เฮ่อ....เอาล่ะเข้าเรื่องซะที นอกเรื่องมาตั้งเยอะแระ (เอ.....จะเรียกว่านอกเรื่องรึเปล่าน๊ออออ)
แต่ขอบอกว่า รอบที่แล้วใครที่บอกว่าหนัก เจอรอบนี้แล้วจะบอกว่าหนักกว่ารอบที่แล้วอีกจ้า เอ....สรุปว่ารอบนี้ attack ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย รอบที่ 3 แล้วสิเนอะ
รอบนี้ อาการเริ่มต้น คือรู้สึกเท้าหนักๆ อยู่ 1-2 วัน แล้วก็เริ่มนั่งแล้วลุกไม่ขึ้นแระ (ซึ่งคนปกติ เวลานั่งเก้าอี้ ก็จะลุกเองได้ โดยไม่ต้องจับอะไรเลย ใช่ป่าวจ๊ะ) แต่ครั้งนี้เรานั่งแล้วลุกไม่ขึ้นเนี่ยสิ ต้องจับอะไรสักอย่างเพื่อช่วยดันตัว เองให้ลุกขึ้น (คิดในใจ) เอาล่ะสิ ทีนี้รู้แระว่าอย่างนี้ไม่ใช่แระ ผิดปกติแน่ๆ เจ้าพื่อนใหม่ NMO มาเยือนเราแล้วล่ะสิเนี่ย หลังจากหมอบอกไม่เท่าไหร่ ก็มาทำความรู้จักกันเลยเหรอจ๊ะ (จริงๆ ไม่ต้องรีบมาทำความรู้จักกันก็ได้นะ ยังต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งนาน แหม....ทำไมรีบร้อนจัง)
เฮ่อ....เอาล่ะ เธอมาหาเราแระ ทีนี้ก็ได้เวลาที่เราต้องพาเธอไปหาหมอแบบฉุกเฉินอีกแล้วล่ะสิเนี่ย คราวนี้ก็แบบเดิมเลย ตามระเบียบ คราวนี้พอได้ใบส่งตัว วันรุ่งขึ้นก็รีบออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ก่อนออกจากบ้าน ก็บอกป๋าว่า "เดี๋ยวเก๋ไปหาหมอที่ศิริราชก่อนนะ : ก่อนออกจากบ้าน หม่าม๊าก็เอาข้าวให้ป๋ากินเรียบร้อย"
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะจ๊ะ หลังจากป๋าทำ bypass หัวใจไป ตอนนั้นป๋าก็เริ่มฟอกไตไปได้สัก 3 ครั้งแระ อ่ะ....พอเราบอกป๋าเสร็จ ก็ไหว้เค้า เค้าก็พูดคำนึงว่า "โชคดีนะ" แล้วเค้าก็ไม่พูดอะไรต่อ เรากับหม่าม๊าก็ออกจากบ้านไปศิริราช ก็ไปที่ OPD เหมือนเดิม เพราะมาแบบฉุกเฉิน คราวนี้หมอถามอาการแล้วก็ให้เดินให้ดูอีก แต่ครั้งนี้เริ่มเดินไม่ได้แล้ว แถมยืนก็ไม่อยู่แล้วอีกต่างหาก หมอก็ให้ admit อีกเหมือนเดิม ด้วยอาการแบบ “ซีกขวาอ่อ่นแรงทั้งมือและขา” คราวนี้พอหมอสั่ง admit ก็ต้องรอเตียงอีกเหมือนเดิม จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ก็มีเบอร์ที่บ้านโทรเข้ามา พร้อมกับบอกว่าป๋าอาการไม่ดี ตอนนั้นมีคนที่อยู่แถวบ้าน ทั้งอาแปะ คุณป้า ทั้งเพื่อนบ้านก็มาช่วยกันดูแลป๋า เพราะป๋าโทรไปหาที่บ้านญาติที่อยู่ใกล้ๆ แล้วให้เค้าช่วยเรียกรถพยาบาลให้ ตอนนั้นป๋าไม่ค่อยรู้สึกตัวแล้ว เพ้อเรียกถึงน้าที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ว่าให้มารับไปด้วย ตอนที่คุณน้าท่านนี้เสีย เรายังไปงานศพทุกวัน ไปแบบยังไม่มีอาการอะไรเลยด้วยซ้ำ เดินได้ปกติ พอเลิกงาน ก็ขับรถไปช่วยงานศพคุณน้าทุกวัน ตอนนั้นจะมีใครล่ะคิดว่า อีก 2 อาทิตย์ผ่านไป เราต้องเข้าโรงพยาบาลซะงั้น
อ่ะ....พอที่บ้านโทรมาตามหม่าม๊าให้รีบกลับบ้าน เราก็เลยบอกให้หม่าม๊ากลับไปเลย ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวพอได้ห้อง พยาบาลเค้าก็มาพาไปเอง ตอนนั้นก็ 5 โมงกว่าแล้ว แล็วก็นอนให้ยาอยู่ที่ห้องประกันสังคม เพราะยังไม่ได้เตียง ก็เลยบอกหม่าม๊าว่าถึงบ้านแล้วให้โทรมาด้วยนะ สักทุ่มนึงได้ พยาบาลก็มาบอกว่าได้เตียงแล้วนะ ที่ห้องเฝ้าดูอาการ (อยู่ใกล้กับห้องประกันสังคม) เป็นห้องรวมประมาณ 32 เตียงมั้ง แต่มีแอร์ (ค่อยดีหน่อย)
หลังจากหม่าม๊ากลับไปบ้าน ก็โทรมาบอกว่าป๋าอาการหนักมาก หมอบอกว่าอาจจะไม่รอดแล้ว หมอก็ไม่ให้หม่าม๊ากลับบ้าน คืนนั้นหม่าม๊าต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งคืน จนเช้ามืดป๋าก็เสีย คราวนี้ต้องขอขอบคุณพี่ๆ ที่บริษัทที่เราเคยทำงานอย่างมากมายที่ช่วยเหลือตั้งแต่วันแรกที่รู้เรื่อง คืนนั้นหลังจากได้เตียง พี่ที่บริษัทเก่าก็โทรมา แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาหานะ ต้องการของใช้อะไรมั๊ย เดี๋ยวจะซื้อเข้าไปให้ แล้วคุณพี่ทั้งสองก็ซื้อของใช้ส่วนตัวเข้ามาให้ ส่วนพี่อีกคนก็ตามเข้ามาอีกทีตอนมืดหน่อย พร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวจะให้คนที่บ้านเค้ามาช่วยอยู่เฝ้าให้ คืนนั้นก็มีพี่ที่พี่เค้าให้มาช่วยเฝ้า มาอยู่เป็นเพื่อน เพราะรู้ว่าเราคราวนี้เดินเองไม่ได้ แค่ลงจากเตียงถ้าไม่มี walker ก็ร่วงลงไปนั่งประมาณนั้น เขียนหนังสือก็ไม่ได้ แต่ยังจับช้อนส้อมได้ เพราะอ่อนแรงซีกขวาทั้งซีก ทั้งมือและขา (คืนนั้นที่หม่าม๊าโทรมาบอกว่าป๋าเสีย นาทีนั้นที่เราเสียใจที่สุดคือ เราไม่ได้อยู่กับป๋าในนาทีสุดท้ายก่อนที่ป๋าจะจากไป แล้วก็ไม่คิดว่าคำว่า "โชคดี" ที่ป๋าบอกเราก่อนออกจากบ้าน จะเป็นคำสุดท้ายและเป็นลางบอกเหตุด้วยซ้ำ)
