สวัสดีครับ เพิ่งจะสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกาผ่านหมาดๆ เลยอยากจะแชร์ประสบการณ์เผื่อจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ เพราะผมเอง ก่อนหน้านี้ ก็เห็นในกระทู้ต่างๆ มีข้อห้ามหลายอย่างมาก ที่เพื่อนๆหลายๆคนแชร์กันมาเช่น อย่าไปบอกเค้านะว่ามีคนรู้จักอยู่ที่นั่น, อย่าไปใส่ว่ามีญาติอยู่ที่นั่น, สถานที่ติดต่อ อย่าใส่บ้านเพื่อน ให้ใส่โรงแรม ฯลฯ ข้อห้ามต่างๆมากมาย ซึ่งทำเอาผมนอยด์ไปพักนึงเหมือกัน เพราะผมทำทุกอย่างที่เค้าห้ามหมดเลย (ใส่ชื่อเพื่อนเป็นสถานที่ติดต่อ ใส่ที่พักเป็นบ้านเพื่อน ระบุไปว่ามีญาติอยู่ที่นั่น แม้จะเป็นญาติห่างๆ) ก็เลยเอามาแชร์กันครับ
วัตถุประสงค์ที่ผมจะไปคือ แฟนผมอาจารย์เป็นหมอ ได้ทุนมหาวิทยาลัยไปทำวิจัยที่อเมริกา 1 ปี ผมไม่เคยไปอเมริกา ก็อยากไปเยี่ยม ก็กรอกไปหมด ว่าจะไปเยี่ยมแฟน แล้วก็เที่ยว ระยะเวลา 14 วัน เอกสารที่ผมเตรียมไปก็มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท (ทำงานมา 5 ปี เงินเดือน 6 หลัก ระบุวันเดินทางไปกลับเรียบร้อย 14 วันช่วงสงกรานต์) แล้วก็มีสำเนาวีซ่าของแฟนติดมือไปด้วย
นัดเข้าระบบสัมภาษณ์ได้ 9 โมงครึ่ง แต่แปดโมงห้าสิบ เค้าก็ให้ต่อแถวแล้วครับ ก็ตรวจเอกสาร เค้าก็เอาแค่ Passport ผม กับใบ Confirmation และหนังสือรับรองการทำงานแนบไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ไปถึงขั้นพิมพ์ลายนิ้วมือ
ที่ตอนพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็มีถามว่าไปทำอะไร (เียี่ยมเพื่อน + เที่ยว) เคยไปอเมริกาไหม (ไม่เคย) มีญาติไหม (มี) เค้าก็บอกว่า ดีแล้ว ที่ตอบความจริง (แสดงว่าเค้าคงเช็คในระบบได้ว่าเรามีญาติอยู่ที่นั่นจริง แม้จะเป็นญาติห่างๆของผมซึ่งแทบไม่เคยติดต่อกันก็ตาม)
สักพักก็สัมภาษณ์ครับ ท่านกงสุลผู้ชายท่าทางใจดีหน่อย (แต่กับคุณป้าก่อนหน้าผม โดนสัมภาษณ์ไปเกือบ 10 นาที แต่ก็ผ่าน) ผมก็บอกว่า Good Morning ท่านกงสุลก็เลยถามว่า พูดอังกฤษได้นะ ผมก็โอเค
อีนนี้แปลแล้วนะคับ
ท่านกงสุล - ""What's your name?"
ผม - "My Name is ... "
ท่านกงกสุล - "What will you do in the US?"
ผม - "To visit a friend in Houston then we'll fly over to DC & New York together. My friend is doing his Postdoctoral Fellowship overthere"
ท่านกงสุล - "How long have you known your friend?"
ผม - "Almost 10 years"
ท่านกงสุลคราวนี้ถามเป็นภาษาไทยครับ "เป็นเพื่อน หรือเป็นแฟน"
ผมก็นั่งคิดในใจ ตอบไงดีฟะ คือ แฟนผมเป็นผู้ชายน่ะครับ ก็เลยตอบไปว่า "Actually ... he's my boyfriend"
ท่านกงสุลก็อึ้งไปนิดนึง คงไม่คิดว่าจะตอบตรงๆ แล้วก็มองหน้าผม แล้วก็ "Ok" ผมเห็นท่านคีย์อะไรนิดหน่อย ผมก็เลยบอกว่า "I got a copy of his VISA." ท่านกงสุลเลยบอก "May I see?" ผมเลยส่งให้ดู ท่านก็ดูแล้วก็ส่งคืน
ถามต่อว่า "How long have you been together?"
