มื้อ
Sunday Brunch มักจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุดสำหรับห้องอาหารห้องนึงในโรงแรม หรือในโรงแรมแห่งนึงอยู่แล้ว แต่มีห้องอาหารห้องนึงที่ทำให้มื้อนี้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก exclusive ยิ่งขึ้นไปอีกโดยจัดแค่เดือนละครั้งแค่นั้นกับ Surf & Turf Champagne Brunch ของห้องอาหาร
Fifty Five (55) โรงแรม Centara Grand @ Central World แห่งนี้ โดยมื้อนี้จะจัดแค่เดือนละครั้งเท่านั้นโดยจะจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน
ในสนนราคา 3,555++ บาทต่อคนและสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ 11.30 - 15.00 น. คือหลาย ๆ ท่านคงเคยจะได้ยินความพิเศษความเป็น exclusive ของมื้อนี้กันมาบ้างแล้วเพราะว่ามื้อ Champagne Sunday Brunch แห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็น Sunday Brunch เจ้าแรก ๆ ในกรุงเทพเลย มีมาหลายปีแล้ว และตอนแรก ๆ คือมีจัดอาทิตย์เว้นอาทิตย์ และก็เริ่มต้นที่ราคา 2,555++ แต่คือพอเวลาผ่านไป ราคาปรับขึ้นมา ลดมื้อลงให้เหลือแค่เดือนละครั้ง จากเดิมที่อาจจะไม่ค่อยพิเศษอะไรมากนัก จนตอนนี้กลายเป็นมื้อที่แบบพิเศษสุด ๆ ทั้งข้อจำกัดด้านความถี่ที่จะมากินได้และคุณภาพอาหารและการบริการอันแสนจะเลอเลิศไปเรียบร้อยแล้ว
เริ่มกันที่เรื่องบรรยากาศก่อน ตัวห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้แม้ว่าชื่อร้านจะชื่อว่า 55 แต่คือจริง ๆ แล้วตัวร้านนั้นจะตั้งอยู่ที่ชั้น 54 แต่ว่าทางเข้าร้านจริง ๆ นั้นจะอยู่ที่ชั้น 55 และทางร้านต้องการให้ลูกค้าเดินลงมาผ่าน Wine Cellar เก๋ ๆ ของทางร้านก่อนจะไปนั่งยังโต๊ะอาหาร ที่วางตัวเป็นวงกลมตามโครงสร้างของตึก ที่นั่งแต่ละที่จะเห็นวิวสวย ๆ จากชั้น 54 ไม่แตกต่างกันมากนัก วันที่ผมไปเป็นวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างโปร่ง วิวจากชั้น 54 นี้ก็เลยค่อนข้างสวยงามมากเลย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจนอกจากบรรยากาศนอกโต๊ะอาหารก็คือบรรยากาศ "บน" โต๊ะอาหารล่ะครับ อุปการณ์, tableware ในมื้อนี้เป็นอะไรที่อลังการที่สุดที่ผมเคยเจอมาในมื้อบุฟเฟ่ต์เลย อุปกรณ์ในการกินมีให้ 6 แบบ, แก้วเครื่องดื่มมีให้ 6 แบบ คือแบบถ้าไม่รู้ว่านี่มากินบุฟเฟ่ต์นี่อาจจะคิดไปว่านี่มากินมื้อ full course ของอาหารฝรั่งเศสกันได้ง่าย ๆ เลย
