ตั้งแต่ attack ครั้งแรกจนถึงวันนี้ ก็ประมาณ 4 ปีกว่าแระ ช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดน attack ไป 5 ครั้ง ซึ่งทั้ง 5 ครั้ง โดน attack ในช่วง 2 ปีแรก จากครั้งสุดท้ายที่โดน attack คือเมื่อประมาณ 2 ปีกว่า เกือบ 3 ปีมาแระ (ยังไงก็ขออย่าให้มี attack อีกเลยแล้วกันนะจ๊ะ สาธุ)
การ attack ครั้งที่ 2 เปลี่ยนจากโดนโจมตีที่ตา เป็นโจมตีเรื่องการอ่อนแรงซีกขวาแทน แต่ยังไม่มาก เรียกว่ายังเดินได้ แต่อ่อนแรงที่แขนซะส่วนใหญ่
ครั้งนี้ก็ admit ที่ศิริราชอีกเหมือนเดิม อาการของครั้งนี้คือ อยู่ดีๆ ตอนเช้ากินข้าวกับแกงจืด (เท่าที่จำได้นะจ๊ะ) ปรากฏว่าตักน้ำแกงแล้วหก แต่ยังพอเดินได้แต่จะรู้สึกว่าขาหนักๆ ก้าวลำบากขึ้น ก็เลยบอกหม่าม๊า หม่าม๊าก็รีบพาไปที่คามิลเลียนก่อน เพราะต้องไปขอใบส่งตัว ซึ่งหมอก็น่ารัก รีบทำให้ วันรุ่งขึ้นก็ได้ใบส่งตัวเลย วันนั้นไปศิริราชแบบฉุกเฉิน ก็ต้องรีบไปแต่เช้า ไปถึงที่นั่นประมาณ 6 โมง ต้องไปห้องประกันสังคมก่อนเหมือนเดิม เพื่อไปเอาแฟ้มประวัติ ห้องนี้ก็เปิดทำงานประมาณเกือบ 7 โมง (แต่ปกติคนไข้จะมาเข้าแถวรอตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเลย แล้วก็เข้าคิวรอเจ้าหน้าที่มา) สรุปกว่าจะได้แฟ้มก็ประมาณ 7 โมงกว่าแระ ก็รีบขึ้นไปที่ OPD ก็ไปยื่นแฟ้ม เจ้าหน้าที่บอกวันนี้ไม่มีคิวแล้ว ให้กลับบ้านไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องมาที่ OPD ไม่เกิน 6 โมงครึ่ง ถึงจะได้คิว เพราะคนไข้เยอะมากกกกก
เราก็เฮ้ย ฉันมาตั้งแต่ 6 โมง แต่ฉันต้องรอเอาแฟ้มประวัติก่อน กว่าจะได้ก็รีบขึ้นมาแล้วเนี่ยนะ ตอนนั้นยืนก็เกือบไม่อยู่ คนก็เยอะ หน้าก็จะมืด จะเป็นลมอยู่แล้ว หม่าม๊าเห็นเลยบอกให้ไปนั่งรอ เดี๋ยวเค้าจัดการเอง แต่ตรงนั้นก็ไม่มีที่นั่งรออีกต่างหาก เลยบอกหม่าม๊าว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวยืนพิงรอใกล้ๆนี่ละกัน หม่าม๊าเลยบอกเจ้าหน้าที่ว่า คนไข้ยืนจะไม่อยู่แล้วแบบนี้ คุณยังจะให้คนไข้กลับบ้านแล้วมาใหม่อีกเหรอ แล้วเราก็มาตั้งแต่ 6 โมง แต่ต้องรอแฟ้มที่ห้องประกันสังคม แล้วก็รีบขึ้นมาเนี่ย เจ้าหน้าที่ก็เลยยอม
สรุปกว่าจะได้เจอหมอก็ใช้เวลารออยู่ เป็นชั่วโมง (เพราะหมอมาประมาณ 9 โมง กว่าจะรอคิวอีก) พอเจอหมอ หมอก็ให้ลองเดินให้ดู ก็เดินแบบขาจะทรุดเอา หมอก็เลยให้ admit วันนั้นเลย แต่ครั้งนี้ยังหาห้องไม่ได้ แต่หมอบอกต้องให้ยาเลย