ผม "We've been together for 3 years"
ท่านถามต่อ "How long will you stay there ?"
ผม "Around 2 weeks"
จากนั้นท่านก็ดูใบรับรองการทำงานผม คีย์ข้อมูลอะไรนิดหน่อย แล้วก็ส่งคืน บอกว่า "Ok, All set" ผมก็ "Thank you krub"
เอกสารอื่นๆที่เตรียมไป ไม่ได้ใช้เลยครับ Statement บัญชีธนาคาร, กองทุนรวม, การลงทุนต่างๆ
โดยสรุปแล้ว ผมว่า สิ่งที่ำทำให้ผมผ่านวีซ่าคือ
1. หน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง รายได้ค่อนข้างโอเค ทำงานมานาน
2. กรอกข้อมูลทุกอย่างตรงไปตรงมา เวลาท่านถามคำถาม เราก็ไม่ต้องโกหก มีเพื่อน ก็คือมีเพื่อน มีญาติ ก็คือมีญาติ เพราะเชื่อว่าทางสถานฑูตตรวจสอบได้แน่นอน
3. ผมตอบทุกอย่างตามจริง (ขนาดถามเรื่องแฟน ยังกล้าตอบเลย จริงๆตอนแรกก็ไม่กล้าตอบหรอก เขิน แต่ตอนนั้น แถวสัมภาษณ์แทบไม่มีคนหล่ะ)
สุดท้ายก็ได้มาเรียบร้อย ไม่ได้ถามว่าได้กี่ปี แต่คงได้ตามมาตรฐานคนอื่นๆมั้งครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกเพื่อนๆว่า ถ้าเราตอบทุกอย่างตามจริง ไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไร (แม้ว่าท่านจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะปิดบังก็ตาม) ไม่น่ากังวลอะไรเลยครับ
ปล. มีคนบอกว่า ถ้าผมไม่บอกว่าไปเี่ยี่ยมเพื่อน บอกแค่ไปเที่ยวก็จบแล้ว แต่ผมว่า จริงใจ มีอะไรบอกไป น่าจะดีกว่านะครับ
แชร์ประสบการณ์: วีซ่าอเมริกา ...เขาว่ากันว่า .... อย่าอย่างงั้น อย่าอย่างงี้ ... จริงหรือ
วัตถุประสงค์ที่ผมจะไปคือ แฟนผมอาจารย์เป็นหมอ ได้ทุนมหาวิทยาลัยไปทำวิจัยที่อเมริกา 1 ปี ผมไม่เคยไปอเมริกา ก็อยากไปเยี่ยม ก็กรอกไปหมด ว่าจะไปเยี่ยมแฟน แล้วก็เที่ยว ระยะเวลา 14 วัน เอกสารที่ผมเตรียมไปก็มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หนังสือรับรองการทำงานจากบริษัท (ทำงานมา 5 ปี เงินเดือน 6 หลัก ระบุวันเดินทางไปกลับเรียบร้อย 14 วันช่วงสงกรานต์) แล้วก็มีสำเนาวีซ่าของแฟนติดมือไปด้วย
นัดเข้าระบบสัมภาษณ์ได้ 9 โมงครึ่ง แต่แปดโมงห้าสิบ เค้าก็ให้ต่อแถวแล้วครับ ก็ตรวจเอกสาร เค้าก็เอาแค่ Passport ผม กับใบ Confirmation และหนังสือรับรองการทำงานแนบไว้ด้วยกัน จากนั้นก็ไปถึงขั้นพิมพ์ลายนิ้วมือ
ที่ตอนพิมพ์ลายนิ้วมือ ก็มีถามว่าไปทำอะไร (เียี่ยมเพื่อน + เที่ยว) เคยไปอเมริกาไหม (ไม่เคย) มีญาติไหม (มี) เค้าก็บอกว่า ดีแล้ว ที่ตอบความจริง (แสดงว่าเค้าคงเช็คในระบบได้ว่าเรามีญาติอยู่ที่นั่นจริง แม้จะเป็นญาติห่างๆของผมซึ่งแทบไม่เคยติดต่อกันก็ตาม)
สักพักก็สัมภาษณ์ครับ ท่านกงสุลผู้ชายท่าทางใจดีหน่อย (แต่กับคุณป้าก่อนหน้าผม โดนสัมภาษณ์ไปเกือบ 10 นาที แต่ก็ผ่าน) ผมก็บอกว่า Good Morning ท่านกงสุลก็เลยถามว่า พูดอังกฤษได้นะ ผมก็โอเค
อีนนี้แปลแล้วนะคับ
ท่านกงสุล - ""What's your name?"
