้องทนมองดูกิริยาที่พวกเขาทำต่อเพื่อนร่วมงานเรา ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อคน ต่องาน มันทำให้เราไม่ชอบใจอย่างมาก เราเป็นคนค่อนข้างแข็งและยึดหลักความถูกต้อง เราจึงคิดว่าอยู่กับคนพาลพวกนี้ต่อไป จิตใจเราคงแย่ เราเลยเตรียม จม.ลาออกปิดผนึกไว้อย่างดีและเตรียมยื่น 1 มี.ค. นี้
แต่เจ้านายของเราเลี้ยงพรายกระซิบไว้อย่างไรมิทราบ อยู่ๆเมื่อวานนางก็เรียกเราเข้าไปคุย ถามว่าเราคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน
เราตอบแบบกำกวมเพื่อวัดใจว่าเขาจะมาไม้ไหน เขาก็บอกเรามาว่า "พอดีพี่อยากส่งเธอไปประชุมที่เยอรมัน เป็นโปรเจคที่ประชุมเสร็จต้องเอานโยบายกลับมาทำที่ไทย ด้วยโครงการ 1 ปี พี่เห็นว่าเป็นเรื่องที่เธอรับผิดชอบโดยตรงเลยส่งเธอไป ผู้ใหญ่ก็ติงนะว่าทำไมส่งเด็กใหม่ไป ปกติต้องมีอายุงานมาก่อน 3 ปีแต่พี่คิดว่าเธอเหมาะสมที่สุดแล้ว ดังนั้นถ้าพี่ส่งเธอไปจริงๆ เแล้วถ้าเธอกล้บมาไม่กี่เดือนลาออก มันจะเสียหายพี่นะเพราะอุตสาห์ขึ้นไปต่อรองกับบอร์ดมา ถ้าจะไปก็ตองอยู่กันเป็นปีๆ"
เราจึงตอบไปประมาณว่า เรื่องลาออกมันผุดมาตลอดเวลาค่ะ อย่างที่รู้งานเราหนัก และหนูเป็นคนแคร์สิทธิอะไรแบบนี้มาก หลายครั้งที่คิดว่าพอแล้ว ไม่ทำแล้ว แต่มันออกไม่ได้เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย commitment ในหน้าที่ของหนูก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มีงานมาให้รับผิดชอบเพิ่มตลอดๆ(ดันมีความรับผิดชอบขึ้นมาซะงั้น) คิดเล่นๆว่าอาจจะไปหาความรู้ใหม่ๆภายในปีนี้ หรือไม่ก็ปีหน้า2558 ไวที่สุดคงจะเป็นธันวาปีนี้ค่ะ (หลอก ที่จริงเมษาคร่าาา) แต่รับรองค่ะ หนูบอกก่อนแน่ๆอย่างต่ำ 2 เดือน (ในใจคิด หาคนที่ทำได้สากกระเบือยันเรือรบแบบชั้นให้ได้เถอะ 2 เดือนเนี่ย ปล.หลงตัวเองอีกละ555)
เจ้านายทั้ง 4 ก็แอบอึ้งไปสักพัก หาเหตุผลมาหว่านล้อมว่าจะลาออกทำไม โอกาสที่เรามีนี่มันมากมายขนาดไหน
ให้เราลองมองข้อดีๆ ซึ่งมันก็มีมากมายนะ เช่น
1. บ้านใกล้ออฟฟิศ ขับรถ 20 นาทีถึง
2.เจ้านายรัก ทำอะไรถูกตาถูกใจ ถูกไปซะทุกเรื่อง คิดโต้แย้งก็ชอบ คิดเห็นด้วยก็ชอบ ภาระตัดสินใจอะไรน้อยใหญ่ก็มักจะถามความเห็นเราประกอบเสมอ บางทีเราพูดประชด หรือต่อว่าเขาตรงๆ พวกเขายังไม่ถือสาหาความ ยังขำคิดว่าเป็นเรื่องตลก หรือบางทีก็ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองไปซะงั้น เวลางานปกติไม่ต้องออกนอกสถานที่ เราเข้าสายนายไม่บ่น (เพราะตูกับดึกไง) เราจะเปิดเพลง เปิดยูทูปยังไงก็ได้ ไปกินข้าวกลางวันกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้