(ก็คือสเตียรอยด์เหมือนเดิม) คราวนี้ขวดแรก ก็เลยนั่งบน wheelchair แล้วก็ให้ตรงห้อง OPD นั่นแหละ พอหมดขวดก็ปาไปเกือบ 3 หรือ 4 โมงนี่แหละ พยาบาลก็เดินมาบอกว่าได้เตียงแล้ว แต่เป็นห้องรวม (ประมาณ 30 เตียง แถมไม่มีแอร์อีกต่างหาก) แต่ยังไงก็ต้องยอม เพราะต้องให้ยาประมาณ 3-5 วัน ซึ่งหมอจะดูอีกที เจ้าหน้าที่ก็ให้คนเดินเปลมาพาไป
พอไปถึง พยาบาลก็เอาชุดมาให้เปลี่ยน เอาข้าวเย็นมาให้ ทุกคืนก็จะมีนักเรียนแพทย์ ประมาณปี 2 หรือ ปี 3 นี่แหละ จำไม่ได้ จะมาวัดระดับน้ำตาลทุกคืน พร้อมกับพยาบาลมาวัดความดันทุก 6 ชม. คืนนั้นก็มีพยาบาลมาปลุกพาไปทำ MRI scan ไขสันหลัง (ปกติที่ศิริราชต้องรอคิว MRI เป็นปี แต่นี่หมอคงแทรกคิวให้ เลยได้ทำเลย)
เช้าวันที่ 2 หมอ (ซึ่งก็ยังเป็นนร.แพทย์เฉพาะทาง) ก็มาพร้อมกับนร.แพทย์ปี 2 หรือ 3 จำไม่ได้แฮะ แล้วมาขอเจาะน้ำไขสันหลัง แต่ให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนเจาะ เอาล่ะสิ คิดอยู่ในใจว่า "ฉันจะรอดมั๊ยเนี่ย คราวนี้ต้องเจ็บกว่าปกติแน่ๆ"
จำได้ว่าครั้งนั้นโดนเจาะไป 2 ครั้ง ไอ้เก๋ก็นอนขดเป็นกุ้งเหมือนเดิม ครั้งแรกเจาะแล้วไม่มีน้ำไขสันหลัง เพราะนร.คนนั้นเกิดเจาะผิดที่ นร.แพทย์เฉพาะทางก็ยืนอธิบายไป แล้วก็ให้นร.เจอะอีกครั้ง สรุปก็เลยโดนจิ้มไป 2 ที (เอ....4 ทีสิ เพราะยาชาอีก 2 ที) ไอ้เก๋คนไข้ ก็เลยเจ็บตัวมากกว่าคราวที่แล้ว (เจ็บตัวฟรีไปครั้งนึงว่างั้นเหอะ)
คราวนี้ไม่ต้องมีคนเฝ้าก็ได้ เพราะเป็นห้องรวม แต่พยาบาลก็จะเอา walker มาไว้ให้ เวลาจะเดินไปห้องน้ำ หรืออาบน้ำ
ส่วนหม่าม๊าก็จะมาตอนเช้า อยู่จนเย็น ให้เก๋กินข้าว อาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วถึงกลับ ครั้งนี้โดนพาไปตรวจเยอะแยะมากมาย จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิด นอกจากทำ MRI ก็มี x-ray ปอดด้วย
ส่วนเราก็ขอย้ายห้องไปห้องที่มีแอร์กับคุณหมอ ถามหมอทุกวันก็ไม่ได้ห้องซักที ด้วยความที่หมอแฉพาะทางคยห้ามอยู่ที่ที่อากาศร้อนและแออัด แต่ยังดีที่พยาบาลเอาพัดลมมาตั้งไว้ให้ปลายเตียงเลย (555 สงสัยจะรำคาญ ถามเรื่องห้องทู๊กกกกวัน) แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ห้องนี้อยู่ชั้นสูง แล้วได้เตียงริมหน้าต่าง (แต่ขอบอกว่าไม่มีลมเลยยยยยสักนิด....เฮ่อ)