ตอนเช้าหม่าม๊าก็มาหาแล้วก็เอาพวงมาลัยมาให้เราไหว้ป๋า แล้วหม่าม๊าก็ต้องรีบกลับไปจัดการงานศพ แล้วก็บังเอิญได้เจอพี่ที่เป็นคนเฝ้าไข้ของศูนย์ที่เค้าเฝ้าไข้อยู่เตียงใกล้ๆ เค้าว่างพอดี หม่าม๊าก็เลยจ้างให้เค้าอยู่เฝ้าต่อเลย ก็เลยไม่ต้องรบกวนพี่ที่ที่มาเฝ้าให้อยู่ต่อ เพราะเกรงใจพี่เค้า
สรุปช่วงที่อยู่ที่โรงพยาบาล เราบอกกับหม่าม๊าว่าไม่ต้องมาหาก็ ได้ เพราะต้องจัดการงานศพป๋าทุกวัน คราวนี้ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล จะเดินไปห้องน้ำ ก็ต้องให้คนช่วยพยุง เพราะไม่มี walker ห้องนี้พื้นที่สำหรับคนไข้จะเล็กมาก แล้วก็ไม่มีเตียงคนเฝ้าอีกต่างหาก มีแต่เก้าอี้ 1 ตัว จริงๆ ถ้าเราเดินเองได้ ก็ไม่ต้องมีคนเฝ้าน่ะ จะอาบน้ำก็ต้องนั่งอาบ แล้วพี่เค้าก็จะรอหน้าห้องน้ำ จะยืนเองก็ยืนไม่อยู่ พูดง่ายๆคือ ถ้าลงมายืนโดยไม่มีคนจับ หรือไม่จับอะไรเลยเนี่ย ก็จะล้มลงไปนั่งเมื่อนั้น ทุกวันก็จะพยายามลองเขียนหนังสือ ก็เขียนไม่เป็นตัวสักที แม้กระทั่งตัวเลขก็เขียนไม่ได้
คราวนี้ให้ยา (สเตียรอยด์) ทั้งหมด 5 วัน วันที่ 6 หมอให้กลับบ้าน หม่าม๊าก็เลยจ้างพี่เค้ามาเฝ้าต่อที่บ้าน เพราะงานศพป๋ายังไม่เสร็จ วันที่กลับมาบ้าน อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ หม่าม๊าก็เลยยังไม่ให้ไปงานศพป๋า จนวันเผาถึงได้ไปกราบศพป๋า ช่วงวันงานศพป๋า ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่โรงเรียนที่ไปช่วยจัดการงานศพแทนตลอด ตั้งแต่วันแรก และต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนทั้งที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่บริษัททุกที่ด้วยนะจ๊ะ ^^
หลังจากเสร็จงานศพป๋า หม่าม๊าก็ให้พี่เค้าอยู่ช่วยดูแลอีกอาทิตย์นึง แล้วหลังจากนั้น หม่าม๊าก็เป็นคนดูแลเองตลอด เราเองก็พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด และก็เริ่มไปทำกายภาพ ซึ่งการทำกายภาพครั้งนี้ ก็ให้ฝึกเกี่ยวกับการเดิน การทรงตัว การเขียนหนังสือ การใช้ตะเกียบ การให้ใช้ช้อนลองตักน้ำ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งสามารถฟื้นตัวกลับมาเขียนหนังสือ และเดินเองได้ ซึ่งครั้งนี้ก็ใช้เวลานานพอสมควรในการฟื้นตัว คนที่เหนื่อยที่สุดคือหม่าม๊า ต้องบอกว่าจะขอบคุณหม่าม๊ายังไง ก็ไม่มีวันพอจริงๆ "รักป๋ากับหม่าม๊าที่สุดจ้า"
