อาทิตย์อับแสง (บทที่ 1)
การก้าวเดินที่รวดเร็วฉับไวพร้อมกับการชำเลืองมองดูนาฬิกาข้อมือราคาแพงเกือบทุกวินาที บ่งบอกถึงความเร่งรีบของคนร่างสูงในเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดี และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มได้เป็นอย่างดี หากเมื่อเข้ามาในบริเวณที่รอขึ้นเครื่องแล้ว เขาก็ผ่อนฝีเท้าจนเกือบปรกติ
“ยังไม่ช้าเกินไปนะครับ”
ชายหนุ่มดวงหน้าคมคาย กอรปผิวบางมีไรเคราขึ้นพร้อมดวงตาฉ่ำที่ปรากฏตัวอยู่หน้าเคาน์เตอร์บอร์ดดิ้งของสายการบิน บอกกับพนักงานสาวที่รับบัตรผ่านขึ้นเครื่องพร้อมหนังสือเดินทางของเขาไปตรวจดูอย่างรวดเร็ว
“ใกล้แล้วค่ะ คุณเป็นคนสุดท้ายพอดี” พนักงานสาวต้อนรับบนเครื่องบอกด้วยรอยยิ้มตามอัธยาศัย ไม่ได้มีแววว่าไม่พอใจแต่อย่างใด
“ขอบคุณครับ” ผู้โดยสารบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วรับเอกสารคืนมา
ร่างสูงสมสัดส่วนรีบสาวเท้าเดินเข้าไปด้านในอย่างเร็ว มือข้างหนึ่งกระชับที่จับกระเป๋าลากใบเล็กที่มีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาและเอกสาร รวมทั้งของส่วนตัว อีกมือจับหูหิ้วของถุงที่ใบใหญที่บอกว่ามาจากร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน
“เส้นยาแดงผ่าแปด” คนที่มาช้าที่สุดของเที่ยวบินบอกกับตัวเอง พลางเป่าปากด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปยิ้มกับพนักงานต้อนรับ
เป็นยิ้มเจื่อนๆ ของคนที่รู้จักบริหารเสน่ห์ของตัวเองเป็นอย่างดี จึงสามารถเรียกรอยยิ้มแกมเขินอายจากพนักงานต้อนรับของชั้นธุรกิจได้เมื่อเธอรับบอร์ดดิ้งพาสไปเพื่อดูหมายเลขที่นั่ง ก่อนจะนำเขาไป
ชายหนุ่มย่อมสังเกตเห็นอาการซุบซิบของพนักงานต้อนรับคนอื่นๆ ในระแวกนั้น
คนที่มักเป็นจุดสนใจเช่นเขามักพบเจอบ่อยครั้งจนชิน เป็นเรื่องปรกติ เพียงแต่ว่าคราวนี้ เป้าหมายของการกระซิบกระซาบ…ไม่ใช่เขา แต่เป็นหญิงสาวผมยาวเป็นลอนอ่อนๆ ที่นั่งริมหน้าต่างข้างเบาะที่นั่งของเขา
ผู้หญิงคนนั้นนั่งหันข้าง มองออกไปริมหน้าตา จนไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ชัด และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเลิกสนใจ แล้วรีบเก็บสัมภาระของตัวเองไว้บนช่องเหนือที่นั่ง เมื่อเสร็จแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างรู้หน้าที่
อาการเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากหน้าที่การงานและการเลี้ยงสรรค์สันต์ตลอดห้าวันที่ผ่านมา ทำให้เขาปิดขี้เกียจเล็กน้อย และหาวติดต่อกัน ก่อนจะหันไปหยิบแก้วที่แชมเปญที่ถูกยกมาเสริฟ์
“รับด้วยไหมครับ” เขาอุตส่าห์หันไปถามคนที่นั่งติดหน้าต่าง
คำถามเป็นภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงการหันมามองของหญิงสาวผิวขาวนวลร่างเล็ก ใบหน้าเรียวบดบังด้วยแว่นตาดำใหญ่ ก่อนที่เธอจะเชิดหน้าเล็กน้อยหันไปทางด้านซ้ายเพื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างของเครื่อง
เพียงแต่คนที่ได้เห็นกลับต้องชะงัก เพราะความเคยคุ้นบางอย่าง
หากก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น นานพอๆ กับที่เขาทิ้งศีรษะพิงพนักเก้าอี้นั่ง แล้วเปรยคล้ายปรารถกับตัวเองเป็นภาษาไทยด้วยเสียงแซมหัวเราะ
“สวยซะเปล่า แต่ดันเป็นใบ้แถมตาบอดอีก…”
และเหมือนว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยิน การกดปุ่มเรียกพนักงานจึงเป็นไปทันที เสียงดังตะคอกทุกคำชัดเจนเมื่อพนักงานต้อนรับมาถึง
“ขอย้ายที่!”
