ในประเทศไทยช่วงนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าถูกบิดเบือน พระสงฆ์บางรูปก็ไม่ค่อยจะมีพระวินัย ก็ถึงคราวที่หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรจะต้องมาเข้าร่างมนุษย์ เพื่อทำงานค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,๐๐๐ ปี เกี่ยวกับหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร หลวงปู่โง่น ได้เคยกล่าวไว้ว่า “คนไทยหลงใหลกันมาก จึงมีหลวงพ่อโลกอุดรปลอม ที่ผู้คนละโมบโลภหลงเอาชื่อท่านมาขายกิน ในสังคมไทยไม่รู้ว่าหลวงปู่เทพโลกอุดรเกิดมาที่ไหน จะสัมผัสได้อย่างไร เห็นก็แต่หลอกลวงกันทั่วไป”
หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ปัจจุบันได้มาเกิดเป็น “หลวงพ่อพุทธะอิสระ” จากคำพูดของหลวงปู่พุทธะอิสระมหาโพธิสัตว์ที่ได้เทศออกอากาศ เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๕๐ คำพูดของท่านผู้เขียนได้นำมาลงไว้โดยเต็มไม่ได้ตัดตอนแต่อย่างไร
“ความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ได้รับการฝึกจากการนอนหลับอันยาวนาน ในสถานที่ๆ ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน ในทิศทางใดของโลกและจักรวาลนี้ รู้แต่เพียงว่าที่ๆ หลวงปู่หลับใหลนั้นมันเป็นที่ๆ สุขสบายมีทุกอย่างที่พร้อมมูล และเปี่ยมไปด้วยกลิ่นไอแห่งรสชาติของพระธรรม มากมีไปด้วยสรรพวิทยาและเนืองนองเนืองแน่นไปด้วยกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ที่ต่างพากันปฏิบัติธรรม เจริญธรรม เพื่อนำเอาพระธรรมที่ปฏิบัติและเจริญเหล่านั้น มาช่วยปลดปล่อยช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัย
กลิ่นไอและบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยมหามิตรอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความการุณ อาทร เมตตา อนุเคราะห์ จริงใจ และก็ให้อภัยต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมและอุดมมั่งคั่งไปด้วยความรัก ความเกื้อหนุน อนุเคราะห์เกื้อกูลต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดแม้แต่จะคิด จะทำในสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม
สถานที่ๆ หลวงปู่อยู่หรือหลับใหล เป็นสถานที่ๆ สุขสบาย และพอเหมาะพอดีต่อสถานภาพ ต่อความไม่กังวลของชีวิตความเป็นอยู่ของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ได้เฉพาะคนๆ หนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะไปคิดว่าจะต้องมีคนๆ นั้นอยู่กับเรา คนๆ นี้อยู่กับเราด้วย คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นแน่ เพราะแต่ละคนที่อยู่ในที่นี้ก็ได้อยู่เพื่อคนๆ หนึ่ง ก็คือตัวเอง แล้วก็นำพาตัวเองที่อยู่รอดอยู่ได้นั้นไปช่วยปลดปล่อย ช่วยเหลือและเกื้อกูลอนุเคราะห์ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมความแล้วก็เป็นที่เฉพาะคนเท่านั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์คิดจะเอาญาติ เอาคนรัก คนชอบ คนชัง เข้าไปอยู่ด้วยได้เป็นแน่
หลังจากหลวงปู่ได้ลุกขึ้นมาจากความหลับใหล โดยการมีเสียงปลุกขึ้นมาให้ตื่นขึ้นมาได้ทำงาน ได้ทำหน้าที่ หลวงปู่ก็ได้เที่ยวแสวงหาสถาน
ที่ๆ หลวงปู่จะต้องอยู่และทำงาน จนกระทั่งหาไปรอบๆ หาไปได้ทั่วๆ พบพา เจอบุคคล สรรพสัตว์ ทุกหนทุกแห่งที่ไปต่างตกทุกข์ เดือดร้อน ระทม และระคนปะปน เศร้าหมองและขุ่นมัว มั่วไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีใครมีความสุขสมอารมณ์สมปรารถนา มีแต่คนสิ้นหวังผิดหวัง แล้วก็ไม่รู้จะหวังอะไร เพราะสิ่งที่เขาหวังมันเกินเลยต่อความรู้ ความสามารถของเขา ทุกสังคมทุกกระบวนการ ทุกวิถีทาง หลวงปู่ได้เลือกสรรเลือกเฟ้น และเข้าไปสัมผัสทดลอง แล้วก็คิดว่าเราจะอยู่กับใครดี เราจะอยู่กับชีวิตชนิดใดดี เราควรจะอยู่ในสถานะและตระกูลไหนดี เราจะอยู่กับบุคคล ตัวตนเช่นไรดี