เฮ่อ....ตอนนี้ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้เนอะ โอเคค่ะ....อย่างน้อยก็ขอสัญญาว่าจะเข้มแข็งตลอดไปนะจ๊ะ
ตอน 6 : ทั้ง NMO ทั้งเรื่องอันแสนเศร้า รุมกันเข้ามาพร้อมกันเลยทีเดียว
แต่ขอบอกว่า รอบที่แล้วใครที่บอกว่าหนัก เจอรอบนี้แล้วจะบอกว่าหนักกว่ารอบที่แล้วอีกจ้า เอ....สรุปว่ารอบนี้ attack ครั้งที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย รอบที่ 3 แล้วสิเนอะ
รอบนี้ อาการเริ่มต้น คือรู้สึกเท้าหนักๆ อยู่ 1-2 วัน แล้วก็เริ่มนั่งแล้วลุกไม่ขึ้นแระ (ซึ่งคนปกติ เวลานั่งเก้าอี้ ก็จะลุกเองได้ โดยไม่ต้องจับอะไรเลย ใช่ป่าวจ๊ะ) แต่ครั้งนี้เรานั่งแล้วลุกไม่ขึ้นเนี่ยสิ ต้องจับอะไรสักอย่างเพื่อช่วยดันตัว เองให้ลุกขึ้น (คิดในใจ) เอาล่ะสิ ทีนี้รู้แระว่าอย่างนี้ไม่ใช่แระ ผิดปกติแน่ๆ เจ้าพื่อนใหม่ NMO มาเยือนเราแล้วล่ะสิเนี่ย หลังจากหมอบอกไม่เท่าไหร่ ก็มาทำความรู้จักกันเลยเหรอจ๊ะ (จริงๆ ไม่ต้องรีบมาทำความรู้จักกันก็ได้นะ ยังต้องอยู่ด้วยกันอีกตั้งนาน แหม....ทำไมรีบร้อนจัง)
เฮ่อ....เอาล่ะ เธอมาหาเราแระ ทีนี้ก็ได้เวลาที่เราต้องพาเธอไปหาหมอแบบฉุกเฉินอีกแล้วล่ะสิเนี่ย คราวนี้ก็แบบเดิมเลย ตามระเบียบ คราวนี้พอได้ใบส่งตัว วันรุ่งขึ้นก็รีบออกจากบ้านตั้งแต่ตี 5 กว่าๆ ก่อนออกจากบ้าน ก็บอกป๋าว่า "เดี๋ยวเก๋ไปหาหมอที่ศิริราชก่อนนะ : ก่อนออกจากบ้าน หม่าม๊าก็เอาข้าวให้ป๋ากินเรียบร้อย"
ขอนอกเรื่องนิดนึงนะจ๊ะ หลังจากป๋าทำ bypass หัวใจไป ตอนนั้นป๋าก็เริ่มฟอกไตไปได้สัก 3 ครั้งแระ อ่ะ....พอเราบอกป๋าเสร็จ ก็ไหว้เค้า เค้าก็พูดคำนึงว่า "โชคดีนะ" แล้วเค้าก็ไม่พูดอะไรต่อ เรากับหม่าม๊าก็ออกจากบ้านไปศิริราช ก็ไปที่ OPD เหมือนเดิม เพราะมาแบบฉุกเฉิน คราวนี้หมอถามอาการแล้วก็ให้เดินให้ดูอีก แต่ครั้งนี้เริ่มเดินไม่ได้แล้ว แถมยืนก็ไม่อยู่แล้วอีกต่างหาก หมอก็ให้ admit อีกเหมือนเดิม ด้วยอาการแบบ “ซีกขวาอ่อ่นแรงทั้งมือและขา” คราวนี้พอหมอสั่ง admit ก็ต้องรอเตียงอีกเหมือนเดิม จนกระทั่งบ่ายแก่ๆ ก็มีเบอร์ที่บ้านโทรเข้ามา พร้อมกับบอกว่าป๋าอาการไม่ดี ตอนนั้นมีคนที่อยู่แถวบ้าน ทั้งอาแปะ คุณป้า ทั้งเพื่อนบ้านก็มาช่วยกันดูแลป๋า