ทุกวันนี้ การล่วงล้ำสิทธิ์มีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่น การประท้วงที่ทำให้คนทั่วไปต้องได้รับความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน การเลือกข้างที่ไม่ใช่ข้างตนเอง ก็มีการประสงค์ร้ายทำให้คนเหล่านั้นได้รับความเสียหาย
ปกติการแสดงออกทางด้านการเมืองเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่ได้รับการเคารพสิทธิ์จากคนอื่นมาเนิ่นนาน ยกตัวอย่างประเทศอเมริกา มีเพียงสองพรรคใหญ่ ก็ไม่เห็นจะต้องออกมาห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่งแบบที่บ้านเรากระทำกันอยู่ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในครอบครัว ในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแม้ในครอบครัวเดียวกัน พบว่าไม่ได้มีทัศนคติทางการเมืองในทิศทางเดียวกันเสียทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ในการรับประทานอาหาร อาจสงบปากสงบคำที่เคารพสิทธิ์ของกันและกัน ทุกวันนี้มีการดูถูก ด่าทอ กันมากขึ้น เพราะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประเด็นมาโจมตีก็จะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจไม่จบสิ้น หลายคนกล่าวหาว่า นักการเมืองที่ไม่ดีเป็นก่อเรื่องเหล่านี้...ทำให้ตนเองและครอบครัว สังคมต้องแตกแยก อยากบอกว่าสิ่งเหล่านี้เสมือนโรคร้ายที่ยังไม่มียารักษาได้แอบแฝงอยู่...รอท่านเข้าไปสัมผัส ประมาณ 100 คน มีคนที่รับเชื้อไปแล้ว 1 คน เป็นสถิติที่หลายคนยังไม่ทราบ เช่นเดียวกับโรคแตกแยกในสังคมที่หลายองค์กรที่รักชาติและสนับสนุนการประท้วง...ไม่พยายามขุดคุ้ย ทุกวันนี้เป็นกันมากขึ้น เนื่องจากมีการแสดงตัวตนมากขึ้น เลือกข้างมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งหากการต่อสู้ทางการเมืองเป็นแบบที่ไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนก็จะไม่ผิดประการใด
คำถาม
ถ้าเราไม่ไปสัมผัสผู้ที่รับเชื้อ...ท่านจะได้เชื้อร้ายนั้นมาหรือไม่?
ถ้าท่านไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องการเมืองแบบผิดๆ ท่านจะได้เชื้อที่ไม่ดีติดตัวมาหรือไม่?
คนที่เป็นอยู่แล้ว เราคอยช่วยดูแล สนับสนุนเขาได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวเอง ครอบครัวและคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อน การเมือง...แม้ไม่ใช่เรื่องที่รักษาไม่ได้ แต่ต้องกระทำอย่างที่ประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วเขากระทำกัน อย่าโทษคนอื่น เพราะถึงเวลาท่านลำบากจริงๆ อาจไม่มีใครสักคนที่ไปประท้วงด้วยกันมาช่วยท่าน โบราณว่าไว้ท่านต้องพึ่งพาตนเองดีที่สุด ธุรกิจท่านเสียหาย ก็ต้องดูตามหลักการว่าท่านเอาไปผูกกับเศรษฐกิจไว้หรือ?...ทำไม? และชาญฉลาดแล้วหรือ? ประเทศไทยกับการเมืองแบบไม่เต็มใบนัก ท่านจะหวังอะไรมากมาย...?
มองรอบๆตัว...แล้วคิดช่วยกัน ทุกวันนี้ทักษิณก็ไม่อยู่แล้ว...
น้องเขาก็ใช่ว่าอยู่สุขสบายทำตามอำเภอใจได้ ชาวบ้านจับตามองทุกฝีก้าว
การดูแลให้อยู่ในครรลองของกฏหมาย เป็นสิ่งที่ควรกระทำและเป็นการแก้ไขแบบยั่งยืน
แต่ไม่ใช่การแก้ไขจากการบังคับขู่เข็ญ ทำให้ประชาชนหรือชาติบ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวายอย่างแน่นอน
...
