ตอนนี้จขกท.อยู่อเมริกาแล้ว ตอนสัมภาษณ์ผ่านตั้งใจไว้ว่าอยากจะแชร์ประสบการณ์ให้คนอื่นๆ จะได้ไม่พลาดกันเพราะค่าสมัครค่อนข้าง ไม่ค่อนข้างล่ะแพงเลย จขทก.เสียอยู่ 5600 เมื่อตุลาที่ผ่านมา วันนี้ว่างๆเลยมาทำงานที่ตั้งใจจะทำให้เสร็จ
สำหรับที่ใครขี้เกียจอ่าน ก็เลื่อนลงไปอ่านสรุปข้างล่างได้เลย
เข้าเรื่องเลย จขกท. ได้ทุนมาเรียน ป.โท แล้วทีนี้ทุนมันให้ไปทำวิจัยต่างประเทศด้วย คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็ให้ไปที่อเมริกาเพราะค่อนข้างตรงกับธีสิส เราก็ยังไงก็ได้ไปก็ไป ติดต่อทุกอย่างเรียบร้อย ได้ DS-2019 เรียบร้อย ก็จัดการจองคิวสัมภาษณ์วีซ่า เพราะใกล้กำหนดการที่นัดกับทาง U แล้ว
อย่างที่รู้กันว่าวีซ่าเข้าอเมริกาได้ยากมาก ตามคำล่ำลือ เราเองก็ 50-50% ก่อนไปก็หาข้อมูลในพันทิพนี่ล่ะ ดูผ่านๆ อาจารย์ก็บอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเรามีเงินทุนอยู่ แถมน้องที่เคยไปก็บอกว่าวีซ่า J-1 เนี่ยได้ง่ายสุดแล้ว เราก็ย่ามใจ วันสัมภาษณ์แต่งตัวแบบดูดีมาก ใส่เสื้อเชิ้ต รองเท้าหนัง เสื้อคลุม ตามที่อ่านในพันทิพมา พอถึงได้เข้าไปข้างในสถานทูต แต่ละคนนี่แต่งตัวสบายๆทั้งนั้นเลย เงิบบบเลย ตามสเต็ปแต่ละขั้นตอนไม่ขอพูดถึงนะครับ จะมีปัญหาก็ตรงที่ตอนตรวจเอกสารครั้งแรกก่อนเดินขึ้นบันไดเข้าตึก
1.จนท.ดูรูปแล้วถามว่ามีรูปอื่นมั้ย เพราะรูปนั้นเป็นรูปที่ใส่แว่น โชคดีที่วันก่อนหน้าไปถ่ายรูปแบบไม่ใส่แว่นสำรองไว้
2.เราขอวีซ่า J-1 แต่ใน DS-160 เราดันกรอกผิดเป็น F-1 แล้วก็ไม่ได้สังเกตจนกระทั่งจนท.บอก เริ่มขวัญเสีย
ตรงที่ไคล์แม็กเลย ถึงคิวเราได้เจอกงสุลที่ช่องตรงกลาง กงสุลดูหนุ่มไว้หนวดกับเครา พอเจอกงกุลแล้วรู้สึกกลัวตื่นเต้นขึ้นมาทันที พอโดนถามก็ไปไม่เป็นเลย ยื่นเอกสารให้เสร็จ กงสุลถามจะไปเรียนอะไร(ถามเป็นภาษาอังกฤษ) เราก็สตันเลย เห้ย ชั้นไม่ได้ไปเรียน ชั้นไปทำวิจัย เราตอบไปว่าไปทำวิจัย ดูเหมือนกงสุลไม่เข้าใจ ถามซ้ำอีกรอบ กงสุลพูดเร็วมากฟังไม่ทันเลย แถมพูดเบาด้วยหรือหูเราไม่ค่อยดีนี่แหละ เราก็พยายามอธิบาย ให้ลึกขึ้น กงสุลยิ่งไม่เข้าใจ ตอนนั้นเราได้ยินไม่ชัดเลย เราเลยพยายามมองหาลำโพง ยิ่งทำท่ามีพิรุทเข้าไปยิ่ง จนเราเลยขอพูดภาษาไทย กงสุลก็ส่ายหัว แล้วยื่นพาสปอร์คืน วินาทีนั้นเรารู้ตัวแล้วว่าโดนปฏิเสธ แล้วบอกเราว่า ควรพูดให้ specific กว่านี้ เราก็งง ตอนกลับรู้สึก fail และงง และรู้สึกอับอายมากที่ไม่ผ่านวีซ่า J1 ก็คิดว่าทำไมตัวเองถึงไม่ผ่าน ก็คิดว่าน่าจะเป็นที่กรอก DS-160 ตรง J-1 เป็น F-1 ผิดแน่ๆ
ด้วยความแค้นพอกลับถึงบ้านก็รีบจองคิวใหม่ทันที แต่ก็จองไม่ได้ก็มันยังติดของเก่าอยู่เลยต้องรอให้ผ่านวันไปก่อน พอตอนเช้าวันถัดไปก็จองได้ ไปจ่ายเงินที่ธนาคาร (เสียถึงหมื่นแล้ว
) แล้วก็รอวันถัดไปเพื่อนัดวันสัมภาษณ์ตามปกติ แต่เผอิญว่าวันถัดไปตรงกับวันหยุดจำได้ว่าวันที่ 13 ตุลาคม แล้วก็เป็นวันศุกร์ กว่าเราจะเข้าไปนัดวันสัมภาษณ์ใหม่ได้จะปาเข้าไปเป็นวันจันทร์ เลือกนัดสัมภาษณ์ได้ไวสุดคือวันอังคาร เท่ากับว่า หลังจากโดนปฏิเสธวีซ่าแล้วจะสัมภาษณ์ได้ใหม่อีก 8 วัน แต่คราวนี้เราเลือกสัมภาษณ์วันพุธเอาชัวร์ๆเลยดีกว่า คืนนั้นเราก็หาข้อมูลอย่างหนัก กรอก DS-160 อย่างระมัดระวัง เปลี่ยนมาใช้พาสปอร์ตราชการ แล้วก็มีซ้อมสัมภาษณ์วีซ่ากับเพื่อนด้วย