คำขอนั่นทำให้คนที่นั่งพิงพนัก ลืมตาช้าๆ หันไปพร้อมรอยยิ้มเฝื่อนๆ ดวงตาเข้ม หากฉ่ำเพราะฤทธิ์เหล้าของช่วงหลายวันที่ผ่านมา เป็นประกายวาววับ
“เพราะผมเหรอ”
“มีที่ตรงไหนว่างบ้าง ฉันไม่อยากนั่งตรงนี้” หญิงสาวที่อยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงบอกด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“ขอโทษนะคะคุณเกษรา แต่ไฟท์นี้เต็มค่ะ ชั้นธุรกิจและเฟริสคลาสของเราไม่มีที่ว่างเลย” พนักงานของเครื่องบอกอย่างนอบน้อมตามที่ถูกฝึกมา
“เอาเป็นว่า ผมจะนั่งเงียบๆ ขยับตัวให้น้อยที่สุดดีไหม” คู่กรณีที่นั่งติดริมทางเดินบอกเมื่อเห็นสีหน้าแหยๆ ของพนักงานที่มองเขาอย่างเข้าใจแกมขอโทษ
การเงียบของผู้หญิงคนนั้น คล้ายว่าเจ้าตัวยอมรับในชะตากรรมของเที่ยวบินนี้ จนพนักงานต้อนรับแอบผ่อนลมหายใจช้าๆ แล้วถามชายหนุ่มที่มีสีหน้าเจื่อนๆ ช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ต้องขอโทษนะคะ” การกระซิบราวกลัวว่า…ผู้หญิงคนนั้นจะได้ยิน “จะรับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ”
ประโยคหลังถามด้วยหน้าที่ของผู้ให้บริการ หากรอยยิ้มของพนักงานสาวที่มีให้กับชายหนุ่มนั้นแกมขอบคุณในความเข้าใจและไม่ถือโกรธของเขา
“ครับ ผมขอเป็น Single Malt สก็อตนีท” เขาบอก แล้วอุตส่าห์หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ “คุณล่ะ”
“อย่ายุ่ง!”
“ครับๆ ผมจะนั่งเฉยๆ เงียบๆ อย่างไร้ตัวตน”
คนพูดหยิบสายหูฟังของที่นั่งมาใส่ แล้วกดเลือกช่องจากจอส่วนตัว ด้วยความตั้งใจว่าจะพยายามนั่งให้เงียบตลอดทาง
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองคนที่นั่งข้างๆ เป็นครั้งคราว
และทุกครั้ง ก็มักจะตามด้วยการถอนหายใจเบาๆ
เพราะ…ใจ อดไม่ได้ที่จะคิด
ไฟท์ช่วงเย็นจากฮ่องกงมีจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพฯ ม่านควันของเมืองใหญ่ทำให้หญิงสาวในแว่นตากันแดดที่ยังคงทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงอาทิตย์จางๆ ร่ำไร เมื่อเครื่องบินเพิ่มกำลังวิ่งออกจากรันเวย์ แล้วยกตัวสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า
พระอาทิตย์ยามอัสดงเห็นเป็นสีแดงอ่อนแกมส้ม หลังม่านหมอกจางๆ ควันสีเทา และเมฆที่ลอยเคว้งคว้างเป็นชั้นๆ การลาของแสงในวันนี้คงคล้ายเช่นหญิงสาวที่กำลังบอกลากับความเจ็บปวดที่เพิ่งได้พบประสบเจอมาอย่างแสนสาหัส
หยดน้ำตาคงเหลือแค่เพียงเคล้ารอยปริ่มที่ขอบตาบาง และการสะอื้นในใจเท่านั้น ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นให้ใครคนไหนเห็น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในที่สาธารณะเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เพียงแค่ละครฉากหนึ่ง แต่มันเป็นความจริงที่เธอเองจำต้องยอมรับ
น้ำตาเหือดหาย หมดไปกับการร้องไห้ตลอดคืนและวันที่ผ่านมา
