หลังจากอาการของเจ้าโรค MS เด่นชัดขนาดนี้ หมอทั้ง 2 โรงพยาบาลก็ยืนยันว่าเป็นโรคนี้แน่ๆล่ะ ทีนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ไปหาหมอที่ศิริราช (เฮ่อ....ตั้งแต่เกิดมาเคยไปเยี่ยมคนไข้ครั้งนึง ไปดูซีอุยอีกครั้งนึง คราวนี้ถึงคราวที่ตัวเองต้องไปหาหมอล่ะทีนี้.... แหะแหะ) อ้อ.....ตอนนั้นน่าจะเดือนมิถุนายน 2552
วันรุ่งขึ้น ก็ได้เวลาที่เรากับหม่าม๊าไปหาหมอที่ศิริราช มีคนบอกว่าให้ไปแต่เช้าตรู่เลยนะ แล้วต้องไปทำเรื่องก่อนด้วย วันนั้นก็ไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าต้องทำยังไง รู้แต่ว่าไปถึงก็ไปถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องไปติดต่อที่ไหน ยังไง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ไปทำบัตรคนไข้ก่อน ไปที่ช่อง...... ไปถ่ายเอกสารบัตรประชาชน ใบส่งตัว บัตรประกันสังคม แล้วไปยื่นที่ช่อง..... โอย....ตายิ่งเบลอๆอยู่ด้วย ไหนจะต้องไปทำเรื่องนู่นนี่นั่น ทำบัตรใหม่ ไปห้องประกันสังคม เดินไปเดินมา ทำเรื่องตรงนู้นที ตรงนั้นที แทบเป็นลม
สรุปก็คือ พอได้บัตรคนไข้ก็ให้ไปติดต่อที่ห้องงประกันสังคม ยื่นเอกสารต่างๆ ใบส่งตัว ทำแฟ้มประวัติ (ขอบอกว่าคนเยอะมากกกกกก นี่ขนาดไปถึงตั้งแต่ 6 โมงนิดๆนะเนี่ย) พอได้แฟ้มประวัติ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ถือไปที่แผนกคนไข้นอก (OPD) ไปถึงก็แทบเป็นลม เพราะคนไข้เป็นร้อยคน ยืนรอหมอกันแบบว่าแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่แล้ว พูดง่ายๆว่ายืนไหล่ชนกันขนาดนั้นอ่ะ เฮ้อ....ถ้าใครเคยไปหาหมอที่ศิริราช คงจะนึกภาพออกนะคะไอ้เราที่ตายิ่งเบลอๆอยู่ด้วย ลมแทบจับกันเลยทีเดียว
สรุปกว่าจะได้หาหมอที่ OPD ก็เกือบ 11 โมงเข้าไปแระ น่ามึนมั๊ยล่ะเนี่ยไอ้ที่เล่าให้ฟังเนี่ย แถมคนก็เยอะมากกกกกก กว่าจะได้เจอหมอ หมดแรง พอเจอหมอ หมอเห็นอาการ หมอก็เริ่มรู้แระ แต่หมอก็เดินไปปรึกษากับหมออีกคน ทั้ง 2 หมอก็เดินมาดู แล้วก็บอกว่าเนี่ยอาการแบบนี้สวยนะเนี่ย หึหึ....ไอ้เราคนไข้ก็หน้าเสียสิ เพราะมันคือใช่เลย MS ล่ะแน่ๆ เสร็จแล้วหมอก็ถามว่า วันนี้ admit เลยได้มั๊ย เรากับหม่าม๊าก็หันมามองหน้ากันแบบว่าเหลอหลา ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ถึงกับต้อง admit เลยเหรอเนี่ย ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเข้าโรงพยาบาล หรือหาหมอแบบอาการหนักๆเลย อย่างมากก็เป็นหวัด เป็นไข้ ลาป่วยนี่แทบไม่เคยใช้เลย
เอ้า....ในเมื่อหมอบอกต้อง admit เลยเพราะต้องรีบให้ยาเร็วที่สุด แล้วก็บอกว่าคุณเป็นโรค MS นะ แล้วก็อธิบายบลา บลา บลา..... นาทีนั้นมึนแระ ใจเสีย....ตายล่ะ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลเหรอเนี่ย เพราะเคยบอกหม่าม๊าว่าเราจะไม่นอนโรงพยาบาลแน่ๆ เพราะกลัวผีอ่ะ เอาล่ะสิฉัน.....แล้วนี่ยังต้องนอนที่ศิริราชอีกเนี่ยนะ ใจก็ตุ๊มๆต่อมๆแระ ทั้งกลัว ทั้งงง ทั้งมึนสับสนไปหมด แต่ที่แน่ๆทั้งสองคนก็หันมาตอบหมอว่า “ได้ค่ะ”
ทีนี้หมอก็รีบวิ่งไปจัดการหาเตียง หาห้องให้ (ทุกคนคงรู้อยู่แล้วใช่มั๊ยจ๊ะ ว่าการหาห้องกับเตียงที่ศิริราช เป็นเรื่องยากมากกกกก) แต่หมอก็หาให้จนได้ สักเกือบ 10 นาที หมอก็เดินกลับมาบอกว่า เอ้าได้แระ เดี๋ยวไปที่ตึกปาวา ชั้น 3 นะ เป็นห้อง 4 เตียง ห้องแอร์ แต่คุณต้องมีคนเฝ้านะ
ทีนี้ทั้ง 2 คนก็หันมามองหน้ากันอีก แบบว่าส่งกระแสจิตรถามกันประมาณนั้นว่า “ใครจะเฝ้าล่ะทีนี้ หม่าม๊าเหรอ ไม่ได้หรอก ทั้งกลัวผี ทั้งต้องกลับมาดูแลพ่อที่บ้านอีก เพราะพ่อก็ไม่ค่อยสบาย ดูแลบ้านอีกเยอะแยะ จิปาถะ” เอ้า....เอาเถอะเดี๋ยวค่อยว่ากัน หมอก็บอกว่าต้องให้ยา 5 วันนะ เป็นสเตียรอยด์แบบฉีด วันละขวด 5 ขวด แล้วก็เดี๋ยวหมอจะขอเจาะเลือดแล้วก็เจาะน้ำไขสันหลังด้วยนะ เอ่อ.....เอาอีกแล้วฉัน เจาะเลือดยังไม่เคยเลย นี่ต้องให้ยา แถมเจาะไขสันหลังอีกเหรอเนี่ย เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า เจาะน้ำไขสันหลังเนี่ย เจ็บมากกกกก ไอ้เราก็คิดในใจ คราวนี้ฉันจะโดนครบเซ็ทเลยเหรอเนี่ย แง๊แง๊
หมอก็เขียนใบสั่ง admit แล้วบอกให้ไปที่ห้องประกันสังคม แล้วไปทำเรื่องนะ พอไปถึงห้องประกันสังคม ก็เอาแฟ้มประวัติไปให้ ทีนี้ก็ต้องวุ่นวายโทรกลัยไปหาที่คามิลเลี่ยน (เพราะประกันสังคมเราอยู่ที่คามิลเลี่ยน) ต้องให้ทางนั้นเปลี่ยนใบส่งตัวใหม่ เพราะในใบส่งตัวตอนแรกระบุมาว่ามาหาหมออย่างเดียว (คือใช้สำหรับ 1 วัน) ทีนี้ก็ต้องรอให้คามิลเลี่ยนส่งใบส่งตัวใหม่มาก่อน ถึงจะขึ้นไปที่ห้องคนไข้ได้