จนในที่สุดหลวงปู่ก็ได้เห็นครอบครัวๆ หนึ่ง ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มากมี แต่ก็มากมายไปด้วยน้ำใจ มากมายไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ให้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปัน หลวงปู่เฝ้ามองครอบครัวนี้ด้วยความรู้สึกสนใจติดตามครอบครัวนี้ดูจนรู้ว่า แม้แต่ข้าวมื้อสุดท้ายของเขาสำหรับครอบครัวนี้ เขาก็ยังกล้าที่สละแบ่งให้แก่คนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติได้
หลวงปู่ก็เลยคิดว่าการมีชีวิตเป็นอยู่กับครอบครัวซึ่งให้แม้กระทั่งข้าวมื้อสุดท้าย ถือว่าเป็นชีวิตสุดท้ายของตนนี้มันน่าจะมีค่ามีราคา ทำให้เราได้ปัญญามากกว่าไปอยู่กับครอบครัวที่อุดมมงคล และมั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สิน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ หลวงปู่ได้แต่เฝ้ามองดูว่าโอกาสจะให้เมื่อไร เวลาจะเหมาะเจาะขนาดไหน แล้วหลวงปู่ก็ได้เห็นคนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กชายกำลังจะถึงกาลเวลาอันหมดจด คือหมดอายุขัย นั่นก็คือครอบครัวนี้มีลูกชายคนเล็ก เด็กคนนี้เป็นโรคร้ายซึ่งไม่มีใครจะรักษาได้ แม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรักษาให้หาย (LEUKEMIA)
หลวงปู่ก็ได้รู้ว่าเด็กคนนี้จะตายภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลวงปู่เฝ้ามองเฝ้ารอเวลา รอช่วงจังหวะ จนกระทั่งถึงกาลวันหนึ่งครอบครัวนี้ได้ย้ายจากที่พำนัก จากคฤหาสน์หลังโต บ้านเรือนไทย ๒ ชั้น ขายให้กับคนทั้งหลายหรือว่าคนที่มีอันจะกิน เอาเงินมาเลี้ยงดูคนพิการอนาถาและเป็นง่อย จากเป็นเจ้าของบ้านกลายมาเป็นผู้เช่าบ้าน จากผู้เช่าบ้านต้องลงมาอยู่ใต้ถุนบ้าน สุดท้ายก็ต้องย้ายขยับขยายพาครอบครัวตัวเอง และคนอาศัยหนีไปอยู่ในป่า
(ปล.แท็กการเมืองเพราะตอนนี้ท่านเป็นแกนนำกปปส.)
http://www.lifenewsonline.com/index.aspx?ContentID=ContentID-100526172124190
ห๊ะ... อัลไลนะ... พุทธอิสระ คือ พระครูโลกอุดรมาจุติ....
หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ปัจจุบันได้มาเกิดเป็น “หลวงพ่อพุทธะอิสระ” จากคำพูดของหลวงปู่พุทธะอิสระมหาโพธิสัตว์ที่ได้เทศออกอากาศ เมื่อประมาณต้นปี ๒๕๕๐ คำพูดของท่านผู้เขียนได้นำมาลงไว้โดยเต็มไม่ได้ตัดตอนแต่อย่างไร
“ความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ได้รับการฝึกจากการนอนหลับอันยาวนาน ในสถานที่ๆ ไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันอยู่ที่ไหน ในทิศทางใดของโลกและจักรวาลนี้ รู้แต่เพียงว่าที่ๆ หลวงปู่หลับใหลนั้นมันเป็นที่ๆ สุขสบายมีทุกอย่างที่พร้อมมูล และเปี่ยมไปด้วยกลิ่นไอแห่งรสชาติของพระธรรม มากมีไปด้วยสรรพวิทยาและเนืองนองเนืองแน่นไปด้วยกัลยาณมิตร กัลยาณธรรม ที่ต่างพากันปฏิบัติธรรม เจริญธรรม เพื่อนำเอาพระธรรมที่ปฏิบัติและเจริญเหล่านั้น มาช่วยปลดปล่อยช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ภัย
กลิ่นไอและบรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยมหามิตรอันยิ่งใหญ่ เต็มเปี่ยมไปด้วยความการุณ อาทร เมตตา อนุเคราะห์ จริงใจ และก็ให้อภัยต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมและอุดมมั่งคั่งไปด้วยความรัก ความเกื้อหนุน อนุเคราะห์เกื้อกูลต่อกันและกัน เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปันซึ่งกันและกัน ไม่มีผู้ใดแม้แต่จะคิด จะทำในสิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระธรรม
สถานที่ๆ หลวงปู่อยู่หรือหลับใหล เป็นสถานที่ๆ สุขสบาย และพอเหมาะพอดีต่อสถานภาพ ต่อความไม่กังวลของชีวิตความเป็นอยู่ของคนๆ หนึ่ง ซึ่งอยู่ได้เฉพาะคนๆ หนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าจะไปคิดว่าจะต้องมีคนๆ นั้นอยู่กับเรา คนๆ นี้อยู่กับเราด้วย คงจะอยู่ที่นี่ไม่ได้เป็นแน่ เพราะแต่ละคนที่อยู่ในที่นี้ก็ได้อยู่เพื่อคนๆ หนึ่ง ก็คือตัวเอง แล้วก็นำพาตัวเองที่อยู่รอดอยู่ได้นั้นไปช่วยปลดปล่อย ช่วยเหลือและเกื้อกูลอนุเคราะห์ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง รวมความแล้วก็เป็นที่เฉพาะคนเท่านั้น ไม่มีใครมีสิทธิ์คิดจะเอาญาติ เอาคนรัก คนชอบ คนชัง เข้าไปอยู่ด้วยได้เป็นแน่
หลังจากหลวงปู่ได้ลุกขึ้นมาจากความหลับใหล โดยการมีเสียงปลุกขึ้นมาให้ตื่นขึ้นมาได้ทำงาน ได้ทำหน้าที่ หลวงปู่ก็ได้เที่ยวแสวงหาสถาน
ที่ๆ หลวงปู่จะต้องอยู่และทำงาน จนกระทั่งหาไปรอบๆ หาไปได้ทั่วๆ พบพา เจอบุคคล สรรพสัตว์ ทุกหนทุกแห่งที่ไปต่างตกทุกข์ เดือดร้อน ระทม และระคนปะปน เศร้าหมองและขุ่นมัว มั่วไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ไม่มีใครมีความสุขสมอารมณ์สมปรารถนา มีแต่คนสิ้นหวังผิดหวัง แล้วก็ไม่รู้จะหวังอะไร เพราะสิ่งที่เขาหวังมันเกินเลยต่อความรู้ ความสามารถของเขา ทุกสังคมทุกกระบวนการ ทุกวิถีทาง หลวงปู่ได้เลือกสรรเลือกเฟ้น และเข้าไปสัมผัสทดลอง แล้วก็คิดว่าเราจะอยู่กับใครดี เราจะอยู่กับชีวิตชนิดใดดี เราควรจะอยู่ในสถานะและตระกูลไหนดี เราจะอยู่กับบุคคล ตัวตนเช่นไรดี
จนในที่สุดหลวงปู่ก็ได้เห็นครอบครัวๆ หนึ่ง ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มากมี แต่ก็มากมายไปด้วยน้ำใจ มากมายไปด้วยจิตวิญญาณของผู้ให้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียสละและแบ่งปัน หลวงปู่เฝ้ามองครอบครัวนี้ด้วยความรู้สึกสนใจติดตามครอบครัวนี้ดูจนรู้ว่า แม้แต่ข้าวมื้อสุดท้ายของเขาสำหรับครอบครัวนี้ เขาก็ยังกล้าที่สละแบ่งให้แก่คนอื่นซึ่งไม่ใช่ญาติได้
หลวงปู่ก็เลยคิดว่าการมีชีวิตเป็นอยู่กับครอบครัวซึ่งให้แม้กระทั่งข้าวมื้อสุดท้าย ถือว่าเป็นชีวิตสุดท้ายของตนนี้มันน่าจะมีค่ามีราคา ทำให้เราได้ปัญญามากกว่าไปอยู่กับครอบครัวที่อุดมมงคล และมั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สิน หรือยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ หลวงปู่ได้แต่เฝ้ามองดูว่าโอกาสจะให้เมื่อไร เวลาจะเหมาะเจาะขนาดไหน แล้วหลวงปู่ก็ได้เห็นคนๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเด็กชายกำลังจะถึงกาลเวลาอันหมดจด คือหมดอายุขัย นั่นก็คือครอบครัวนี้มีลูกชายคนเล็ก เด็กคนนี้เป็นโรคร้ายซึ่งไม่มีใครจะรักษาได้ แม้แต่หมอแผนปัจจุบันก็ยังไม่สามารถรักษาให้หาย (LEUKEMIA)
หลวงปู่ก็ได้รู้ว่าเด็กคนนี้จะตายภายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หลวงปู่เฝ้ามองเฝ้ารอเวลา รอช่วงจังหวะ จนกระทั่งถึงกาลวันหนึ่งครอบครัวนี้ได้ย้ายจากที่พำนัก จากคฤหาสน์หลังโต บ้านเรือนไทย ๒ ชั้น ขายให้กับคนทั้งหลายหรือว่าคนที่มีอันจะกิน เอาเงินมาเลี้ยงดูคนพิการอนาถาและเป็นง่อย จากเป็นเจ้าของบ้านกลายมาเป็นผู้เช่าบ้าน จากผู้เช่าบ้านต้องลงมาอยู่ใต้ถุนบ้าน สุดท้ายก็ต้องย้ายขยับขยายพาครอบครัวตัวเอง และคนอาศัยหนีไปอยู่ในป่า
(ปล.แท็กการเมืองเพราะตอนนี้ท่านเป็นแกนนำกปปส.)
http://www.lifenewsonline.com/index.aspx?ContentID=ContentID-100526172124190