เพราะป๋าโทรไปหาที่บ้านญาติที่อยู่ใกล้ๆ แล้วให้เค้าช่วยเรียกรถพยาบาลให้ ตอนนั้นป๋าไม่ค่อยรู้สึกตัวแล้ว เพ้อเรียกถึงน้าที่เสียชีวิตไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อน ว่าให้มารับไปด้วย ตอนที่คุณน้าท่านนี้เสีย เรายังไปงานศพทุกวัน ไปแบบยังไม่มีอาการอะไรเลยด้วยซ้ำ เดินได้ปกติ พอเลิกงาน ก็ขับรถไปช่วยงานศพคุณน้าทุกวัน ตอนนั้นจะมีใครล่ะคิดว่า อีก 2 อาทิตย์ผ่านไป เราต้องเข้าโรงพยาบาลซะงั้น
อ่ะ....พอที่บ้านโทรมาตามหม่าม๊าให้รีบกลับบ้าน เราก็เลยบอกให้หม่าม๊ากลับไปเลย ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อน เดี๋ยวพอได้ห้อง พยาบาลเค้าก็มาพาไปเอง ตอนนั้นก็ 5 โมงกว่าแล้ว แล็วก็นอนให้ยาอยู่ที่ห้องประกันสังคม เพราะยังไม่ได้เตียง ก็เลยบอกหม่าม๊าว่าถึงบ้านแล้วให้โทรมาด้วยนะ สักทุ่มนึงได้ พยาบาลก็มาบอกว่าได้เตียงแล้วนะ ที่ห้องเฝ้าดูอาการ (อยู่ใกล้กับห้องประกันสังคม) เป็นห้องรวมประมาณ 32 เตียงมั้ง แต่มีแอร์ (ค่อยดีหน่อย)
หลังจากหม่าม๊ากลับไปบ้าน ก็โทรมาบอกว่าป๋าอาการหนักมาก หมอบอกว่าอาจจะไม่รอดแล้ว หมอก็ไม่ให้หม่าม๊ากลับบ้าน คืนนั้นหม่าม๊าต้องอยู่ที่โรงพยาบาลทั้งคืน จนเช้ามืดป๋าก็เสีย คราวนี้ต้องขอขอบคุณพี่ๆ ที่บริษัทที่เราเคยทำงานอย่างมากมายที่ช่วยเหลือตั้งแต่วันแรกที่รู้เรื่อง คืนนั้นหลังจากได้เตียง พี่ที่บริษัทเก่าก็โทรมา แล้วบอกว่าเดี๋ยวจะเข้ามาหานะ ต้องการของใช้อะไรมั๊ย เดี๋ยวจะซื้อเข้าไปให้ แล้วคุณพี่ทั้งสองก็ซื้อของใช้ส่วนตัวเข้ามาให้ ส่วนพี่อีกคนก็ตามเข้ามาอีกทีตอนมืดหน่อย พร้อมกับบอกว่าเดี๋ยวจะให้คนที่บ้านเค้ามาช่วยอยู่เฝ้าให้ คืนนั้นก็มีพี่ที่พี่เค้าให้มาช่วยเฝ้า มาอยู่เป็นเพื่อน เพราะรู้ว่าเราคราวนี้เดินเองไม่ได้ แค่ลงจากเตียงถ้าไม่มี walker ก็ร่วงลงไปนั่งประมาณนั้น เขียนหนังสือก็ไม่ได้ แต่ยังจับช้อนส้อมได้ เพราะอ่อนแรงซีกขวาทั้งซีก ทั้งมือและขา (คืนนั้นที่หม่าม๊าโทรมาบอกว่าป๋าเสีย นาทีนั้นที่เราเสียใจที่สุดคือ เราไม่ได้อยู่กับป๋าในนาทีสุดท้ายก่อนที่ป๋าจะจากไป แล้วก็ไม่คิดว่าคำว่า "โชคดี" ที่ป๋าบอกเราก่อนออกจากบ้าน จะเป็นคำสุดท้ายและเป็นลางบอกเหตุด้วยซ้ำ)