พอได้ใบส่งตัวใบใหม่ (ส่งทางแฟกซ์จ้า) คุณพยาบาลก็พาขึ้นไปที่ชั้น 3 (อ้อ ลีมบอกค่ะ ห้องประกันสังคมก็อยู่ตึกเดียวกัน) พอขึ้นไปถึง คุณพยาบาลที่ชั้น 3 ก็บอกว่าคุณใช่ไหม คนไข้ใหม่ที่หมอให้มา admit พี่พยาบาลบอก “เอ้า.....เร็วเลยค่ะ ไปเปลี่ยนชุดคนไข้ แล้วเดี๋ยวเจาะน้ำไขสันหลังเลย คุณหมอมารอนานแล้ว แล้วเดี๋บวห้อง Lab ปิด 4 โมงด้วย นี่จะ 4 โมงแระ เดี๋ยวไม่ทัน” ไอ้เราก็คิดในใจ โห...จะไม่ให้ได้ทำใจกันเลยเหรอเนี่ย
เอ้า...เอาไงก็เอากัน
พอเปลี่ยนขุดเสร็จ คุณหมอก็มาบอกให้นอนขดตัวเหมือนกุ้งนะ แล้วก็รู้สึกได้ว่าทาแอลกอฮอล์ คุณหมอก็บอกว่า “เดี๋ยวหมอจะฉีดยาชาก่อนนะครับ แล้วจะเจาะเอาน้ำไขสัหลังนะ” – ตอนนั้นกลัวก็กลัว แต่ในใจก็แอบคิดนะว่า อย่างน้อยคุณหมอก็หล่อ หน้าตาดีเชียว 555 ตอนเข็มจิ้มเข้าไปก็เอ่อ เจ็บอ่ะ น้ำตาซึม สักแป๊บหมอก็ถามว่า “ชาหรือยังครับ” เราก็เริ่มชา ทีนี้หมอก็เอาเข็มจิ้มอีกรอบ ดูดน้ำไขสันหลังออกมา พอเสร็จแล้ว หมอก็บอก “เอาล่ะ เสร็จแล้ว เดี๋ยวคุณนอนราบนิ่งๆแบบนี้ ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือยังไงเนี่ยแหละ แล้วก็ห้ามลุกนะ เดี๋ยวหน้ามืด” เฮ่อ....ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทรมานที่สุด เมื่อยก็เมื่อย ลุกก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่ได้
ตอนนี้หม่าม๊าเลยไปคุยกับคุณพยาบาลเรื่องหาคนเฝ้า คุณพยาบาลก็แนะนำให้แม่บ้านเป็นคนเฝ้าก็ได้ เพราะคนไข้ช่วนเหลือตัวเองได้ เพียงแต่ว่าตามกฎต้องมีคนเฝ้าเท่านั้น สรุปหม่าม๊าก็เลยจ้างให้พี่แม่บ้านเฝ้า (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะวันละ 400 บาทนะ แต่ถ้าให้ผู้ช่วยพยาบาลเฝ้าก็จะอีกราคานึง)
เฮ่อ....ช่วงที่อยู่ที่นี่ หมอก็จะมาดูอาการทุกวัน ทั้งหมอและหมอที่เป็น Residence หรือหมอที่กำลังเรียนเฉพาะทาง วันนึงจะมีหลายชุดเลย มาทีนึงก็ถามนู่นนี่นั่น ตรวจนู่นนี่นั่น ซักประวัติ ทำงานอะไร แต่งงานหรือยัง บลา บลา บลา แบบเนี้ยทุกวัน ขอตรวจตา เปิดๆปิดๆผ้าปิดตาทู๊กกกกววัน มีวันนึง หมอมาบอกว่าเดี๋ยวจะให้ไปเป็น case ให้กับนักศึกษาแพทย์หน่อยนะ ไปถึงมีอาจารย์กับนักศึกษาแพทย์อยู่ในห้อง อาจารย์ก็อธิบายให้นักศึกษาแพทย์ฟังว่า เราเป็นอะไร อาการเป็นยังไง ต้องรักษายังไง เราก็เฮ่อ....อารายยยยกันเนี่ย โรคนี้มันประหลาดมากเหรอเนี่ย