ตัวเครื่องดื่มในมื้อ Surf & Turf Champagne Brunch ก็ตามชื่อเลยครับจะเน้นไปที่แชมเปญเป็นหลักโดยแชมเปญในมื้อนี้จะเป็นยี่ห้อ Lombard et Cie ไวน์จากแคว้นแชมเปญในย่าน Montagne de Reims West ที่ทางร้านมีให้เลือก 2 แบบคือแบบ Rose กับแบบธรรมดาสีทอง, ตัวไวน์ก็จะมีให้เลือกไวน์ขาวและไวน์แดงเป็นยี่ห้อ Wyndham Estate จากประเทศออสเตรเลีย, ตัวน้ำแร่ก็จะมีทั้ง still และ sparkling ให้เลือก ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นยี่ห้ออะไรไม่ทันได้ดูและพอดีดื่มแต่แชมเปญและไวน์เป็นหลัก ฮ่า ๆ ส่วนเครื่องดื่มอีกอย่างก็เป็นน้ำส้มเข้มข้นอร่อยดี ซึ่งเครื่องดื่มทั้งหลายทั้งปวงในมื้อนี้ทั้งหมดจะเป็น free flow หมด ไหลกันเข้ามาได้เรื่อย ๆ ถ้าเรารับไหว แน่นอนว่าแชมเปญในมื้อนี้อร่อยสมกับเป็นแชมเปญแท้ ๆ ครับ อย่างที่รู้กันว่าบ้านเราแชมเปญส่วนใหญ่ถ้าไปหาซื้อกันเองตาม grocery store ก็จะเริ่มต้นกันที่ 4,000 บาทโดยประมาณ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน และการที่ทางห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้มีทั้งแชมเปญธรรมดาและ Rose' ให้เลือก็เป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าเข้าไปอีก คือแค่จ่ายเงินมาดื่มแชมเปญชมวิวสวย ๆ แค่นี้ก็คุ้มแล้วนะผมว่า
ส่วนตัวอาหารก็จะแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 3 ประเภทคือแบบเดินไปหยิบกันเอาเอง, แบบสั่งให้ครัวปรุงมาให้และเสิร์ฟให้ที่โต๊ะเองโดยตรง (all-you-can-eat a la carte) และแบบที่พนักงานจะเข็นรถ trolley มาที่โต๊ะให้เราสั่งกันได้ตามสะดวกเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว Sunday Brunch ที่ผมเคยกิน ๆ มาก็มักจะมีสัดส่วนแบบที่เดินไปตักเองเยอะกว่า เพราะว่าจะได้สบายพนักงานที่สุด แต่คือของที่ Fifty Five (55) @ Centara Grand แห่งนี้เรียกได้ว่าอาหารทั้ง 3 แบบนี้สัดส่วนพอ ๆ กันเลยก็ว่าได้ครับ คือทำให้แบบ cost ในเรื่อง service สูงขึ้นมาอีกทำให้ราคาของที่นี่ค่อนข้างสูงไปด้วยนั่นเอง ก็มาไล่เรียงกันไปในแต่ละประเภทละกันนะครับ
แบบเดินไปหยิบกันเอาเอง
Cold Seafood: น่าจะเป็นอาหารทะเลแช่เย็นที่เจ๋งที่สุด, อลังการที่สุดที่ผมเคยกินมาในไลน์บุฟเฟ่ต์แล้วล่ะครับ