หมอก็มาดูอาการทุกวัน แล้วบอกว่า ฟิล์มที่ไปทำ MRI มา มีรอยโรคที่กระดูกสันหลังเต็มเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ถ้าจำไม่ผิด คราวนี้ให้ยา 3 วัน วันที่ 4 ให้กลับบ้าน
กลับมาบ้าน อาการอ่อนแรงดีขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่เต็ม 100 ก็ใช้เวลาประมาณนึงในการฟื้นตัว รู้สึกว่าครั้งนี้ห่างจากการ attack ครั้งแรกแค่ไม่กี่เดือน เพราะหลังจากที่กลับไปทำงานไม่กี่วัน ก็เป็นอีก (ตอน attack ครั้งแรก หยุดงานไป 1 เดือน) ก็น่าจะห่างจากครั้งแรกแค่เดือนกว่าๆ หรือ 2 เดือนนี่แหละ กลับมาบ้าน ก็เริ่มไปทำกายภาพ ฝึกเดิน ตอนแรกก็ฝึกเดินโดยการใช้ walker ด้วย แล้วพอดีขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นใช้ tripod (ไม้เท้าแบบ 3 ขา) พอดีขึ้นก็ให้เดินในบาร์ อ้อ....แล้วก็มีนอนแล้วยกขาข้างละ 30 ครั้ง แล้วก็อีกหลายๆท่า ที่ฝึกเกี่ยวกับการทรงตัวและออกกำลังขาและแขน
สรุปครั้งนี้หม่าม๊าก็เลยบอกให้ออกมาพักก่อนดีกว่ามั๊ย เพราะกลับไปทำงานไม่เท่าไหร่ก็เป็นอีกแล้ว หม่าม๊าก็บอกรอให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ดีกว่า
เฮ่อ......ครั้งนี้ค่อนข้างหนัก แต่ก็ยังดีที่หลังจากออกจากรพ.ไม่นานมาก แล้วก็มาทำกายภาพที่คามิลเลียนสักพัก ก็ค่อยๆดีขึ้น
ตอน 4 : ลองมาดูกันนะจ๊ะ ว่าเจ้า MS เนี่ย คราวนี้จะมาไม้ไหนอีก
การ attack ครั้งที่ 2 เปลี่ยนจากโดนโจมตีที่ตา เป็นโจมตีเรื่องการอ่อนแรงซีกขวาแทน แต่ยังไม่มาก เรียกว่ายังเดินได้ แต่อ่อนแรงที่แขนซะส่วนใหญ่
ครั้งนี้ก็ admit ที่ศิริราชอีกเหมือนเดิม อาการของครั้งนี้คือ อยู่ดีๆ ตอนเช้ากินข้าวกับแกงจืด (เท่าที่จำได้นะจ๊ะ) ปรากฏว่าตักน้ำแกงแล้วหก แต่ยังพอเดินได้แต่จะรู้สึกว่าขาหนักๆ ก้าวลำบากขึ้น ก็เลยบอกหม่าม๊า หม่าม๊าก็รีบพาไปที่คามิลเลียนก่อน เพราะต้องไปขอใบส่งตัว ซึ่งหมอก็น่ารัก รีบทำให้ วันรุ่งขึ้นก็ได้ใบส่งตัวเลย วันนั้นไปศิริราชแบบฉุกเฉิน ก็ต้องรีบไปแต่เช้า ไปถึงที่นั่นประมาณ 6 โมง ต้องไปห้องประกันสังคมก่อนเหมือนเดิม เพื่อไปเอาแฟ้มประวัติ ห้องนี้ก็เปิดทำงานประมาณเกือบ 7 โมง (แต่ปกติคนไข้จะมาเข้าแถวรอตั้งแต่ยังไม่ 6 โมงเลย แล้วก็เข้าคิวรอเจ้าหน้าที่มา) สรุปกว่าจะได้แฟ้มก็ประมาณ 7 โมงกว่าแระ ก็รีบขึ้นไปที่ OPD ก็ไปยื่นแฟ้ม เจ้าหน้าที่บอกวันนี้ไม่มีคิวแล้ว ให้กลับบ้านไปก่อน แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ต้องมาที่ OPD ไม่เกิน 6 โมงครึ่ง ถึงจะได้คิว เพราะคนไข้เยอะมากกกกก