เหลือเพียง ใจ ที่จำต้องเข้มแข็ง เพื่อสู้กับความจริงเท่านั้นเอง
เมื่อเครื่องบินลำใหญ่ลงจอดเทียบกับประตูเกทบนผืนแผ่นดินไทยแล้ว ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดจึงปลดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่ง ลุกขึ้นเอื้อมหยิบสัมภาระของตน
ชายหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ก็ลุกหยิบกระเป๋าและถุงของออกมาจากที่เก็บเหนือศีรษะ พลางมองไปยังหญิงสาวที่นั่งข้างเขาตลอดระยะเวลาการเดินทาง
ผู้หญิงในแว่วตากันแดดคนนั้น ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัว
“ขอให้โชคดีนะครับ และขอให้มีอารมณ์ที่เย็นขึ้นและนิสัยที่ดีขึ้นกว่านี้ อย่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม” คนพูดตีสีหน้าปรกติ ไม่สนใจริมฝีปากบางของหญิงสาวที่เหยียดเป็นเส้นตรงกัดกรามแน่น คล้ายพยายามควบคุมอารมณ์โมโหสุดขีด “ถ้านิสัยยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีใครทนคุณหรอก คุณก็คงต้องเสียใจไปจนตายเพราะผู้ชาย”
ว่าแล้วร่างสูงก็เดินจากมาทันที ไม่สนใจเสียงที่ไล่หลังมา
“ไอ้บ้า!”
(ต่อ)
อาทิตย์อับแสง (บทที่ 1) โดย มานัส
การก้าวเดินที่รวดเร็วฉับไวพร้อมกับการชำเลืองมองดูนาฬิกาข้อมือราคาแพงเกือบทุกวินาที บ่งบอกถึงความเร่งรีบของคนร่างสูงในเสื้อเชิ้ตผ้าเนื้อดี และกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มได้เป็นอย่างดี หากเมื่อเข้ามาในบริเวณที่รอขึ้นเครื่องแล้ว เขาก็ผ่อนฝีเท้าจนเกือบปรกติ
“ยังไม่ช้าเกินไปนะครับ”
ชายหนุ่มดวงหน้าคมคาย กอรปผิวบางมีไรเคราขึ้นพร้อมดวงตาฉ่ำที่ปรากฏตัวอยู่หน้าเคาน์เตอร์บอร์ดดิ้งของสายการบิน บอกกับพนักงานสาวที่รับบัตรผ่านขึ้นเครื่องพร้อมหนังสือเดินทางของเขาไปตรวจดูอย่างรวดเร็ว
“ใกล้แล้วค่ะ คุณเป็นคนสุดท้ายพอดี” พนักงานสาวต้อนรับบนเครื่องบอกด้วยรอยยิ้มตามอัธยาศัย ไม่ได้มีแววว่าไม่พอใจแต่อย่างใด
“ขอบคุณครับ” ผู้โดยสารบอกพร้อมรอยยิ้มกว้าง แล้วรับเอกสารคืนมา
ร่างสูงสมสัดส่วนรีบสาวเท้าเดินเข้าไปด้านในอย่างเร็ว มือข้างหนึ่งกระชับที่จับกระเป๋าลากใบเล็กที่มีทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาและเอกสาร รวมทั้งของส่วนตัว อีกมือจับหูหิ้วของถุงที่ใบใหญที่บอกว่ามาจากร้านค้าปลอดภาษีในสนามบิน
“เส้นยาแดงผ่าแปด” คนที่มาช้าที่สุดของเที่ยวบินบอกกับตัวเอง พลางเป่าปากด้วยความโล่งอก ก่อนจะหันไปยิ้มกับพนักงานต้อนรับ
เป็นยิ้มเจื่อนๆ ของคนที่รู้จักบริหารเสน่ห์ของตัวเองเป็นอย่างดี จึงสามารถเรียกรอยยิ้มแกมเขินอายจากพนักงานต้อนรับของชั้นธุรกิจได้เมื่อเธอรับบอร์ดดิ้งพาสไปเพื่อดูหมายเลขที่นั่ง ก่อนจะนำเขาไป
ชายหนุ่มย่อมสังเกตเห็นอาการซุบซิบของพนักงานต้อนรับคนอื่นๆ ในระแวกนั้น