- ก้ามปูอลาสก้า ชิ้นใหญ่มาก มีแบบส่วนที่เป็นก้ามมาให้กินด้วย ซึ่งส่วนก้ามนี่บอกตรง ๆ ว่าผมไม่ค่อยจะเห็นเลย เห็นแต่ส่วนปล้องก่อนถึงก้ามมาตลอด และแบบแม้ว่าจะใหญ่ขนาดนี้แต่คือเนื้อด้านในนี่คือนุ่มหวานอร่อยมากเลย
- กุ้งดี ๆ เกือบทุกสายพันธุ์บนโลกนี้มีทั้ง Maine Lobster, Lobster จากแอฟริกาใต้ (เพิ่งจะเคยกินนี่แหละครับ เอาจริง ๆ เพิ่งเคยเห็นด้วยซ้ำ), กุ้งลายเสือแกะเปลือกมาให้เรียบร้อย และก็กุ้งอะไรอีกอย่างนึงตัวเล็ก ๆ ผมลืมถามเค้ามาว่าเป็นอะไร คือแบบที่อื่นที่เคยกินมานี่คือ Maine Lobster จะให้อย่างมากก็แค่คนละตัว (ส่วนใหญ่ครึ่งตัวด้วยซ้ำ) แต่คือที่นี่คืออยากจะหยิบเท่าไรก็หยิบได้เลย ก็คิดซะว่าไปกินแบบ a la carte ตามร้านส่วนใหญ่ก็โลละ 2,000 บาทโดยประมาณ กินสักตัวครึ่งก็เหมือนกินไป 2,000 บาทแล้วอะไรแบบนั้น
- หอยนางรม: หอยนางรมของที่นี่จะเป็นแบบสด ๆ ยังไม่ได้แกะเปลือกเลย โดยจะมีนำเข้ามาจาก 4 ที่จากฝรั่งเศส (Fine de Claire), ญี่ปุ่น (Tsarskaya), แคนาดา (Perle Blanche) และจากอีกที่นึงผมไม่แน่ใจว่าที่ไหน แน่นอนครับหอยนางรมแต่ละคำสดหวานหอมน้ำทะเลอยู่แล้วเพราะว่าแกะกันสด ๆ แต่แบบแอบเสียดายอย่างที่หอยนางรมที่ทางร้านคัด size มาเหมือนจะเป็น size ที่ไม่ค่อยใหญ่นัก กินแล้วแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำดี
- อื่น ๆ: หอยใบมีดโกน หรือหอยหลอดฝรั่งเศส (Razor Clam) ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ที่มีให้สั่งครับ อร่อยดี เนื้อเด้ง ๆ หนึบ ๆ | คาร์เวียร์มีให้เลือกกิน 2 แบบ (ไม่แน่ใจว่าต่างกันที่ยี่ห้อหรือสายพันธุ์ พอดีผมก็ไม่ค่อยพิสมัยเจ้าไข่ปลาราคาแพงนี่สักเท่าไร)| ไข่ปลาแซลมอน คุณภาพดีพอ ๆ กับไข่ปลาแซลมอนของพวกร้าน Sushi เลย เค็ม มัน แตกในปลากินเพลินมากครับ
Sashimi: ซุ้มนี้ก็จะมีอาหารให้เลือกแค่ 3 อย่างแค่นั้นและเป็นของดิบทั้งหมดเลย ประกอบด้วย
- เนื้อวัวทาจิมะ วากิว (Tajima Wagyu): ผมไม่แน่ใจว่ามาจากเขตไหน และเนื้อ A อะไร แต่เท่าที่เห็นและได้กินนี่น่าจะประมาณ A4 นะครับ เนื้อร่อย กินแบบดิบ ๆ ได้เลย คือจะกินทั้งเป็น Sushi ก็ได้หรือจะเป็น Sashimi ก็ดี กินเข้าคู่กับวาซาบิคุณภาพดีของทางร้านได้อย่างลงตัว
- เนื้อ Maine Lobster แบบดิบ ๆ อันนี้กินเป็นซาซิมิครับ ใครที่เคย ๆ กินกุ้งมังกรซาซิมิคงรู้ดีว่าถ้ากุ้งสดนี่ก็คือเห็นสวรรค์อยู่รำไรล่ะ เนื้อจะหวาน นุ่ม อร่อยแบบไม่ต้องจิ้มอะไรเลยก็ได้