แล้ววันสัมภาษณ์ครั้งที่สองก็มาถึง เราพยายามตื่นเต้นให้น้อยที่สุดมีสติให้มาก วันนั้นกงสุลคนที่ให้เราไม่ผ่านมาทำงานอีกแล้วช่องเดิมเลย ตอนตรวจเอกสารครั้งที่สอง จนท.คนไทยก็แนะนำให้เราสัมภาษณ์กับกงสุลคนอื่นแทน พอตอนคิวใกล้เราก็ให้คนอื่นไปก่อน ถามจนท.ที่ดูแลแถวว่าเราเลือกกงสุลที่จะสัมภาษณ์ได้มั้ย พี่จนท.ก็บอกว่าได้ เราเลยเลือกช่องขวาสุด เพราะช่องนั้นเสียงลำโพงเสียงชัดเจนดี พอถึงตาเราสัมภาษณ์ เราก็ใส่เลย ตามที่ซ้อมมา คราวนี้พูดเสียงดังฟังชัดกว่าเดิมมาก ตอบด้วยความมั่นใจ ถามอะไรเราก็ตอบได้หมด กงสุลคนนั้นก็แปลกใจว่าทำไมเราถึงไม่ผ่านครั้งที่แล้ว เลยสะกิดถามกงสุลคนที่เคยสัมภาษณ์เรา คราวนี้ก็ถึงบางอ้อเลย ว่าทำไมครั้งที่แล้วเราไม่ผ่าน ก็เพราะว่าเค้าคิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ตอนนั้นด้วยความที่ตื่นเต้นมาก กงสุลคนใหม่คนนี้เลยรีเช็คเรา ถามว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้ดีมั้ย เราก็ถามว่าชอบเล่นกีฬาอะไร เราก็ตอบ บลา บลา บลา สุดท้ายก็ผ่านจนได้เอาเหนื่อยเลย
สรุปเลยแล้วกัน พิมยาวมากแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ไม่ผ่าน
1.กรอกเอกสาร DS-160 ผิด วิธีกรอกลองดูในพันทิพได้นะครับ
2.ตอบไม่ตรงคำถาม
3.ตอบไม่ได้
4.ตอบไม่ตรงกับข้อมูล DS-160 กรอกอะไรไปก็ตอบให้ตรงกับที่กรอกไว้
5.ทำท่าทางมีพิรุท
6.อย่าพูดมากวกไปวนมา
คำแนะนำ
-สำหรับคนที่ขอ J-1,F-1 ควรสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
-ถ้าไม่ผ่านอย่าลืมถามว่าทำไมไม่ผ่าน เอกสารอะไรที่ขาดไป
-พยายามตอบยาวหน่อย อย่าตอบสั้นๆหวนๆ เช่น Yes No ควรตามด้วยเหตุผล
-มีสติ อย่าตื่นเต้น
คำถามที่จะโดนถาม
-Why do you go to America? ทำไมคุณถึงไปอเมริกา
-What are you going to do in America? คุณจะไปทำอะไรที่อเมริกา
-Will you come back? ไปเรียนแล้วคุณจะกลับมารึเปล่า
-ไปเรียนแล้วคิดว่าจะเอาความรู้กลับมาใช้ประโยชน์อย่างไร
-ไปเรียนแล้วจะทำงานมั้ย
ให้ตอบ ไม่
-มีญาติหรือคนรู้จักมั้ย
แนะนำให้ตอบ ไม่
-Where are you going to study? จะไปเรียนที่ไหน เมือง U อะไร
-What do you think is the benefit? คิดว่าประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร
-มีเพื่อนไปมั้ย
-Who is the financial sponsor? ใครคือผู้สนับสนุนการเงิน
-ถ้ามีคนเสนองานที่ดีให้จะทำมั้ย
ตอบ ไม่
-What's the name of the university? เรียนสถานบันชื่ออะไร อยู่ที่ไหน
-When will you go? และบินเมื่อไหร่กลับเมื่อไหร่
-When will this program begin? เปิดเรียนเมื่อไหร่
-Why do you choose to study here? ทำไมถึงเรียนที่นี่
-What time do you study? เรียนกี่โมง
-Would you like to study? จบแล้วจะเรียนต่อมั้ย
ให้ตอบ ไม่
-What is about the booklet? สมุดสีขาวเกี่ยวกับอะไร
Rights ,emergency call
-Who are you with? ไปอยู่กับใคร
-How long will it be there? จะอยู่นานเท่าไหร่
-Do you have a plan after graduation? แพลนหลังจากเรียนจบ
-Have you ever been to abroad? เคยไปตปท.บ้างมั้ย
-Are you married?