ผม - "My Name is ... "
ท่านกงกสุล - "What will you do in the US?"
ผม - "To visit a friend in Houston then we'll fly over to DC & New York together. My friend is doing his Postdoctoral Fellowship overthere"
ท่านกงสุล - "How long have you known your friend?"
ผม - "Almost 10 years"
ท่านกงสุลคราวนี้ถามเป็นภาษาไทยครับ "เป็นเพื่อน หรือเป็นแฟน"
ผมก็นั่งคิดในใจ ตอบไงดีฟะ คือ แฟนผมเป็นผู้ชายน่ะครับ ก็เลยตอบไปว่า "Actually ... he's my boyfriend"
ท่านกงสุลก็อึ้งไปนิดนึง คงไม่คิดว่าจะตอบตรงๆ แล้วก็มองหน้าผม แล้วก็ "Ok" ผมเห็นท่านคีย์อะไรนิดหน่อย ผมก็เลยบอกว่า "I got a copy of his VISA." ท่านกงสุลเลยบอก "May I see?" ผมเลยส่งให้ดู ท่านก็ดูแล้วก็ส่งคืน
ถามต่อว่า "How long have you been together?"
ผม "We've been together for 3 years"
ท่านถามต่อ "How long will you stay there ?"
ผม "Around 2 weeks"
จากนั้นท่านก็ดูใบรับรองการทำงานผม คีย์ข้อมูลอะไรนิดหน่อย แล้วก็ส่งคืน บอกว่า "Ok, All set" ผมก็ "Thank you krub"
เอกสารอื่นๆที่เตรียมไป ไม่ได้ใช้เลยครับ Statement บัญชีธนาคาร, กองทุนรวม, การลงทุนต่างๆ
โดยสรุปแล้ว ผมว่า สิ่งที่ำทำให้ผมผ่านวีซ่าคือ
1. หน้าที่การงานเป็นหลักแหล่ง รายได้ค่อนข้างโอเค ทำงานมานาน
2. กรอกข้อมูลทุกอย่างตรงไปตรงมา เวลาท่านถามคำถาม เราก็ไม่ต้องโกหก มีเพื่อน ก็คือมีเพื่อน มีญาติ ก็คือมีญาติ เพราะเชื่อว่าทางสถานฑูตตรวจสอบได้แน่นอน
3. ผมตอบทุกอย่างตามจริง (ขนาดถามเรื่องแฟน ยังกล้าตอบเลย จริงๆตอนแรกก็ไม่กล้าตอบหรอก เขิน แต่ตอนนั้น แถวสัมภาษณ์แทบไม่มีคนหล่ะ)
สุดท้ายก็ได้มาเรียบร้อย ไม่ได้ถามว่าได้กี่ปี แต่คงได้ตามมาตรฐานคนอื่นๆมั้งครับ
สุดท้ายนี้ อยากจะบอกเพื่อนๆว่า ถ้าเราตอบทุกอย่างตามจริง ไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไร (แม้ว่าท่านจะไม่ได้มีวัตถุประสงค์ที่จะปิดบังก็ตาม) ไม่น่ากังวลอะไรเลยครับ
ปล. มีคนบอกว่า ถ้าผมไม่บอกว่าไปเี่ยี่ยมเพื่อน บอกแค่ไปเที่ยวก็จบแล้ว แต่ผมว่า จริงใจ มีอะไรบอกไป น่าจะดีกว่านะครับ