เราก็เฮ้ย ฉันมาตั้งแต่ 6 โมง แต่ฉันต้องรอเอาแฟ้มประวัติก่อน กว่าจะได้ก็รีบขึ้นมาแล้วเนี่ยนะ ตอนนั้นยืนก็เกือบไม่อยู่ คนก็เยอะ หน้าก็จะมืด จะเป็นลมอยู่แล้ว หม่าม๊าเห็นเลยบอกให้ไปนั่งรอ เดี๋ยวเค้าจัดการเอง แต่ตรงนั้นก็ไม่มีที่นั่งรออีกต่างหาก เลยบอกหม่าม๊าว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวยืนพิงรอใกล้ๆนี่ละกัน หม่าม๊าเลยบอกเจ้าหน้าที่ว่า คนไข้ยืนจะไม่อยู่แล้วแบบนี้ คุณยังจะให้คนไข้กลับบ้านแล้วมาใหม่อีกเหรอ แล้วเราก็มาตั้งแต่ 6 โมง แต่ต้องรอแฟ้มที่ห้องประกันสังคม แล้วก็รีบขึ้นมาเนี่ย เจ้าหน้าที่ก็เลยยอม
สรุปกว่าจะได้เจอหมอก็ใช้เวลารออยู่ เป็นชั่วโมง (เพราะหมอมาประมาณ 9 โมง กว่าจะรอคิวอีก) พอเจอหมอ หมอก็ให้ลองเดินให้ดู ก็เดินแบบขาจะทรุดเอา หมอก็เลยให้ admit วันนั้นเลย แต่ครั้งนี้ยังหาห้องไม่ได้ แต่หมอบอกต้องให้ยาเลย
(ก็คือสเตียรอยด์เหมือนเดิม) คราวนี้ขวดแรก ก็เลยนั่งบน wheelchair แล้วก็ให้ตรงห้อง OPD นั่นแหละ พอหมดขวดก็ปาไปเกือบ 3 หรือ 4 โมงนี่แหละ พยาบาลก็เดินมาบอกว่าได้เตียงแล้ว แต่เป็นห้องรวม (ประมาณ 30 เตียง แถมไม่มีแอร์อีกต่างหาก) แต่ยังไงก็ต้องยอม เพราะต้องให้ยาประมาณ 3-5 วัน ซึ่งหมอจะดูอีกที เจ้าหน้าที่ก็ให้คนเดินเปลมาพาไป
พอไปถึง พยาบาลก็เอาชุดมาให้เปลี่ยน เอาข้าวเย็นมาให้ ทุกคืนก็จะมีนักเรียนแพทย์ ประมาณปี 2 หรือ ปี 3 นี่แหละ จำไม่ได้ จะมาวัดระดับน้ำตาลทุกคืน พร้อมกับพยาบาลมาวัดความดันทุก 6 ชม. คืนนั้นก็มีพยาบาลมาปลุกพาไปทำ MRI scan ไขสันหลัง (ปกติที่ศิริราชต้องรอคิว MRI เป็นปี แต่นี่หมอคงแทรกคิวให้ เลยได้ทำเลย)
เช้าวันที่ 2 หมอ (ซึ่งก็ยังเป็นนร.แพทย์เฉพาะทาง) ก็มาพร้อมกับนร.แพทย์ปี 2 หรือ 3 จำไม่ได้แฮะ แล้วมาขอเจาะน้ำไขสันหลัง แต่ให้นักศึกษาแพทย์เป็นคนเจาะ เอาล่ะสิ คิดอยู่ในใจว่า "ฉันจะรอดมั๊ยเนี่ย คราวนี้ต้องเจ็บกว่าปกติแน่ๆ"