คนที่มักเป็นจุดสนใจเช่นเขามักพบเจอบ่อยครั้งจนชิน เป็นเรื่องปรกติ เพียงแต่ว่าคราวนี้ เป้าหมายของการกระซิบกระซาบ…ไม่ใช่เขา แต่เป็นหญิงสาวผมยาวเป็นลอนอ่อนๆ ที่นั่งริมหน้าต่างข้างเบาะที่นั่งของเขา
ผู้หญิงคนนั้นนั่งหันข้าง มองออกไปริมหน้าตา จนไม่สามารถเห็นใบหน้าได้ชัด และเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงเลิกสนใจ แล้วรีบเก็บสัมภาระของตัวเองไว้บนช่องเหนือที่นั่ง เมื่อเสร็จแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่งพร้อมรัดเข็มขัดนิรภัยอย่างรู้หน้าที่
อาการเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากหน้าที่การงานและการเลี้ยงสรรค์สันต์ตลอดห้าวันที่ผ่านมา ทำให้เขาปิดขี้เกียจเล็กน้อย และหาวติดต่อกัน ก่อนจะหันไปหยิบแก้วที่แชมเปญที่ถูกยกมาเสริฟ์
“รับด้วยไหมครับ” เขาอุตส่าห์หันไปถามคนที่นั่งติดหน้าต่าง
คำถามเป็นภาษาอังกฤษนั้นไม่ได้รับคำตอบ มีเพียงการหันมามองของหญิงสาวผิวขาวนวลร่างเล็ก ใบหน้าเรียวบดบังด้วยแว่นตาดำใหญ่ ก่อนที่เธอจะเชิดหน้าเล็กน้อยหันไปทางด้านซ้ายเพื่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างของเครื่อง
เพียงแต่คนที่ได้เห็นกลับต้องชะงัก เพราะความเคยคุ้นบางอย่าง
หากก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น นานพอๆ กับที่เขาทิ้งศีรษะพิงพนักเก้าอี้นั่ง แล้วเปรยคล้ายปรารถกับตัวเองเป็นภาษาไทยด้วยเสียงแซมหัวเราะ
“สวยซะเปล่า แต่ดันเป็นใบ้แถมตาบอดอีก…”
และเหมือนว่าคนที่นั่งข้างๆ จะได้ยิน การกดปุ่มเรียกพนักงานจึงเป็นไปทันที เสียงดังตะคอกทุกคำชัดเจนเมื่อพนักงานต้อนรับมาถึง
“ขอย้ายที่!”
คำขอนั่นทำให้คนที่นั่งพิงพนัก ลืมตาช้าๆ หันไปพร้อมรอยยิ้มเฝื่อนๆ ดวงตาเข้ม หากฉ่ำเพราะฤทธิ์เหล้าของช่วงหลายวันที่ผ่านมา เป็นประกายวาววับ
“เพราะผมเหรอ”
“มีที่ตรงไหนว่างบ้าง ฉันไม่อยากนั่งตรงนี้” หญิงสาวที่อยู่ในเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงบอกด้วยเสียงค่อนข้างดัง
“ขอโทษนะคะคุณเกษรา แต่ไฟท์นี้เต็มค่ะ ชั้นธุรกิจและเฟริสคลาสของเราไม่มีที่ว่างเลย” พนักงานของเครื่องบอกอย่างนอบน้อมตามที่ถูกฝึกมา
“เอาเป็นว่า ผมจะนั่งเงียบๆ ขยับตัวให้น้อยที่สุดดีไหม” คู่กรณีที่นั่งติดริมทางเดินบอกเมื่อเห็นสีหน้าแหยๆ ของพนักงานที่มองเขาอย่างเข้าใจแกมขอโทษ
การเงียบของผู้หญิงคนนั้น คล้ายว่าเจ้าตัวยอมรับในชะตากรรมของเที่ยวบินนี้ จนพนักงานต้อนรับแอบผ่อนลมหายใจช้าๆ แล้วถามชายหนุ่มที่มีสีหน้าเจื่อนๆ ช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
“ต้องขอโทษนะคะ” การกระซิบราวกลัวว่า…ผู้หญิงคนนั้นจะได้ยิน “จะรับเครื่องดื่มเพิ่มไหมคะ”
ประโยคหลังถามด้วยหน้าที่ของผู้ให้บริการ หากรอยยิ้มของพนักงานสาวที่มีให้กับชายหนุ่มนั้นแกมขอบคุณในความเข้าใจและไม่ถือโกรธของเขา
“ครับ ผมขอเป็น Single Malt สก็อตนีท” เขาบอก แล้วอุตส่าห์หันไปถามคนที่นั่งข้างๆ “คุณล่ะ”
“อย่ายุ่ง!”
