ขันธ์ ๕ (สรุปก็คือ ร่างกาย กับ จิตหรือใจ) ตามความเชื่อ (จากตำราหรือจากคนอื่น) ก็คือ เมื่อร่างกายตาย ถ้าจิตยังมีอวิชชา หรือกิเลสอยู่และยังไม่หมดกรรม ก็ยังจะมีจิตเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีกเพื่อกับผลกรรม ซึ่งบางคนก็เชื่อว่าจิต (หรือวิญญาณ ) จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้เพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่เพื่อรับผลกรรม หรือบางคนก็เชื่อว่า ไม่มีจิตไปเกิด แต่จะมี อวิชชา หรือ กิเลส หรือ วิบากกรรม เป็นต้น เป็นเหตุให้เกิดจิตใหม่ในร่างกายใหม่ขึ้นมาได้แทนเพื่อรับผลกรรม ที่สรุปรวมเรียกว่าเป็น "การเวียนว่ายตาย-เกิดทางร่างกาย" ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ที่ปลอมปนอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน ซึ่งนี่คือลักษณะของจิตที่เป็น อัตตา หรือ ตัวตนอมตะ ที่ไม่มีวันตายหรือดับหายไปอย่างเด็ดขาด ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งความเชื่อว่าจิตเป็นตัวตนอมตะนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อว่ามี นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ชนิดที่เป็นบุคคลตัวตน และความเชื่อเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นขึ้นมา ซึ่งคำสอนนี้ก็ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพระพุทธเจ้าหลังพุทธปรินิพพาน มาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว
ส่วนขันธ์ ๕ (คือร่างกายและจิต) ตามที่เป็นอยู่จริง นั้นก็คือ การที่ร่างกายและจิต จะต้องอาศัยเหตุ (ต้นเหตุ) และปัจจัย (สิ่งสนับสนุน) มาร่วมกันปรุงแต่ง (หรือสร้าง หรือ ประกอบ) ให้เกิดขึ้นมาชั่วคราว (คือไม่ถาวร หรือไม่เป็นอมตะ) เท่านั้น เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัย ที่มาปรุงแต่งนั้นเกิดขึ้น ร่างกายและจิต จึงจะเกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัยที่มาปรุงแต่งนั้นยังตั้งอยู่ ร่างกายและจิต ก็จะยังตั้งอยู่ เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้ร่างกายและจิตให้ตั้งอยู่นั้นได้ดับหายไป ร่างกายและจิตก็จะต้องแตก (ใช้กับร่างกาย) และดับ (ใช้กับจิตใจ) ตามไปในทันที และไม่มีเหตุและปัจจัยใด ที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ ดังนั้นทั้งร่างกายและจิต จึงไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดร (หรือเป็นอมตะ) ได้ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของความไม่เที่ยงแท้ถาวร หรือความไม่เป็นตัวตนอมตะ ของร่างกายและจิต (อนิจจัง-ไม่เที่ยง) อีกทั้งเมื่อร่างกายและจิตยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีสภาวะที่ต้องทนอยู่อีกด้วย (ทุกขัง-ต้องทน) ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะทั้งร่างกายและจิต ไม่ได้มีตัวตนเป็นของตนเองเลย (อนัตตา-ไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่ตัวตนอมตะ) ซึ่งนี่ก็คือลักษณะพื้นฐานของจิตทั้งหลาย ที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ไม่มีอะไรจะอยู่นอกเหนือกฏสูงสุดของธรรมชาตินี้ไปได้