3.มีโอกาสไป ตปท. เสมอๆ มีเบี้ยประชุมเหนาะๆวันละ 1 หมื่น(ใน ตปท. เท่านั้น) งานเยอรมันนี้ เราไป 7 วันค่ะ ได้ 7 หมื่น บินฟรี ที่พักฟรี วีซ่าเยอรมันที่ขอยากนักหนาก็ง่ายดายเพราะประชุมนี้จัดโดยกระทรวงๆหนึ่งในเยอรมัน ได้จม.รับรองขอวีซ่าอย่างดี เราคิดว่าไปทำงานที่ได้เงินเดือนเยอะกว่านี้ ก็คงยังไม่ได้ไปแน่ๆ ประเทศนี้ ถ้าไม่มีเครดิตรับรอง
4.งานสังสรรค์ไม่เคยขาด โรงแรมใหญ่ๆทั้งนั้น ไปทริปพักผ่อนประจำปีของบ.ทีนึงก็ไป 4-5 วัน เดินทางโดยเครื่องบินทั้งสิ้น หาใช่รถบัส หรือรถตู้ไม่
5.6.7. อาจจะมี คิดไม่ออกตอนนี้ค่ะ
ขอตัดจบเลยนะคะ สรุป เจ้านายบอกให้เราไปคิดมา
ว่าจะออกสิ้นธันวาจริงหรือ(คิดจะออกเม.ย.ค่า หนูหลอกค่ะเจ้านาย)
ยืดไปอีก 5-6 เดือน หรือไม่ออกเลย เพื่อมารับโปรเจคเยอรมันนี้ได้ไหม
เพื่อนๆว่าเราควรเลือกอะไรดีคะ ระหว่าง
-ลาออกจากงานทาสนี่ ไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า (เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น) เงินเยอะกว่า งานไม่ผิดเวล่ำเวลาแบบนี้ เคยมีคนเสนองานที่เงินเดือน 4 หมื่นให้เลย แต่เราไม่มีโอกาสไป เพราะเขาต้องการคนด่วน แต่เราต้องยื่นก่อน 1 เดือน แพลนงานเราก็ดันวางล่วงหน้าไปแล้วหลายเดือน ทุกวันนี้เรายังไม่มีงานใหม่ในใจ เรียกได้ว่ายังไม่รู้อนาคตเลยนั่นเอง ถ้าลาออกไป
หรือ
- คว้าโอกาสที่อยู่ตรงหน้า แล้วทนไปอีกอย่างต่ำ 1 ปี เคยผ่านมาแล้วทุกงาน ผ่านอีกครั้ง อีกปีจะเป็นอะไร
ช่วยเราคิดทีค่ะ
ปล. พยายามจะลบแท็กกรุงเทพมหานครออกอยู่ค่ะ แต่ไม่สำเร็จ
กลุ้มใจ...ในขณะที่ตั้งใจจะยื่นจม.ลาออก เจ้านายกลับยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจมากๆต้องกลับมาคิดหนัก
องค์กรของเราเป็นองค์กรใหญ่ มีชื่อเสียงโด่งดัง มั่นคง ยาวนานและดีที่สุดในประเทศนี้(ในธุรกิจสาขานี้) มีเครือข่าย 50 ประเทศทั่วโลก ใครๆก็มองว่ามันสวยหรู แต่ใครจะรู้เราคิดลาออกวันนึงไม่ต่ำกว่าสิบหน เราเลยร่างจม.ลาออกเอาไว้ มีผลวันที่ 30 เม.ย. ตั้งใจจะยื่นเจ้านาย 1 มี.ค.นี้
เหตุผลน่ะหรอ จั่วเป็นข้อๆได้ดังนี้
1. ภายใต้ภาพลักษณ์อันเป็นสากล กลับมีระเบียบปฏิบัติ ขนบธรรมเนียม และแนวคิดในขององค์กรที่มันโบราณมากๆ แทบจะต้องคลานเข่าเข้าหาผู้ใหญ่เลยทีเดียว คนที่ถูกปลูกฝังเรื่องสิทธิความเท่าเทียมมาจากสถาบันศึกษาอย่างเรารู้สึกขัดตาขัดใจเป็นอย่างมาก ชั้นรับไม่ได้