- หอยเม่น (Uni): ไม่ค่อย work อยู่อย่างเดียวในซุ้มนี้นะครับ คือแบบเห็นหน้าตาตั้งแต่ตอนก่อนกินก็แบบพอเดาได้เลย คือแบบสีมันดูไม่สดเลย ออกแนวเหลืองคล้ำ ๆ และพอกินแล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เนื้อไม่หวานและก็ไม่ค่อยฉ่ำ
แบบสั่งให้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ มีให้เลือกค่อนข้างเยอะครับ ไล่เรียงกันไปเฉพาะที่ผมได้สั่งละกัน
- หอยนางรมฝรั่งเศส เอาไปทำมา 2 แบบอบเนยกับราดซอสเปรี้ยว ๆ มา (Fines de Claires Mornay กับ Fines de Claires Kilpatrick) คือปกติหอยนางรมเรามักจะกินกันเย็น ๆ สด ๆ ใช่มั้ยล่ะครับพอเป็นแบบนี้แล้วก็ได้ไปอีกฟิลดีอร่อยไปอีกแบบ
- Diver Scallops in their shell, Noilly Prat & chive beurre blanc: หรือหอยเชลล์ (โอตาเตะ) ตัวใหญ่ ๆ เสิร์ฟกันมาทั้งเปลือกวางอยู่บนเกลือสีฟ้าที่แบบยังกะจานนี้เป็น a la carte จานละหลายร้อยตามร้านอาหารฝรั่งเศสแนะ อร่อยมากครับจานนี้ หอยหวาน ย่างมาแบบข้างนอกเกรียมกำลังดี ความอร่อยนั้นได้ทั้งจากตัวเนื้อหอยเองและจากน้ำของหอยที่ถูกย่างและทะลักออกมากองบนเปลือก
- Lobster "langouste" thermidor: ค่อนข้างมาตรฐานครับสำหรับอาหารสุดคลาสสิคจากกุ้งมังกรจานนี้
- Charcoal grilled USDA prime tenderloin: เนื้อเกรดสุดยอดจากฝั่งอเมริกากับเนื้อสันในเกรด USDA Prime และจากการที่ห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้เค้าเป็นร้าน Steakhouse อยู่แล้วแน่นอนว่าสเต็กจานนี้อร่อยล้ำไร้ที่ติอยู่แล้ว คือจานนี้เอาจริง ๆ ถ้าไปกิน a la carte นี่น่าจะประมาณสัก 2,000 บาทได้เลยครับ เสียดายผมมาได้เอาตอนหลัง ๆ กินไม่ค่อยไหวแล้ว ถ้ารู้ว่าเจ๋งขนาดนี้คงกินตอนแรก ๆ ไปเยอะ ๆ หลายจานล่ะ
- Pan seared duck foie gras with saffron pear: ตับห่านแบบแรก ตับห่านคุณภาพดี กินแบบค่อนข้างคลาสสิคหน่อยกับซอสเปรี้ยว ๆ และได้ความหวานจากลูกแพรที่ฝานมา ทั้งหมดผสมผสานกันอย่าลงตัวเป็น foie gras แบบคลาสสิค
- Sauteed mixed mushrooms with foie gras: อันนี้ไม่เคยกินมาก่อนครับเป็นตับห่านเอาไปราดซอสด้วยซอสเค็ม ๆ เปรี้ยวๆ และก็เสิร์ฟพร้อมเห็ดก็อร่อยไปอีกแบบให้รสชาติคนละแบบกับตับห่านจานก่อนหน้าแต่ก็อร่อยไปด้วยกันทั้งคู่
- Hot smoked salmon, creamy chantarelles: เนื้อ salmon ชิ้นหนามาก รมควันมาแบบหอม ๆ และก็เนื้อแอบ denature ไปพอสมควร สุกนิด ๆ แต่ก็ยังแฝงความดิบไว้อย่างลงตัว และก็มีการราดซอสแบบครีมมี่ ๆ มาหน่อย เค็ม ๆ มัน ๆ เข้ากันดีกับเนื้อปลา
