บ้านเมืองวุ่นวาย แล้วอ้างคนแดนไกล
ช่างเป็นเรื่องตลก และเป็นวาทะกรรม
ที่คนบ้า พวกหนึ่งนำมาใช้ตีกิน กับพวกมากจริตอยู่บ่อย ๆ
และก็หากินได้เรื่อย ๆ กับพวกมากอคติพวกนี้......
เรื่องสำคัญจริง ๆ มันไม่ใช่คนแดนไกลที่ไม่รู้จักพอ
แต่มันเป็นเพราะ ประชาชนในประเทศ เขาฉลาดขึ้นในการรู้สิทธิ์
อันพึงมีพึงได้ โอกาสที่จะต้องได้รับ หรือการันตีจากผู้ปกครอง
ที่ใช้อำนาจ ครอบครองทรัพยากรของประเทศ ......
ว่าในระบอบ การปกครองแบบ ปชต พวกเขา ต้องได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์
อย่างเป็นธรรม และเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ผูกขาดเฉพาะชนชั้นปกครอง หรือผู้มีอำนาจเท่านั้น
ซึ่งที่ผ่าน ๆ ก็ไม่เคยมีใคร แจ้งสิทธิ์ให้เขาทราบ มีคนแดนไกลเท่านั้น
ที่เข้ามาปกครอง แล้วทำให้พวกเขากินดีอยู่ดี เป็นที่หลงไหลได้ปลื้ม
รักเทิดทูน นิยมศรัทธายิ่งกว่าใคร จึงเป็นที่มาของโรคขี้อิจฉา ซึ่งมีเชื้อ
และสายพันธุ์ในเผ่าคนไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กำเริบหนัก เพราะเห็นคนอื่นมีคนรักมากกว่าตน
คนแดนไกล ก็เป็นเพียงตัวอย่าง ของคนที่ใช้อำนาจนั้น แล้วแบ่งปันผลประโยชน์
คือทรัพยากรของชาติ อย่างเป็นธรรม และทั่วถึง ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน
เพราะผู้ปกครองสมัยก่อน หรือที่ผ่านมาส่วนมาก ไม่ต้องการให้ประชาชนฉลาด
เพราะถือตรรกะ แบบโบราณคือ จะปกครองยากส์ และกระด้างกระเดื่องต่อผู้มีอำนาจ
ซึ่งความวุ่นวายในปัจจุบัน เพราะผู้ปกครองคิดแบบนี้
แต่ประชาชนเขาไปไกลกว่าผู้ปกครองพวกเขา แม้ไม่มีคนแดนไกล ประเทศก็ยังคงวุ่นวาย
เพราะประชาชนคงจะไม่ยอม ให้อำนาจรัฐ หรือผู้ปกครอง ผูกขาดในทรัพยากรของชาติ
อย่างที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไป การเรียกร้องสิทธิ์ อันพึงมีพึงได้ก็ยังจะต้องดำเนินต่อไป
ตราบใด ที่ผู้ปกครอง ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่โลกกาภิวัฒน์ ที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน
แล้วคุณยังคิดอยู่หรือว่า คนแดนไกลคือสาเหตุแห่งความวุนวาย
ไม่มีคนแดนไกล หากผุ้ปกครองยังใช้อำนาจ หรือแบ่งปันทรัพยากรของชาติ
ไม่เป็นธรรม หรือใช้อำนาจแบบที่ผ่านมาในอดีต เชื่อว่าประชานจะออกมาลุกฮือ
ประท้วงหรือขับไล่ผู้ใช้อำนาจเหล่านั้น และนำความวุ่นวายมาสู่ประเทศ แบบไม่จบไม่สิ้น
ประชาชน ทุกวันนี้ฉลาดเป็นกรด รู้กระทั่งสิทธิ์อันใหนที่รัฐ จะกระทำหรือไม่กระทำกับพวกเขา
ในขณะที่ผู้ปกครองบางคน ยังไม่รู้เลยว่า สิทธิ์ที่ตัวเองใช้ปกครอง หรือกฏหมายที่บังคับใช้กับประชาชนอยู่นั้น
ถูกต้องแล้ว ชอบแล้ว ใช้ได้ไหม เพราะเห็นโยนกัน ถามกันมั่ว ว่าต้องไปถามหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้อยู่บ่อย ๆ
++++ บ้านเมืองวุ่นวาย เพราะคนแดนไกลไม่รู้จักพอ เป็นตรรกะที่ ตลกสิ้นดี ++++
ช่างเป็นเรื่องตลก และเป็นวาทะกรรม
ที่คนบ้า พวกหนึ่งนำมาใช้ตีกิน กับพวกมากจริตอยู่บ่อย ๆ
และก็หากินได้เรื่อย ๆ กับพวกมากอคติพวกนี้......