ตอนเช้าหม่าม๊าก็มาหาแล้วก็เอาพวงมาลัยมาให้เราไหว้ป๋า แล้วหม่าม๊าก็ต้องรีบกลับไปจัดการงานศพ แล้วก็บังเอิญได้เจอพี่ที่เป็นคนเฝ้าไข้ของศูนย์ที่เค้าเฝ้าไข้อยู่เตียงใกล้ๆ เค้าว่างพอดี หม่าม๊าก็เลยจ้างให้เค้าอยู่เฝ้าต่อเลย ก็เลยไม่ต้องรบกวนพี่ที่ที่มาเฝ้าให้อยู่ต่อ เพราะเกรงใจพี่เค้า
สรุปช่วงที่อยู่ที่โรงพยาบาล เราบอกกับหม่าม๊าว่าไม่ต้องมาหาก็ ได้ เพราะต้องจัดการงานศพป๋าทุกวัน คราวนี้ช่วงที่อยู่โรงพยาบาล จะเดินไปห้องน้ำ ก็ต้องให้คนช่วยพยุง เพราะไม่มี walker ห้องนี้พื้นที่สำหรับคนไข้จะเล็กมาก แล้วก็ไม่มีเตียงคนเฝ้าอีกต่างหาก มีแต่เก้าอี้ 1 ตัว จริงๆ ถ้าเราเดินเองได้ ก็ไม่ต้องมีคนเฝ้าน่ะ จะอาบน้ำก็ต้องนั่งอาบ แล้วพี่เค้าก็จะรอหน้าห้องน้ำ จะยืนเองก็ยืนไม่อยู่ พูดง่ายๆคือ ถ้าลงมายืนโดยไม่มีคนจับ หรือไม่จับอะไรเลยเนี่ย ก็จะล้มลงไปนั่งเมื่อนั้น ทุกวันก็จะพยายามลองเขียนหนังสือ ก็เขียนไม่เป็นตัวสักที แม้กระทั่งตัวเลขก็เขียนไม่ได้
คราวนี้ให้ยา (สเตียรอยด์) ทั้งหมด 5 วัน วันที่ 6 หมอให้กลับบ้าน หม่าม๊าก็เลยจ้างพี่เค้ามาเฝ้าต่อที่บ้าน เพราะงานศพป๋ายังไม่เสร็จ วันที่กลับมาบ้าน อาการก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ หม่าม๊าก็เลยยังไม่ให้ไปงานศพป๋า จนวันเผาถึงได้ไปกราบศพป๋า ช่วงวันงานศพป๋า ก็ต้องขอบคุณเพื่อนๆที่โรงเรียนที่ไปช่วยจัดการงานศพแทนตลอด ตั้งแต่วันแรก และต้องขอบคุณเพื่อนๆทุกคนทั้งที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย ที่บริษัททุกที่ด้วยนะจ๊ะ ^^
หลังจากเสร็จงานศพป๋า หม่าม๊าก็ให้พี่เค้าอยู่ช่วยดูแลอีกอาทิตย์นึง แล้วหลังจากนั้น หม่าม๊าก็เป็นคนดูแลเองตลอด เราเองก็พยายามช่วยเหลือตัวเองให้ได้มากที่สุด และก็เริ่มไปทำกายภาพ ซึ่งการทำกายภาพครั้งนี้ ก็ให้ฝึกเกี่ยวกับการเดิน การทรงตัว การเขียนหนังสือ การใช้ตะเกียบ การให้ใช้ช้อนลองตักน้ำ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนกระทั่งสามารถฟื้นตัวกลับมาเขียนหนังสือ และเดินเองได้ ซึ่งครั้งนี้ก็ใช้เวลานานพอสมควรในการฟื้นตัว คนที่เหนื่อยที่สุดคือหม่าม๊า ต้องบอกว่าจะขอบคุณหม่าม๊ายังไง ก็ไม่มีวันพอจริงๆ "รักป๋ากับหม่าม๊าที่สุดจ้า"
เฮ่อ....ตอนนี้ดูเศร้าๆยังไงไม่รู้เนอะ โอเคค่ะ....อย่างน้อยก็ขอสัญญาว่าจะเข้มแข็งตลอดไปนะจ๊ะ