2. เนื้องานในฝ่ายของเรายังบั่นทอนคุณภาพชีวิต และสิทธิส่วนบุคคลเสมอๆ บางครั้งเวลามีแขกชาว ตปท. เดินทางมาประเทศไทยเราต้องอยู่รอรับ ไม่ว่าไฟลท์จะถึงกี่โมงก็ตาม เวลาจะกลับก็ต้องส่งให้ถึงบันไดไปสู่ Passport Control (รอจนกว่าจะใกล้ Boarding นั่นแล) ซึ่งบางครั้งมันก็ตีหนึ่งตีสอง เราต้องนั่งแท็กซี่ออกจากบ้านมารับ หรือกลับบ้านคนเดียวในช่วงเวลาแบบนั้นเสมอๆ ใน 2-3 เดือน เราต้องเดินทางออก ตจว.เพื่อจัดประชุม จัดค่าย อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง ยิ่งช่วง ม.ค. ถึง มิ.ย. มีจัดประชุมจัดค่ายสัมนา ไม่ต่ำกว่า 10 งาน ในช่วงเวลาที่ออกนอกสถานที่เราต้องตื่นเช้าสุดตี 2 หรือบางงานกว่าจะได้เข้านอนก็ตี 1 บางงานไม่ได้นอนเลย 36 ช.ม. โดยที่คนในทีมมีกันอยู่ 9 คน ทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีการจ้าง Outsource หรือ Organizer มาจัดงานให้ ค่ายหรืองานที่เราจัดมีผู้เข้าร่วมประมาณ 10,20, 30, 50, 70, 100, 200, หรือ 300 คน แล้วแต่ประเภทโครงการ ซึ่ง คน 9 คน มันอยู่ในอัตรส่วนต่องานที่น้อยมาก นี่ยังไม่ตัดคนที่ใช้ปากทำงานออกไปนะคะ
3. อย่างที่บอกในทีมเรา มี 9 คน ในจำนวนนี้มีไดเรกเตอร์ 1 คน จึงเหลือคนที่ทำงาน 8 คน ใน 8 คนนี้ มีเมเนเจอร์ 3 คน จึงเหลือระดับปฏิบัติการจริงๆอยู่ 5 คน 4 คนข้างบนนั้นนอกจากกระจายงานให้ 5 คนที่เหลือ พวกนางยังมีหน้าที่ จ้องจับผิด งานที่รันมาดีๆ นางก็เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ประชุมตกลงกันแล้วว่างานจะเป็นแบบนี้ๆพอถึงหน้างานจริง พวงนางจำไม่ได้ ก็มาเปลี่ยนเอาตามใจ พอทีมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกระทันหัน(ต่างจากที่ตระเตรียมกันไว้)ไม่ทัน พวกนางก็จะเก็บทุกเม็ด เรียกประชุมในวันนั้นเลย(ย้ำ วันนั้นเลย ไม่รอให้งานเสร็จ กลับออฟฟิศค่อยว่ากัน) เพื่อต่อว่าต่อขาน ในสิ่งที่พวกนางคิดว่าพวกเราทำผิด (ทั้งๆที่คนผิดคือ...เอิ่มมมมมม) สร้างดราม่า ตบหัว ลูบหลัง งานแล้วงานเล่า
อ่อ ลืมบอกไปค่ะ 4 คนนี้ มีอายุงานเรียกได้ว่าเป็นปูชนียบุคคลเลยก็ว่าได้ 10 ปีขึ้นไปทั้งนั้น ส่วนระดับต๊อกต๋อยอย่างพวกเราไม่เคยมีใครอยู่เกิน 2 ปี ก่อนหน้าเรา มี Rotation อยู่สูงมาก ใน 5 ปี เปลี่ยน พนง.ไป 20 กว่าคน ทุกคนลาออกเองบ้าง มีเหตุร้ายต้องออกบ้าง มีความทรงจำที่ไม่ดีๆต่อกันเกือบทั้งนั้น