เรื่องสำคัญจริง ๆ มันไม่ใช่คนแดนไกลที่ไม่รู้จักพอ
แต่มันเป็นเพราะ ประชาชนในประเทศ เขาฉลาดขึ้นในการรู้สิทธิ์
อันพึงมีพึงได้ โอกาสที่จะต้องได้รับ หรือการันตีจากผู้ปกครอง
ที่ใช้อำนาจ ครอบครองทรัพยากรของประเทศ ......
ว่าในระบอบ การปกครองแบบ ปชต พวกเขา ต้องได้รับการแบ่งปันผลประโยชน์
อย่างเป็นธรรม และเท่าเทียมกัน ไม่ใช่ผูกขาดเฉพาะชนชั้นปกครอง หรือผู้มีอำนาจเท่านั้น
ซึ่งที่ผ่าน ๆ ก็ไม่เคยมีใคร แจ้งสิทธิ์ให้เขาทราบ มีคนแดนไกลเท่านั้น
ที่เข้ามาปกครอง แล้วทำให้พวกเขากินดีอยู่ดี เป็นที่หลงไหลได้ปลื้ม
รักเทิดทูน นิยมศรัทธายิ่งกว่าใคร จึงเป็นที่มาของโรคขี้อิจฉา ซึ่งมีเชื้อ
และสายพันธุ์ในเผ่าคนไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กำเริบหนัก เพราะเห็นคนอื่นมีคนรักมากกว่าตน
คนแดนไกล ก็เป็นเพียงตัวอย่าง ของคนที่ใช้อำนาจนั้น แล้วแบ่งปันผลประโยชน์
คือทรัพยากรของชาติ อย่างเป็นธรรม และทั่วถึง ซึ่งไม่เคยมีใครสามารถทำได้มาก่อน
เพราะผู้ปกครองสมัยก่อน หรือที่ผ่านมาส่วนมาก ไม่ต้องการให้ประชาชนฉลาด
เพราะถือตรรกะ แบบโบราณคือ จะปกครองยากส์ และกระด้างกระเดื่องต่อผู้มีอำนาจ
ซึ่งความวุ่นวายในปัจจุบัน เพราะผู้ปกครองคิดแบบนี้
แต่ประชาชนเขาไปไกลกว่าผู้ปกครองพวกเขา แม้ไม่มีคนแดนไกล ประเทศก็ยังคงวุ่นวาย
เพราะประชาชนคงจะไม่ยอม ให้อำนาจรัฐ หรือผู้ปกครอง ผูกขาดในทรัพยากรของชาติ
อย่างที่ผ่าน ๆ มาอีกต่อไป การเรียกร้องสิทธิ์ อันพึงมีพึงได้ก็ยังจะต้องดำเนินต่อไป
ตราบใด ที่ผู้ปกครอง ยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามที่โลกกาภิวัฒน์ ที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน
แล้วคุณยังคิดอยู่หรือว่า คนแดนไกลคือสาเหตุแห่งความวุนวาย
ไม่มีคนแดนไกล หากผุ้ปกครองยังใช้อำนาจ หรือแบ่งปันทรัพยากรของชาติ
ไม่เป็นธรรม หรือใช้อำนาจแบบที่ผ่านมาในอดีต เชื่อว่าประชานจะออกมาลุกฮือ
ประท้วงหรือขับไล่ผู้ใช้อำนาจเหล่านั้น และนำความวุ่นวายมาสู่ประเทศ แบบไม่จบไม่สิ้น
ประชาชน ทุกวันนี้ฉลาดเป็นกรด รู้กระทั่งสิทธิ์อันใหนที่รัฐ จะกระทำหรือไม่กระทำกับพวกเขา
ในขณะที่ผู้ปกครองบางคน ยังไม่รู้เลยว่า สิทธิ์ที่ตัวเองใช้ปกครอง หรือกฏหมายที่บังคับใช้กับประชาชนอยู่นั้น
ถูกต้องแล้ว ชอบแล้ว ใช้ได้ไหม เพราะเห็นโยนกัน ถามกันมั่ว ว่าต้องไปถามหน่วยงานนั้นหน่วยงานนี้อยู่บ่อย ๆ