เมื่อเราพิจารณาร่างกายและจิตตามความจริงแล้วเราก็จะพบว่า ทั้งร่างกายและจิตก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น โดยร่างกายก็ต้องมีพ่อและแม่มาเป็เหตุ และมี อาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์ มาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา ส่วนจิตก็ต้องมีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่มาเป็นเหตุปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (หรือวิญญาณ) ขึ้นมา และมีความทรงจากจากสมอง (ความทรงจำก็มาจากการที่จิตได้รับรู้สิ่งต่างภายนอกผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายมาตลอดทั้งชีวิต) มาเป็นปัจจัย ร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตขึ้นมาอีกที เมื่อไม่มีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่มีจิต เพราะจิตต้องอาศัยร่างกายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็คือขันธ์ ๕ หรือร่างกายกับจิตตามที่เป็นอยู่จริง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และเมื่อไม่มีเรื่องการเกิดใหม่ จึงทำให้เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ชนิดที่เป็นบุคคลตัวตน และความเชื่อเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้
สรุปได้ว่า ชาวพุทธเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน จะเชื่อไปตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ เรื่องจิตเป็นอัตตา ที่ปลอมปนอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนาว่า “ถ้าจิตยังมีอวิชชาหรือกิเลสอยู่ จิตของคนเรานี้ก็จะยังมีการเกิดใหม่ได้อีกแม้ร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม” แต่เมื่อมาศึกษาจิตจากจิตของเราเองจริงๆตามหลักอนัตตาของพระพุทธเจ้าแล้วกลับพบว่า "จิตเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากร่างกายเท่านั้น ซึ่งความจริงนี้ก็แสดงถึงว่า เมื่อร่างกายตาย จิตเก่านี้ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก" จึงทำให้ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตาย-เกิดตามคำสอนของพราหมณ์ ไม่ยอมรับความจริงเรื่องจิตเป็นอนัตตาของพระพุทธเจ้านี้ รวมทั้งพยายามไม่นำหลักอนัตตานี้มาสอนกันอย่างจริงจัง เพราะกลัวว่าจะขัดแย้งกับความเชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตาตามหลักของศาสนาพราหมณ์ และถ้าใครนำเรื่องจิตเป็นอนัตตามาสอน ก็จะถูกมองว่าทำลายพุทธศาสนา หรือเป็นคนนอกพุทธศาสนาไป แต่ปากของชาวพุทธก็ยังพูดว่าจิตเป็นอนัตตาอยู่ ทั้งๆที่เข้าใจความหมายว่าเป็นอัตตาไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนี่ก็คือการที่ชาวพุทธยึดถือแต่ความเชื่อโดยไม่ยอมรับความจริง แม้จะมีทั้งเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบาย และมีความจริงมายืนยันก็ตาม แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้อย่างไร?
สาเหตุที่ชาวพุทธไม่ยอมรับเรื่องขันธ์ ๕ เป็นอนัตตา
ส่วนขันธ์ ๕ (คือร่างกายและจิต) ตามที่เป็นอยู่จริง นั้นก็คือ การที่ร่างกายและจิต จะต้องอาศัยเหตุ (ต้นเหตุ) และปัจจัย (สิ่งสนับสนุน) มาร่วมกันปรุงแต่ง (หรือสร้าง หรือ ประกอบ) ให้เกิดขึ้นมาชั่วคราว (คือไม่ถาวร หรือไม่เป็นอมตะ) เท่านั้น เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัย ที่มาปรุงแต่งนั้นเกิดขึ้น ร่างกายและจิต จึงจะเกิดขึ้น เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัยที่มาปรุงแต่งนั้นยังตั้งอยู่ ร่างกายและจิต ก็จะยังตั้งอยู่ เมื่อสิ่งที่เป็นเหตุหรือปัจจัยที่มาปรุงแต่งให้ร่างกายและจิตให้ตั้งอยู่นั้นได้ดับหายไป ร่างกายและจิตก็จะต้องแตก (ใช้กับร่างกาย) และดับ (ใช้กับจิตใจ) ตามไปในทันที และไม่มีเหตุและปัจจัยใด ที่จะเกิดขึ้นมาแล้วจะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้ ดังนั้นทั้งร่างกายและจิต จึงไม่สามารถที่จะตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดร (หรือเป็นอมตะ) ได้ ซึ่งนี่ก็คือลักษณะของความไม่เที่ยงแท้ถาวร หรือความไม่เป็นตัวตนอมตะ ของร่างกายและจิต (อนิจจัง-ไม่เที่ยง) อีกทั้งเมื่อร่างกายและจิตยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีสภาวะที่ต้องทนอยู่อีกด้วย (ทุกขัง-ต้องทน) ซึ่งนี่ก็เป็นเพราะทั้งร่างกายและจิต ไม่ได้มีตัวตนเป็นของตนเองเลย (อนัตตา-ไม่ใช่อัตตาหรือไม่ใช่ตัวตนอมตะ) ซึ่งนี่ก็คือลักษณะพื้นฐานของจิตทั้งหลาย ที่ต้องตกอยู่ภายใต้กฏอิทัปปัจจยตา อันเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ ที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ไม่มีอะไรจะอยู่นอกเหนือกฏสูงสุดของธรรมชาตินี้ไปได้
เมื่อเราพิจารณาร่างกายและจิตตามความจริงแล้วเราก็จะพบว่า ทั้งร่างกายและจิตก็เป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น โดยร่างกายก็ต้องมีพ่อและแม่มาเป็เหตุ และมี อาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์ มาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา ส่วนจิตก็ต้องมีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่มาเป็นเหตุปรุงแต่งให้เกิดการรับรู้ (หรือวิญญาณ) ขึ้นมา และมีความทรงจากจากสมอง (ความทรงจำก็มาจากการที่จิตได้รับรู้สิ่งต่างภายนอกผ่านมาทางตา หู จมูก ลิ้น และกายมาตลอดทั้งชีวิต) มาเป็นปัจจัย ร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตขึ้นมาอีกที เมื่อไม่มีร่างกายที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่มีจิต เพราะจิตต้องอาศัยร่างกายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็คือขันธ์ ๕ หรือร่างกายกับจิตตามที่เป็นอยู่จริง ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดใหม่ได้ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ และเมื่อไม่มีเรื่องการเกิดใหม่ จึงทำให้เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม ชนิดที่เป็นบุคคลตัวตน และความเชื่อเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้นนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้
สรุปได้ว่า ชาวพุทธเกือบทั้งหมดในปัจจุบัน จะเชื่อไปตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์ เรื่องจิตเป็นอัตตา ที่ปลอมปนอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนาว่า “ถ้าจิตยังมีอวิชชาหรือกิเลสอยู่ จิตของคนเรานี้ก็จะยังมีการเกิดใหม่ได้อีกแม้ร่างกายจะตายไปแล้วก็ตาม” แต่เมื่อมาศึกษาจิตจากจิตของเราเองจริงๆตามหลักอนัตตาของพระพุทธเจ้าแล้วกลับพบว่า "จิตเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากร่างกายเท่านั้น ซึ่งความจริงนี้ก็แสดงถึงว่า เมื่อร่างกายตาย จิตเก่านี้ก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก" จึงทำให้ชาวพุทธที่เชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตาย-เกิดตามคำสอนของพราหมณ์ ไม่ยอมรับความจริงเรื่องจิตเป็นอนัตตาของพระพุทธเจ้านี้ รวมทั้งพยายามไม่นำหลักอนัตตานี้มาสอนกันอย่างจริงจัง เพราะกลัวว่าจะขัดแย้งกับความเชื่อเรื่องจิตเป็นอัตตาตามหลักของศาสนาพราหมณ์ และถ้าใครนำเรื่องจิตเป็นอนัตตามาสอน ก็จะถูกมองว่าทำลายพุทธศาสนา หรือเป็นคนนอกพุทธศาสนาไป แต่ปากของชาวพุทธก็ยังพูดว่าจิตเป็นอนัตตาอยู่ ทั้งๆที่เข้าใจความหมายว่าเป็นอัตตาไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งนี่ก็คือการที่ชาวพุทธยึดถือแต่ความเชื่อโดยไม่ยอมรับความจริง แม้จะมีทั้งเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบาย และมีความจริงมายืนยันก็ตาม แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้อย่างไร?