จำได้ว่าครั้งนั้นโดนเจาะไป 2 ครั้ง ไอ้เก๋ก็นอนขดเป็นกุ้งเหมือนเดิม ครั้งแรกเจาะแล้วไม่มีน้ำไขสันหลัง เพราะนร.คนนั้นเกิดเจาะผิดที่ นร.แพทย์เฉพาะทางก็ยืนอธิบายไป แล้วก็ให้นร.เจอะอีกครั้ง สรุปก็เลยโดนจิ้มไป 2 ที (เอ....4 ทีสิ เพราะยาชาอีก 2 ที) ไอ้เก๋คนไข้ ก็เลยเจ็บตัวมากกว่าคราวที่แล้ว (เจ็บตัวฟรีไปครั้งนึงว่างั้นเหอะ)
คราวนี้ไม่ต้องมีคนเฝ้าก็ได้ เพราะเป็นห้องรวม แต่พยาบาลก็จะเอา walker มาไว้ให้ เวลาจะเดินไปห้องน้ำ หรืออาบน้ำ
ส่วนหม่าม๊าก็จะมาตอนเช้า อยู่จนเย็น ให้เก๋กินข้าว อาบน้ำให้เรียบร้อย แล้วถึงกลับ ครั้งนี้โดนพาไปตรวจเยอะแยะมากมาย จำไม่ได้ว่ามีอะไรบ้าง ถ้าจำไม่ผิด นอกจากทำ MRI ก็มี x-ray ปอดด้วย
ส่วนเราก็ขอย้ายห้องไปห้องที่มีแอร์กับคุณหมอ ถามหมอทุกวันก็ไม่ได้ห้องซักที ด้วยความที่หมอแฉพาะทางคยห้ามอยู่ที่ที่อากาศร้อนและแออัด แต่ยังดีที่พยาบาลเอาพัดลมมาตั้งไว้ให้ปลายเตียงเลย (555 สงสัยจะรำคาญ ถามเรื่องห้องทู๊กกกกวัน) แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ห้องนี้อยู่ชั้นสูง แล้วได้เตียงริมหน้าต่าง (แต่ขอบอกว่าไม่มีลมเลยยยยยสักนิด....เฮ่อ)
หมอก็มาดูอาการทุกวัน แล้วบอกว่า ฟิล์มที่ไปทำ MRI มา มีรอยโรคที่กระดูกสันหลังเต็มเลย แต่ก็ไม่พูดอะไรต่อ ถ้าจำไม่ผิด คราวนี้ให้ยา 3 วัน วันที่ 4 ให้กลับบ้าน
กลับมาบ้าน อาการอ่อนแรงดีขึ้นบ้างเล็กน้อย แต่ยังไม่เต็ม 100 ก็ใช้เวลาประมาณนึงในการฟื้นตัว รู้สึกว่าครั้งนี้ห่างจากการ attack ครั้งแรกแค่ไม่กี่เดือน เพราะหลังจากที่กลับไปทำงานไม่กี่วัน ก็เป็นอีก (ตอน attack ครั้งแรก หยุดงานไป 1 เดือน) ก็น่าจะห่างจากครั้งแรกแค่เดือนกว่าๆ หรือ 2 เดือนนี่แหละ กลับมาบ้าน ก็เริ่มไปทำกายภาพ ฝึกเดิน ตอนแรกก็ฝึกเดินโดยการใช้ walker ด้วย แล้วพอดีขึ้น ก็เปลี่ยนเป็นใช้ tripod (ไม้เท้าแบบ 3 ขา) พอดีขึ้นก็ให้เดินในบาร์ อ้อ....แล้วก็มีนอนแล้วยกขาข้างละ 30 ครั้ง แล้วก็อีกหลายๆท่า ที่ฝึกเกี่ยวกับการทรงตัวและออกกำลังขาและแขน
สรุปครั้งนี้หม่าม๊าก็เลยบอกให้ออกมาพักก่อนดีกว่ามั๊ย เพราะกลับไปทำงานไม่เท่าไหร่ก็เป็นอีกแล้ว หม่าม๊าก็บอกรอให้ดีขึ้นกว่านี้ก่อน แล้วค่อยกลับไปทำงานใหม่ดีกว่า
เฮ่อ......ครั้งนี้ค่อนข้างหนัก แต่ก็ยังดีที่หลังจากออกจากรพ.ไม่นานมาก แล้วก็มาทำกายภาพที่คามิลเลียนสักพัก ก็ค่อยๆดีขึ้น