[SR] สุดยอด Sunday Brunch - แชมเปญ, เนื้อวากิว, คาร์เวียร์, ลอบสเตอร์ จัดเต็มแบบ all-you-can-eat ณ 55 Centara Grand @CTW
มื้อ Sunday Brunch มักจะเป็นมื้อที่พิเศษที่สุดสำหรับห้องอาหารห้องนึงในโรงแรม หรือในโรงแรมแห่งนึงอยู่แล้ว แต่มีห้องอาหารห้องนึงที่ทำให้มื้อนี้พิเศษยิ่งขึ้นไปอีก exclusive ยิ่งขึ้นไปอีกโดยจัดแค่เดือนละครั้งแค่นั้นกับ Surf & Turf Champagne Brunch ของห้องอาหาร Fifty Five (55) โรงแรม Centara Grand @ Central World แห่งนี้ โดยมื้อนี้จะจัดแค่เดือนละครั้งเท่านั้นโดยจะจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน ในสนนราคา 3,555++ บาทต่อคนและสามารถรับประทานได้ตั้งแต่ 11.30 - 15.00 น. คือหลาย ๆ ท่านคงเคยจะได้ยินความพิเศษความเป็น exclusive ของมื้อนี้กันมาบ้างแล้วเพราะว่ามื้อ Champagne Sunday Brunch แห่งนี้ก็เรียกได้ว่าเป็น Sunday Brunch เจ้าแรก ๆ ในกรุงเทพเลย มีมาหลายปีแล้ว และตอนแรก ๆ คือมีจัดอาทิตย์เว้นอาทิตย์ และก็เริ่มต้นที่ราคา 2,555++ แต่คือพอเวลาผ่านไป ราคาปรับขึ้นมา ลดมื้อลงให้เหลือแค่เดือนละครั้ง จากเดิมที่อาจจะไม่ค่อยพิเศษอะไรมากนัก จนตอนนี้กลายเป็นมื้อที่แบบพิเศษสุด ๆ ทั้งข้อจำกัดด้านความถี่ที่จะมากินได้และคุณภาพอาหารและการบริการอันแสนจะเลอเลิศไปเรียบร้อยแล้ว
เริ่มกันที่เรื่องบรรยากาศก่อน ตัวห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้แม้ว่าชื่อร้านจะชื่อว่า 55 แต่คือจริง ๆ แล้วตัวร้านนั้นจะตั้งอยู่ที่ชั้น 54 แต่ว่าทางเข้าร้านจริง ๆ นั้นจะอยู่ที่ชั้น 55 และทางร้านต้องการให้ลูกค้าเดินลงมาผ่าน Wine Cellar เก๋ ๆ ของทางร้านก่อนจะไปนั่งยังโต๊ะอาหาร ที่วางตัวเป็นวงกลมตามโครงสร้างของตึก ที่นั่งแต่ละที่จะเห็นวิวสวย ๆ จากชั้น 54 ไม่แตกต่างกันมากนัก วันที่ผมไปเป็นวันที่ท้องฟ้าค่อนข้างโปร่ง วิวจากชั้น 54 นี้ก็เลยค่อนข้างสวยงามมากเลย อีกสิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจนอกจากบรรยากาศนอกโต๊ะอาหารก็คือบรรยากาศ "บน" โต๊ะอาหารล่ะครับ อุปการณ์, tableware ในมื้อนี้เป็นอะไรที่อลังการที่สุดที่ผมเคยเจอมาในมื้อบุฟเฟ่ต์เลย อุปกรณ์ในการกินมีให้ 6 แบบ, แก้วเครื่องดื่มมีให้ 6 แบบ คือแบบถ้าไม่รู้ว่านี่มากินบุฟเฟ่ต์นี่อาจจะคิดไปว่านี่มากินมื้อ full course ของอาหารฝรั่งเศสกันได้ง่าย ๆ เลย