4. เงินเดือนน้อยเชียวค่ะ ตำแหน่งเรา 2 หมื่นกว่าๆ (น้อยมากกกกกก เมื่อเทียบกับปริมาณงาน) มีค่าพาหนะให้พนง.ทุกคนเพิ่มอีก 2,000 บาทต่อเดือน โดยไม่หักภาษี ไม่มีค่าโอที ไม่มีค่าเพอร์เดียม มีโพรวิเด้นท์ฟันด์ มีประกันชีวิตแบบกลุ่ม ค่ารักษาพยาบาลวันละ 3500 กรณีผู้ป่วยใน มีค่าทำฟันปีละ 5000 คุ้มครองเสียชีวิตที่ 1 ล้านบาท เอาเป็นว่าแผนกอื่นอยู่กันสบายๆยังไงก็คุ้ม แต่แผนกบู๊อย่างเรามีแต่เหนื่อยฟรี กับเหนื่อยฟรี
แต่ด้วยความที่เรา เป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง กล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ เป็นตัวของตัวเอง และพอมีผลงานให้เจ้านายมองเห็นอยู่เสมอ เราจึงเป็นลูกหม้อของทั้ง 4 คนนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เราไม่ใช่คนแนวประจบประแจงนะคะ เราเป็นคนตรง พูดความจริง แสกหน้าเจ้านายเงิบหมู่กันไปก็หลายครั้ง แต่แปลกนะที่พวกเขาก็ยังเอ็นดูยกย่องเรา เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆก็จะค่อนข้างชื่นชมเรา (คิดไปเองหรือเปล่านะ) เรื่องความร้ายกาจของสตรีทั้ง 4 นี้จึงไม่ได้มีผลกระทบกับชีวิตการทำงานของเรา เพราะเราค่อนข้างทำงานเป๊ะ ไม่พลาด เขาทำอะไรเราไม่ได้ แต่หลายๆครั้งที่เราต้องทนมองดูกิริยาที่พวกเขาทำต่อเพื่อนร่วมงานเรา ทัศนคติของพวกเขาที่มีต่อคน ต่องาน มันทำให้เราไม่ชอบใจอย่างมาก เราเป็นคนค่อนข้างแข็งและยึดหลักความถูกต้อง เราจึงคิดว่าอยู่กับคนพาลพวกนี้ต่อไป จิตใจเราคงแย่ เราเลยเตรียม จม.ลาออกปิดผนึกไว้อย่างดีและเตรียมยื่น 1 มี.ค. นี้
แต่เจ้านายของเราเลี้ยงพรายกระซิบไว้อย่างไรมิทราบ อยู่ๆเมื่อวานนางก็เรียกเราเข้าไปคุย ถามว่าเราคิดจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน
เราตอบแบบกำกวมเพื่อวัดใจว่าเขาจะมาไม้ไหน เขาก็บอกเรามาว่า "พอดีพี่อยากส่งเธอไปประชุมที่เยอรมัน เป็นโปรเจคที่ประชุมเสร็จต้องเอานโยบายกลับมาทำที่ไทย ด้วยโครงการ 1 ปี พี่เห็นว่าเป็นเรื่องที่เธอรับผิดชอบโดยตรงเลยส่งเธอไป ผู้ใหญ่ก็ติงนะว่าทำไมส่งเด็กใหม่ไป ปกติต้องมีอายุงานมาก่อน 3 ปีแต่พี่คิดว่าเธอเหมาะสมที่สุดแล้ว ดังนั้นถ้าพี่ส่งเธอไปจริงๆ เแล้วถ้าเธอกล้บมาไม่กี่เดือนลาออก มันจะเสียหายพี่นะเพราะอุตสาห์ขึ้นไปต่อรองกับบอร์ดมา ถ้าจะไปก็ตองอยู่กันเป็นปีๆ"
เราจึงตอบไปประมาณว่า เรื่องลาออกมันผุดมาตลอดเวลาค่ะ อย่างที่รู้งานเราหนัก และหนูเป็นคนแคร์สิทธิอะไรแบบนี้มาก หลายครั้งที่คิดว่าพอแล้ว ไม่ทำแล้ว แต่มันออกไม่ได้เพราะเวลาไม่เอื้ออำนวย commitment ในหน้าที่ของหนูก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ มีงานมาให้รับผิดชอบเพิ่มตลอดๆ(ดันมีความรับผิดชอบขึ้นมาซะงั้น) คิดเล่นๆว่าอาจจะไปหาความรู้ใหม่ๆภายในปีนี้ หรือไม่ก็ปีหน้า2558 ไวที่สุดคงจะเป็นธันวาปีนี้ค่ะ (หลอก ที่จริงเมษาคร่าาา) แต่รับรองค่ะ หนูบอกก่อนแน่ๆอย่างต่ำ 2 เดือน (ในใจคิด หาคนที่ทำได้สากกระเบือยันเรือรบแบบชั้นให้ได้เถอะ 2 เดือนเนี่ย ปล.หลงตัวเองอีกละ555)