คุณพี่พยาบาลก็ดี๊ดี เอาโทรทัศน์มาให้ดู (จริงๆแล้วตรงนั้น จะไม่มี ต้องออกไปดูที่นอกห้อง) แต่เอาวีดีโอเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลโรคนู่นนี่นั่น ของศิริราชมาเปิดให้ดู เราก็คิดในใจเอ่อ....ขอดูอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะเนี่ย
แต่ละวันที่อยู่ที่นั่น หม่าม๊าก็มาหาทุกวัน เย็นๆก็กลับ พี่แม่บ้านก็มาเฝ้าตอนค่ำ เช้าก็กลับ เวลาจะไปเข้าห้องน้ำ หรือไปอาบน้ำ พี่แม่บ้านต้องตามไปเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วย มีวันนึง พี่เค้าไม่ได้ยืนเฝ้า เล่นเอาโดนคุณพยาบาลดุเลย พอครบ 5 วันหมอมาดูอีกที หมอก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้วนะ ส่วนตาดำที่เขออกเนี่ย ตอนนี้ยังไม่เข้าที่ ต้องใช้เวลานิดนึง เดี๋ยวก็จะค่อยๆกลับไปที่เดิมนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอก็จะหิดตาไว้ให้ก่อน แล้วจะให้ยา Methylprednisolone กลับไปทานต่ออีก (น่าจะ 10 หรือ 12 วันเนี่ยแหละ จำไม่ได้) แล้วจะนัดมาตรวจใหม่อีกทีอีก 1 เดือน
เราก็เฮ่อ.....โล่งใจ เย้เย้ ได้กลับบ้านแล้ว หลังจากที่นอนโรงพยาบาลครั้งแรกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ
หลังจากกลับบ้านไป ก็ยังเปิดตาไม่ได้ เพราะตาดำข้างขวายังเขออกมาด้านข้างอยู่ มันจะทำให้ปวดศีรษะ เพราะยังเห็นภาพซ้อน น่าจะสักเกือบเดือนได้ที่ตาดำกลับเข้าที่เดิม ตราวนี้เลยลางาน เป็นลาป่วยครั้งแรกอันแสนยาวนาน เล่นซะเดือนนึงเลยทีเดียว
อ๊ะอ๊ะ....นี่พึ่งครั้งแรกนะคะ เดี๋ยวไว้มาดูต่อว่าจะเป็นยังไงนะจ๊ะ
ตอน 3 : เอาล่ะ เจ้าเพื่อน MS มา attack แล้ว หมอจะว่ายังไงน๊าาาา
วันรุ่งขึ้น ก็ได้เวลาที่เรากับหม่าม๊าไปหาหมอที่ศิริราช มีคนบอกว่าให้ไปแต่เช้าตรู่เลยนะ แล้วต้องไปทำเรื่องก่อนด้วย วันนั้นก็ไปแบบไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่าต้องทำยังไง รู้แต่ว่าไปถึงก็ไปถามเจ้าหน้าที่ว่าต้องไปติดต่อที่ไหน ยังไง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าให้ไปทำบัตรคนไข้ก่อน ไปที่ช่อง...... ไปถ่ายเอกสารบัตรประชาชน ใบส่งตัว บัตรประกันสังคม แล้วไปยื่นที่ช่อง..... โอย....ตายิ่งเบลอๆอยู่ด้วย ไหนจะต้องไปทำเรื่องนู่นนี่นั่น ทำบัตรใหม่ ไปห้องประกันสังคม เดินไปเดินมา ทำเรื่องตรงนู้นที ตรงนั้นที แทบเป็นลม