ตัวเครื่องดื่มในมื้อ Surf & Turf Champagne Brunch ก็ตามชื่อเลยครับจะเน้นไปที่แชมเปญเป็นหลักโดยแชมเปญในมื้อนี้จะเป็นยี่ห้อ Lombard et Cie ไวน์จากแคว้นแชมเปญในย่าน Montagne de Reims West ที่ทางร้านมีให้เลือก 2 แบบคือแบบ Rose กับแบบธรรมดาสีทอง, ตัวไวน์ก็จะมีให้เลือกไวน์ขาวและไวน์แดงเป็นยี่ห้อ Wyndham Estate จากประเทศออสเตรเลีย, ตัวน้ำแร่ก็จะมีทั้ง still และ sparkling ให้เลือก ซึ่งผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นยี่ห้ออะไรไม่ทันได้ดูและพอดีดื่มแต่แชมเปญและไวน์เป็นหลัก ฮ่า ๆ ส่วนเครื่องดื่มอีกอย่างก็เป็นน้ำส้มเข้มข้นอร่อยดี ซึ่งเครื่องดื่มทั้งหลายทั้งปวงในมื้อนี้ทั้งหมดจะเป็น free flow หมด ไหลกันเข้ามาได้เรื่อย ๆ ถ้าเรารับไหว แน่นอนว่าแชมเปญในมื้อนี้อร่อยสมกับเป็นแชมเปญแท้ ๆ ครับ อย่างที่รู้กันว่าบ้านเราแชมเปญส่วนใหญ่ถ้าไปหาซื้อกันเองตาม grocery store ก็จะเริ่มต้นกันที่ 4,000 บาทโดยประมาณ ไม่ว่าจะยี่ห้อไหน และการที่ทางห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้มีทั้งแชมเปญธรรมดาและ Rose' ให้เลือก็เป็นอะไรที่ช่วยเพิ่มความคุ้มค่าเข้าไปอีก คือแค่จ่ายเงินมาดื่มแชมเปญชมวิวสวย ๆ แค่นี้ก็คุ้มแล้วนะผมว่า
ส่วนตัวอาหารก็จะแบ่งได้หลัก ๆ เป็น 3 ประเภทคือแบบเดินไปหยิบกันเอาเอง, แบบสั่งให้ครัวปรุงมาให้และเสิร์ฟให้ที่โต๊ะเองโดยตรง (all-you-can-eat a la carte) และแบบที่พนักงานจะเข็นรถ trolley มาที่โต๊ะให้เราสั่งกันได้ตามสะดวกเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว Sunday Brunch ที่ผมเคยกิน ๆ มาก็มักจะมีสัดส่วนแบบที่เดินไปตักเองเยอะกว่า เพราะว่าจะได้สบายพนักงานที่สุด แต่คือของที่ Fifty Five (55) @ Centara Grand แห่งนี้เรียกได้ว่าอาหารทั้ง 3 แบบนี้สัดส่วนพอ ๆ กันเลยก็ว่าได้ครับ คือทำให้แบบ cost ในเรื่อง service สูงขึ้นมาอีกทำให้ราคาของที่นี่ค่อนข้างสูงไปด้วยนั่นเอง ก็มาไล่เรียงกันไปในแต่ละประเภทละกันนะครับ
แบบเดินไปหยิบกันเอาเอง
Cold Seafood: น่าจะเป็นอาหารทะเลแช่เย็นที่เจ๋งที่สุด, อลังการที่สุดที่ผมเคยกินมาในไลน์บุฟเฟ่ต์แล้วล่ะครับ