เจ้านายทั้ง 4 ก็แอบอึ้งไปสักพัก หาเหตุผลมาหว่านล้อมว่าจะลาออกทำไม โอกาสที่เรามีนี่มันมากมายขนาดไหน
ให้เราลองมองข้อดีๆ ซึ่งมันก็มีมากมายนะ เช่น
1. บ้านใกล้ออฟฟิศ ขับรถ 20 นาทีถึง
2.เจ้านายรัก ทำอะไรถูกตาถูกใจ ถูกไปซะทุกเรื่อง คิดโต้แย้งก็ชอบ คิดเห็นด้วยก็ชอบ ภาระตัดสินใจอะไรน้อยใหญ่ก็มักจะถามความเห็นเราประกอบเสมอ บางทีเราพูดประชด หรือต่อว่าเขาตรงๆ พวกเขายังไม่ถือสาหาความ ยังขำคิดว่าเป็นเรื่องตลก หรือบางทีก็ยอมรับข้อบกพร่องของตัวเองไปซะงั้น เวลางานปกติไม่ต้องออกนอกสถานที่ เราเข้าสายนายไม่บ่น (เพราะตูกับดึกไง) เราจะเปิดเพลง เปิดยูทูปยังไงก็ได้ ไปกินข้าวกลางวันกลับมาเมื่อไหร่ก็ได้
3.มีโอกาสไป ตปท. เสมอๆ มีเบี้ยประชุมเหนาะๆวันละ 1 หมื่น(ใน ตปท. เท่านั้น) งานเยอรมันนี้ เราไป 7 วันค่ะ ได้ 7 หมื่น บินฟรี ที่พักฟรี วีซ่าเยอรมันที่ขอยากนักหนาก็ง่ายดายเพราะประชุมนี้จัดโดยกระทรวงๆหนึ่งในเยอรมัน ได้จม.รับรองขอวีซ่าอย่างดี เราคิดว่าไปทำงานที่ได้เงินเดือนเยอะกว่านี้ ก็คงยังไม่ได้ไปแน่ๆ ประเทศนี้ ถ้าไม่มีเครดิตรับรอง
4.งานสังสรรค์ไม่เคยขาด โรงแรมใหญ่ๆทั้งนั้น ไปทริปพักผ่อนประจำปีของบ.ทีนึงก็ไป 4-5 วัน เดินทางโดยเครื่องบินทั้งสิ้น หาใช่รถบัส หรือรถตู้ไม่
5.6.7. อาจจะมี คิดไม่ออกตอนนี้ค่ะ
ขอตัดจบเลยนะคะ สรุป เจ้านายบอกให้เราไปคิดมา
ว่าจะออกสิ้นธันวาจริงหรือ(คิดจะออกเม.ย.ค่า หนูหลอกค่ะเจ้านาย)
ยืดไปอีก 5-6 เดือน หรือไม่ออกเลย เพื่อมารับโปรเจคเยอรมันนี้ได้ไหม
เพื่อนๆว่าเราควรเลือกอะไรดีคะ ระหว่าง
-ลาออกจากงานทาสนี่ ไปสู่อนาคตที่สดใสกว่า (เชื่อว่าจะเป็นอย่างนั้น) เงินเยอะกว่า งานไม่ผิดเวล่ำเวลาแบบนี้ เคยมีคนเสนองานที่เงินเดือน 4 หมื่นให้เลย แต่เราไม่มีโอกาสไป เพราะเขาต้องการคนด่วน แต่เราต้องยื่นก่อน 1 เดือน แพลนงานเราก็ดันวางล่วงหน้าไปแล้วหลายเดือน ทุกวันนี้เรายังไม่มีงานใหม่ในใจ เรียกได้ว่ายังไม่รู้อนาคตเลยนั่นเอง ถ้าลาออกไป
หรือ
- คว้าโอกาสที่อยู่ตรงหน้า แล้วทนไปอีกอย่างต่ำ 1 ปี เคยผ่านมาแล้วทุกงาน ผ่านอีกครั้ง อีกปีจะเป็นอะไร
ช่วยเราคิดทีค่ะ
ปล. พยายามจะลบแท็กกรุงเทพมหานครออกอยู่ค่ะ แต่ไม่สำเร็จ