ความแตกแยกในครอบครัว...โรคเอดส์การเมืองที่หลายคนมองข้าม?
ปกติการแสดงออกทางด้านการเมืองเป็นเรื่องส่วนบุคคล ที่ได้รับการเคารพสิทธิ์จากคนอื่นมาเนิ่นนาน ยกตัวอย่างประเทศอเมริกา มีเพียงสองพรรคใหญ่ ก็ไม่เห็นจะต้องออกมาห้ำหั่นกันให้ตายไปข้างหนึ่งแบบที่บ้านเรากระทำกันอยู่ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในครอบครัว ในสังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะแม้ในครอบครัวเดียวกัน พบว่าไม่ได้มีทัศนคติทางการเมืองในทิศทางเดียวกันเสียทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ในการรับประทานอาหาร อาจสงบปากสงบคำที่เคารพสิทธิ์ของกันและกัน ทุกวันนี้มีการดูถูก ด่าทอ กันมากขึ้น เพราะเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประเด็นมาโจมตีก็จะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองใจไม่จบสิ้น หลายคนกล่าวหาว่า นักการเมืองที่ไม่ดีเป็นก่อเรื่องเหล่านี้...ทำให้ตนเองและครอบครัว สังคมต้องแตกแยก อยากบอกว่าสิ่งเหล่านี้เสมือนโรคร้ายที่ยังไม่มียารักษาได้แอบแฝงอยู่...รอท่านเข้าไปสัมผัส ประมาณ 100 คน มีคนที่รับเชื้อไปแล้ว 1 คน เป็นสถิติที่หลายคนยังไม่ทราบ เช่นเดียวกับโรคแตกแยกในสังคมที่หลายองค์กรที่รักชาติและสนับสนุนการประท้วง...ไม่พยายามขุดคุ้ย ทุกวันนี้เป็นกันมากขึ้น เนื่องจากมีการแสดงตัวตนมากขึ้น เลือกข้างมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งหากการต่อสู้ทางการเมืองเป็นแบบที่ไม่ทำให้ประชาชนเดือดร้อนก็จะไม่ผิดประการใด
คำถาม
ถ้าเราไม่ไปสัมผัสผู้ที่รับเชื้อ...ท่านจะได้เชื้อร้ายนั้นมาหรือไม่?
ถ้าท่านไม่เข้าไปยุ่งกับเรื่องการเมืองแบบผิดๆ ท่านจะได้เชื้อที่ไม่ดีติดตัวมาหรือไม่?
คนที่เป็นอยู่แล้ว เราคอยช่วยดูแล สนับสนุนเขาได้ โดยที่ไม่ทำให้ตัวเอง ครอบครัวและคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อน การเมือง...แม้ไม่ใช่เรื่องที่รักษาไม่ได้ แต่ต้องกระทำอย่างที่ประเทศประชาธิปไตยที่เจริญแล้วเขากระทำกัน อย่าโทษคนอื่น เพราะถึงเวลาท่านลำบากจริงๆ อาจไม่มีใครสักคนที่ไปประท้วงด้วยกันมาช่วยท่าน โบราณว่าไว้ท่านต้องพึ่งพาตนเองดีที่สุด ธุรกิจท่านเสียหาย ก็ต้องดูตามหลักการว่าท่านเอาไปผูกกับเศรษฐกิจไว้หรือ?...ทำไม? และชาญฉลาดแล้วหรือ? ประเทศไทยกับการเมืองแบบไม่เต็มใบนัก ท่านจะหวังอะไรมากมาย...?
มองรอบๆตัว...แล้วคิดช่วยกัน ทุกวันนี้ทักษิณก็ไม่อยู่แล้ว...
น้องเขาก็ใช่ว่าอยู่สุขสบายทำตามอำเภอใจได้ ชาวบ้านจับตามองทุกฝีก้าว
การดูแลให้อยู่ในครรลองของกฏหมาย เป็นสิ่งที่ควรกระทำและเป็นการแก้ไขแบบยั่งยืน
แต่ไม่ใช่การแก้ไขจากการบังคับขู่เข็ญ ทำให้ประชาชนหรือชาติบ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวายอย่างแน่นอน
...