- ก้ามปูอลาสก้า ชิ้นใหญ่มาก มีแบบส่วนที่เป็นก้ามมาให้กินด้วย ซึ่งส่วนก้ามนี่บอกตรง ๆ ว่าผมไม่ค่อยจะเห็นเลย เห็นแต่ส่วนปล้องก่อนถึงก้ามมาตลอด และแบบแม้ว่าจะใหญ่ขนาดนี้แต่คือเนื้อด้านในนี่คือนุ่มหวานอร่อยมากเลย
- กุ้งดี ๆ เกือบทุกสายพันธุ์บนโลกนี้มีทั้ง Maine Lobster, Lobster จากแอฟริกาใต้ (เพิ่งจะเคยกินนี่แหละครับ เอาจริง ๆ เพิ่งเคยเห็นด้วยซ้ำ), กุ้งลายเสือแกะเปลือกมาให้เรียบร้อย และก็กุ้งอะไรอีกอย่างนึงตัวเล็ก ๆ ผมลืมถามเค้ามาว่าเป็นอะไร คือแบบที่อื่นที่เคยกินมานี่คือ Maine Lobster จะให้อย่างมากก็แค่คนละตัว (ส่วนใหญ่ครึ่งตัวด้วยซ้ำ) แต่คือที่นี่คืออยากจะหยิบเท่าไรก็หยิบได้เลย ก็คิดซะว่าไปกินแบบ a la carte ตามร้านส่วนใหญ่ก็โลละ 2,000 บาทโดยประมาณ กินสักตัวครึ่งก็เหมือนกินไป 2,000 บาทแล้วอะไรแบบนั้น
- หอยนางรม: หอยนางรมของที่นี่จะเป็นแบบสด ๆ ยังไม่ได้แกะเปลือกเลย โดยจะมีนำเข้ามาจาก 4 ที่จากฝรั่งเศส (Fine de Claire), ญี่ปุ่น (Tsarskaya), แคนาดา (Perle Blanche) และจากอีกที่นึงผมไม่แน่ใจว่าที่ไหน แน่นอนครับหอยนางรมแต่ละคำสดหวานหอมน้ำทะเลอยู่แล้วเพราะว่าแกะกันสด ๆ แต่แบบแอบเสียดายอย่างที่หอยนางรมที่ทางร้านคัด size มาเหมือนจะเป็น size ที่ไม่ค่อยใหญ่นัก กินแล้วแบบไม่ค่อยเต็มปากเต็มคำดี
- อื่น ๆ: หอยใบมีดโกน หรือหอยหลอดฝรั่งเศส (Razor Clam) ที่นี่ก็เป็นหนึ่งในไม่กี่ที่ที่มีให้สั่งครับ อร่อยดี เนื้อเด้ง ๆ หนึบ ๆ | คาร์เวียร์มีให้เลือกกิน 2 แบบ (ไม่แน่ใจว่าต่างกันที่ยี่ห้อหรือสายพันธุ์ พอดีผมก็ไม่ค่อยพิสมัยเจ้าไข่ปลาราคาแพงนี่สักเท่าไร)| ไข่ปลาแซลมอน คุณภาพดีพอ ๆ กับไข่ปลาแซลมอนของพวกร้าน Sushi เลย เค็ม มัน แตกในปลากินเพลินมากครับ
Sashimi: ซุ้มนี้ก็จะมีอาหารให้เลือกแค่ 3 อย่างแค่นั้นและเป็นของดิบทั้งหมดเลย ประกอบด้วย
- เนื้อวัวทาจิมะ วากิว (Tajima Wagyu): ผมไม่แน่ใจว่ามาจากเขตไหน และเนื้อ A อะไร แต่เท่าที่เห็นและได้กินนี่น่าจะประมาณ A4 นะครับ เนื้อร่อย กินแบบดิบ ๆ ได้เลย คือจะกินทั้งเป็น Sushi ก็ได้หรือจะเป็น Sashimi ก็ดี กินเข้าคู่กับวาซาบิคุณภาพดีของทางร้านได้อย่างลงตัว
- เนื้อ Maine Lobster แบบดิบ ๆ อันนี้กินเป็นซาซิมิครับ ใครที่เคย ๆ กินกุ้งมังกรซาซิมิคงรู้ดีว่าถ้ากุ้งสดนี่ก็คือเห็นสวรรค์อยู่รำไรล่ะ เนื้อจะหวาน นุ่ม อร่อยแบบไม่ต้องจิ้มอะไรเลยก็ได้