สรุปก็คือ พอได้บัตรคนไข้ก็ให้ไปติดต่อที่ห้องงประกันสังคม ยื่นเอกสารต่างๆ ใบส่งตัว ทำแฟ้มประวัติ (ขอบอกว่าคนเยอะมากกกกกก นี่ขนาดไปถึงตั้งแต่ 6 โมงนิดๆนะเนี่ย) พอได้แฟ้มประวัติ เจ้าหน้าที่ก็บอกให้ถือไปที่แผนกคนไข้นอก (OPD) ไปถึงก็แทบเป็นลม เพราะคนไข้เป็นร้อยคน ยืนรอหมอกันแบบว่าแทบจะไม่มีที่ยืนอยู่แล้ว พูดง่ายๆว่ายืนไหล่ชนกันขนาดนั้นอ่ะ เฮ้อ....ถ้าใครเคยไปหาหมอที่ศิริราช คงจะนึกภาพออกนะคะไอ้เราที่ตายิ่งเบลอๆอยู่ด้วย ลมแทบจับกันเลยทีเดียว
สรุปกว่าจะได้หาหมอที่ OPD ก็เกือบ 11 โมงเข้าไปแระ น่ามึนมั๊ยล่ะเนี่ยไอ้ที่เล่าให้ฟังเนี่ย แถมคนก็เยอะมากกกกกก กว่าจะได้เจอหมอ หมดแรง พอเจอหมอ หมอเห็นอาการ หมอก็เริ่มรู้แระ แต่หมอก็เดินไปปรึกษากับหมออีกคน ทั้ง 2 หมอก็เดินมาดู แล้วก็บอกว่าเนี่ยอาการแบบนี้สวยนะเนี่ย หึหึ....ไอ้เราคนไข้ก็หน้าเสียสิ เพราะมันคือใช่เลย MS ล่ะแน่ๆ เสร็จแล้วหมอก็ถามว่า วันนี้ admit เลยได้มั๊ย เรากับหม่าม๊าก็หันมามองหน้ากันแบบว่าเหลอหลา ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ถึงกับต้อง admit เลยเหรอเนี่ย ตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยเข้าโรงพยาบาล หรือหาหมอแบบอาการหนักๆเลย อย่างมากก็เป็นหวัด เป็นไข้ ลาป่วยนี่แทบไม่เคยใช้เลย
เอ้า....ในเมื่อหมอบอกต้อง admit เลยเพราะต้องรีบให้ยาเร็วที่สุด แล้วก็บอกว่าคุณเป็นโรค MS นะ แล้วก็อธิบายบลา บลา บลา..... นาทีนั้นมึนแระ ใจเสีย....ตายล่ะ ฉันต้องนอนโรงพยาบาลเหรอเนี่ย เพราะเคยบอกหม่าม๊าว่าเราจะไม่นอนโรงพยาบาลแน่ๆ เพราะกลัวผีอ่ะ เอาล่ะสิฉัน.....แล้วนี่ยังต้องนอนที่ศิริราชอีกเนี่ยนะ ใจก็ตุ๊มๆต่อมๆแระ ทั้งกลัว ทั้งงง ทั้งมึนสับสนไปหมด แต่ที่แน่ๆทั้งสองคนก็หันมาตอบหมอว่า “ได้ค่ะ”
ทีนี้หมอก็รีบวิ่งไปจัดการหาเตียง หาห้องให้ (ทุกคนคงรู้อยู่แล้วใช่มั๊ยจ๊ะ ว่าการหาห้องกับเตียงที่ศิริราช เป็นเรื่องยากมากกกกก) แต่หมอก็หาให้จนได้ สักเกือบ 10 นาที หมอก็เดินกลับมาบอกว่า เอ้าได้แระ เดี๋ยวไปที่ตึกปาวา ชั้น 3 นะ เป็นห้อง 4 เตียง ห้องแอร์ แต่คุณต้องมีคนเฝ้านะ