“ครับๆ ผมจะนั่งเฉยๆ เงียบๆ อย่างไร้ตัวตน”
คนพูดหยิบสายหูฟังของที่นั่งมาใส่ แล้วกดเลือกช่องจากจอส่วนตัว ด้วยความตั้งใจว่าจะพยายามนั่งให้เงียบตลอดทาง
แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะปรายตามองคนที่นั่งข้างๆ เป็นครั้งคราว
และทุกครั้ง ก็มักจะตามด้วยการถอนหายใจเบาๆ
เพราะ…ใจ อดไม่ได้ที่จะคิด
ไฟท์ช่วงเย็นจากฮ่องกงมีจุดหมายปลายทางที่กรุงเทพฯ ม่านควันของเมืองใหญ่ทำให้หญิงสาวในแว่นตากันแดดที่ยังคงทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเพียงแสงอาทิตย์จางๆ ร่ำไร เมื่อเครื่องบินเพิ่มกำลังวิ่งออกจากรันเวย์ แล้วยกตัวสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า
พระอาทิตย์ยามอัสดงเห็นเป็นสีแดงอ่อนแกมส้ม หลังม่านหมอกจางๆ ควันสีเทา และเมฆที่ลอยเคว้งคว้างเป็นชั้นๆ การลาของแสงในวันนี้คงคล้ายเช่นหญิงสาวที่กำลังบอกลากับความเจ็บปวดที่เพิ่งได้พบประสบเจอมาอย่างแสนสาหัส
หยดน้ำตาคงเหลือแค่เพียงเคล้ารอยปริ่มที่ขอบตาบาง และการสะอื้นในใจเท่านั้น ไม่มีร่องรอยอย่างอื่นให้ใครคนไหนเห็น อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในที่สาธารณะเช่นนี้
นี่ไม่ใช่เพียงแค่ละครฉากหนึ่ง แต่มันเป็นความจริงที่เธอเองจำต้องยอมรับ
น้ำตาเหือดหาย หมดไปกับการร้องไห้ตลอดคืนและวันที่ผ่านมา
เหลือเพียง ใจ ที่จำต้องเข้มแข็ง เพื่อสู้กับความจริงเท่านั้นเอง
เมื่อเครื่องบินลำใหญ่ลงจอดเทียบกับประตูเกทบนผืนแผ่นดินไทยแล้ว ผู้โดยสารเกือบทั้งหมดจึงปลดเข็มขัดนิรภัยของที่นั่ง ลุกขึ้นเอื้อมหยิบสัมภาระของตน
ชายหนุ่มที่นั่งเงียบมาตลอดทาง ก็ลุกหยิบกระเป๋าและถุงของออกมาจากที่เก็บเหนือศีรษะ พลางมองไปยังหญิงสาวที่นั่งข้างเขาตลอดระยะเวลาการเดินทาง
ผู้หญิงในแว่วตากันแดดคนนั้น ยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับตัว
“ขอให้โชคดีนะครับ และขอให้มีอารมณ์ที่เย็นขึ้นและนิสัยที่ดีขึ้นกว่านี้ อย่าสวยแต่รูปจูบไม่หอม” คนพูดตีสีหน้าปรกติ ไม่สนใจริมฝีปากบางของหญิงสาวที่เหยียดเป็นเส้นตรงกัดกรามแน่น คล้ายพยายามควบคุมอารมณ์โมโหสุดขีด “ถ้านิสัยยังเป็นแบบนี้ ก็ไม่มีใครทนคุณหรอก คุณก็คงต้องเสียใจไปจนตายเพราะผู้ชาย”
ว่าแล้วร่างสูงก็เดินจากมาทันที ไม่สนใจเสียงที่ไล่หลังมา
“ไอ้บ้า!”
(ต่อ)