- หอยเม่น (Uni): ไม่ค่อย work อยู่อย่างเดียวในซุ้มนี้นะครับ คือแบบเห็นหน้าตาตั้งแต่ตอนก่อนกินก็แบบพอเดาได้เลย คือแบบสีมันดูไม่สดเลย ออกแนวเหลืองคล้ำ ๆ และพอกินแล้วก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ เนื้อไม่หวานและก็ไม่ค่อยฉ่ำ
แบบสั่งให้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ มีให้เลือกค่อนข้างเยอะครับ ไล่เรียงกันไปเฉพาะที่ผมได้สั่งละกัน
- หอยนางรมฝรั่งเศส เอาไปทำมา 2 แบบอบเนยกับราดซอสเปรี้ยว ๆ มา (Fines de Claires Mornay กับ Fines de Claires Kilpatrick) คือปกติหอยนางรมเรามักจะกินกันเย็น ๆ สด ๆ ใช่มั้ยล่ะครับพอเป็นแบบนี้แล้วก็ได้ไปอีกฟิลดีอร่อยไปอีกแบบ
- Diver Scallops in their shell, Noilly Prat & chive beurre blanc: หรือหอยเชลล์ (โอตาเตะ) ตัวใหญ่ ๆ เสิร์ฟกันมาทั้งเปลือกวางอยู่บนเกลือสีฟ้าที่แบบยังกะจานนี้เป็น a la carte จานละหลายร้อยตามร้านอาหารฝรั่งเศสแนะ อร่อยมากครับจานนี้ หอยหวาน ย่างมาแบบข้างนอกเกรียมกำลังดี ความอร่อยนั้นได้ทั้งจากตัวเนื้อหอยเองและจากน้ำของหอยที่ถูกย่างและทะลักออกมากองบนเปลือก
- Lobster "langouste" thermidor: ค่อนข้างมาตรฐานครับสำหรับอาหารสุดคลาสสิคจากกุ้งมังกรจานนี้
- Charcoal grilled USDA prime tenderloin: เนื้อเกรดสุดยอดจากฝั่งอเมริกากับเนื้อสันในเกรด USDA Prime และจากการที่ห้องอาหาร Fifty Five (55) แห่งนี้เค้าเป็นร้าน Steakhouse อยู่แล้วแน่นอนว่าสเต็กจานนี้อร่อยล้ำไร้ที่ติอยู่แล้ว คือจานนี้เอาจริง ๆ ถ้าไปกิน a la carte นี่น่าจะประมาณสัก 2,000 บาทได้เลยครับ เสียดายผมมาได้เอาตอนหลัง ๆ กินไม่ค่อยไหวแล้ว ถ้ารู้ว่าเจ๋งขนาดนี้คงกินตอนแรก ๆ ไปเยอะ ๆ หลายจานล่ะ
- Pan seared duck foie gras with saffron pear: ตับห่านแบบแรก ตับห่านคุณภาพดี กินแบบค่อนข้างคลาสสิคหน่อยกับซอสเปรี้ยว ๆ และได้ความหวานจากลูกแพรที่ฝานมา ทั้งหมดผสมผสานกันอย่าลงตัวเป็น foie gras แบบคลาสสิค
- Sauteed mixed mushrooms with foie gras: อันนี้ไม่เคยกินมาก่อนครับเป็นตับห่านเอาไปราดซอสด้วยซอสเค็ม ๆ เปรี้ยวๆ และก็เสิร์ฟพร้อมเห็ดก็อร่อยไปอีกแบบให้รสชาติคนละแบบกับตับห่านจานก่อนหน้าแต่ก็อร่อยไปด้วยกันทั้งคู่
- Hot smoked salmon, creamy chantarelles: เนื้อ salmon ชิ้นหนามาก รมควันมาแบบหอม ๆ และก็เนื้อแอบ denature ไปพอสมควร สุกนิด ๆ แต่ก็ยังแฝงความดิบไว้อย่างลงตัว และก็มีการราดซอสแบบครีมมี่ ๆ มาหน่อย เค็ม ๆ มัน ๆ เข้ากันดีกับเนื้อปลา