ทีนี้ทั้ง 2 คนก็หันมามองหน้ากันอีก แบบว่าส่งกระแสจิตรถามกันประมาณนั้นว่า “ใครจะเฝ้าล่ะทีนี้ หม่าม๊าเหรอ ไม่ได้หรอก ทั้งกลัวผี ทั้งต้องกลับมาดูแลพ่อที่บ้านอีก เพราะพ่อก็ไม่ค่อยสบาย ดูแลบ้านอีกเยอะแยะ จิปาถะ” เอ้า....เอาเถอะเดี๋ยวค่อยว่ากัน หมอก็บอกว่าต้องให้ยา 5 วันนะ เป็นสเตียรอยด์แบบฉีด วันละขวด 5 ขวด แล้วก็เดี๋ยวหมอจะขอเจาะเลือดแล้วก็เจาะน้ำไขสันหลังด้วยนะ เอ่อ.....เอาอีกแล้วฉัน เจาะเลือดยังไม่เคยเลย นี่ต้องให้ยา แถมเจาะไขสันหลังอีกเหรอเนี่ย เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า เจาะน้ำไขสันหลังเนี่ย เจ็บมากกกกก ไอ้เราก็คิดในใจ คราวนี้ฉันจะโดนครบเซ็ทเลยเหรอเนี่ย แง๊แง๊
หมอก็เขียนใบสั่ง admit แล้วบอกให้ไปที่ห้องประกันสังคม แล้วไปทำเรื่องนะ พอไปถึงห้องประกันสังคม ก็เอาแฟ้มประวัติไปให้ ทีนี้ก็ต้องวุ่นวายโทรกลัยไปหาที่คามิลเลี่ยน (เพราะประกันสังคมเราอยู่ที่คามิลเลี่ยน) ต้องให้ทางนั้นเปลี่ยนใบส่งตัวใหม่ เพราะในใบส่งตัวตอนแรกระบุมาว่ามาหาหมออย่างเดียว (คือใช้สำหรับ 1 วัน) ทีนี้ก็ต้องรอให้คามิลเลี่ยนส่งใบส่งตัวใหม่มาก่อน ถึงจะขึ้นไปที่ห้องคนไข้ได้
พอได้ใบส่งตัวใบใหม่ (ส่งทางแฟกซ์จ้า) คุณพยาบาลก็พาขึ้นไปที่ชั้น 3 (อ้อ ลีมบอกค่ะ ห้องประกันสังคมก็อยู่ตึกเดียวกัน) พอขึ้นไปถึง คุณพยาบาลที่ชั้น 3 ก็บอกว่าคุณใช่ไหม คนไข้ใหม่ที่หมอให้มา admit พี่พยาบาลบอก “เอ้า.....เร็วเลยค่ะ ไปเปลี่ยนชุดคนไข้ แล้วเดี๋ยวเจาะน้ำไขสันหลังเลย คุณหมอมารอนานแล้ว แล้วเดี๋บวห้อง Lab ปิด 4 โมงด้วย นี่จะ 4 โมงแระ เดี๋ยวไม่ทัน” ไอ้เราก็คิดในใจ โห...จะไม่ให้ได้ทำใจกันเลยเหรอเนี่ย เอ้า...เอาไงก็เอากัน
พอเปลี่ยนขุดเสร็จ คุณหมอก็มาบอกให้นอนขดตัวเหมือนกุ้งนะ แล้วก็รู้สึกได้ว่าทาแอลกอฮอล์ คุณหมอก็บอกว่า “เดี๋ยวหมอจะฉีดยาชาก่อนนะครับ แล้วจะเจาะเอาน้ำไขสัหลังนะ” – ตอนนั้นกลัวก็กลัว แต่ในใจก็แอบคิดนะว่า อย่างน้อยคุณหมอก็หล่อ หน้าตาดีเชียว 555 ตอนเข็มจิ้มเข้าไปก็เอ่อ เจ็บอ่ะ น้ำตาซึม สักแป๊บหมอก็ถามว่า “ชาหรือยังครับ” เราก็เริ่มชา ทีนี้หมอก็เอาเข็มจิ้มอีกรอบ ดูดน้ำไขสันหลังออกมา พอเสร็จแล้ว หมอก็บอก “เอาล่ะ เสร็จแล้ว เดี๋ยวคุณนอนราบนิ่งๆแบบนี้ ประมาณ 8 ชั่วโมง หรือยังไงเนี่ยแหละ แล้วก็ห้ามลุกนะ เดี๋ยวหน้ามืด” เฮ่อ....ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทรมานที่สุด เมื่อยก็เมื่อย ลุกก็ไม่ได้ นั่งก็ไม่ได้
ตอนนี้หม่าม๊าเลยไปคุยกับคุณพยาบาลเรื่องหาคนเฝ้า คุณพยาบาลก็แนะนำให้แม่บ้านเป็นคนเฝ้าก็ได้ เพราะคนไข้ช่วนเหลือตัวเองได้ เพียงแต่ว่าตามกฎต้องมีคนเฝ้าเท่านั้น สรุปหม่าม๊าก็เลยจ้างให้พี่แม่บ้านเฝ้า (ถ้าจำไม่ผิด น่าจะวันละ 400 บาทนะ แต่ถ้าให้ผู้ช่วยพยาบาลเฝ้าก็จะอีกราคานึง)
เฮ่อ....ช่วงที่อยู่ที่นี่ หมอก็จะมาดูอาการทุกวัน ทั้งหมอและหมอที่เป็น Residence หรือหมอที่กำลังเรียนเฉพาะทาง วันนึงจะมีหลายชุดเลย มาทีนึงก็ถามนู่นนี่นั่น ตรวจนู่นนี่นั่น ซักประวัติ ทำงานอะไร แต่งงานหรือยัง บลา บลา บลา แบบเนี้ยทุกวัน ขอตรวจตา เปิดๆปิดๆผ้าปิดตาทู๊กกกกววัน มีวันนึง หมอมาบอกว่าเดี๋ยวจะให้ไปเป็น case ให้กับนักศึกษาแพทย์หน่อยนะ ไปถึงมีอาจารย์กับนักศึกษาแพทย์อยู่ในห้อง อาจารย์ก็อธิบายให้นักศึกษาแพทย์ฟังว่า เราเป็นอะไร อาการเป็นยังไง ต้องรักษายังไง เราก็เฮ่อ....อารายยยยกันเนี่ย โรคนี้มันประหลาดมากเหรอเนี่ย
คุณพี่พยาบาลก็ดี๊ดี เอาโทรทัศน์มาให้ดู (จริงๆแล้วตรงนั้น จะไม่มี ต้องออกไปดูที่นอกห้อง) แต่เอาวีดีโอเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลโรคนู่นนี่นั่น ของศิริราชมาเปิดให้ดู เราก็คิดในใจเอ่อ....ขอดูอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะเนี่ย
แต่ละวันที่อยู่ที่นั่น หม่าม๊าก็มาหาทุกวัน เย็นๆก็กลับ พี่แม่บ้านก็มาเฝ้าตอนค่ำ เช้าก็กลับ เวลาจะไปเข้าห้องน้ำ หรือไปอาบน้ำ พี่แม่บ้านต้องตามไปเฝ้าหน้าห้องน้ำด้วย มีวันนึง พี่เค้าไม่ได้ยืนเฝ้า เล่นเอาโดนคุณพยาบาลดุเลย พอครบ 5 วันหมอมาดูอีกที หมอก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้กลับบ้านได้แล้วนะ ส่วนตาดำที่เขออกเนี่ย ตอนนี้ยังไม่เข้าที่ ต้องใช้เวลานิดนึง เดี๋ยวก็จะค่อยๆกลับไปที่เดิมนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้หมอก็จะหิดตาไว้ให้ก่อน แล้วจะให้ยา Methylprednisolone กลับไปทานต่ออีก (น่าจะ 10 หรือ 12 วันเนี่ยแหละ จำไม่ได้) แล้วจะนัดมาตรวจใหม่อีกทีอีก 1 เดือน
เราก็เฮ่อ.....โล่งใจ เย้เย้ ได้กลับบ้านแล้ว หลังจากที่นอนโรงพยาบาลครั้งแรกแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ
หลังจากกลับบ้านไป ก็ยังเปิดตาไม่ได้ เพราะตาดำข้างขวายังเขออกมาด้านข้างอยู่ มันจะทำให้ปวดศีรษะ เพราะยังเห็นภาพซ้อน น่าจะสักเกือบเดือนได้ที่ตาดำกลับเข้าที่เดิม ตราวนี้เลยลางาน เป็นลาป่วยครั้งแรกอันแสนยาวนาน เล่นซะเดือนนึงเลยทีเดียว
อ๊ะอ๊ะ....นี่พึ่งครั้งแรกนะคะ เดี๋ยวไว้มาดูต่อว่าจะเป็นยังไงนะจ๊ะ