-Why do you want to go to America? ทำไมถึงอยากไปอเมริกา
-What do you know about the booklet? รู้อะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มเล็กๆสีขาวบ้าง
-เรียนไร จบปีไหน ทำงานอะไร รัฐไหน
-Where does the source come from? แหล่งเงินทุนมาจากไหน
- What is your name?
- Where do you study? เรียนที่ไหน
- What do you do ทำงานอะไร
- What is your job position? ทำตำแหน่งอะไร
- Where do you go to university? ไปเรียนที่ไหน รัฐอะไร
-What’s your name?
-How many people are going alone or with friend? ไปกี่คน คนเดียว หรือมีเพื่อนไปด้วย
-Where are your study
-What are you studying?
-What will you do after graduation? เรียนทีไหน คณะอะไร จบมาแล้วจะทำอะไร
-Have you ever been to any country? /Can you tell the experience of traveling abroad? เล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวประเทศนั้นๆ
-How many languages do you speak? พูดได้กี่ภาษา อะไรบ้าง
-Have you ever been denied a visa? เคยโดนปฏิเสธวีซ่าไหม
-Where are the parents? พ่อ แม่อยู่ไหน
-What do parents do? พ่อ แม่ทำงานอะไร
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับกับทุกคนที่กำลังจะสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกานะครับ ขอให้โชคดี สัมภาษณ์ทีเดียวผ่าน ได้วีซ่าตามที่ต้องการครับ
แชร์ประสบการณ์ วีซ่าอเมริกา VISA J1 ไม่ผ่านจนผ่าน
สำหรับที่ใครขี้เกียจอ่าน ก็เลื่อนลงไปอ่านสรุปข้างล่างได้เลย
เข้าเรื่องเลย จขกท. ได้ทุนมาเรียน ป.โท แล้วทีนี้ทุนมันให้ไปทำวิจัยต่างประเทศด้วย คุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาก็ให้ไปที่อเมริกาเพราะค่อนข้างตรงกับธีสิส เราก็ยังไงก็ได้ไปก็ไป ติดต่อทุกอย่างเรียบร้อย ได้ DS-2019 เรียบร้อย ก็จัดการจองคิวสัมภาษณ์วีซ่า เพราะใกล้กำหนดการที่นัดกับทาง U แล้ว
อย่างที่รู้กันว่าวีซ่าเข้าอเมริกาได้ยากมาก ตามคำล่ำลือ เราเองก็ 50-50% ก่อนไปก็หาข้อมูลในพันทิพนี่ล่ะ ดูผ่านๆ อาจารย์ก็บอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะเรามีเงินทุนอยู่ แถมน้องที่เคยไปก็บอกว่าวีซ่า J-1 เนี่ยได้ง่ายสุดแล้ว เราก็ย่ามใจ วันสัมภาษณ์แต่งตัวแบบดูดีมาก ใส่เสื้อเชิ้ต รองเท้าหนัง เสื้อคลุม ตามที่อ่านในพันทิพมา พอถึงได้เข้าไปข้างในสถานทูต แต่ละคนนี่แต่งตัวสบายๆทั้งนั้นเลย เงิบบบเลย ตามสเต็ปแต่ละขั้นตอนไม่ขอพูดถึงนะครับ จะมีปัญหาก็ตรงที่ตอนตรวจเอกสารครั้งแรกก่อนเดินขึ้นบันไดเข้าตึก
1.จนท.ดูรูปแล้วถามว่ามีรูปอื่นมั้ย เพราะรูปนั้นเป็นรูปที่ใส่แว่น โชคดีที่วันก่อนหน้าไปถ่ายรูปแบบไม่ใส่แว่นสำรองไว้
2.เราขอวีซ่า J-1 แต่ใน DS-160 เราดันกรอกผิดเป็น F-1 แล้วก็ไม่ได้สังเกตจนกระทั่งจนท.บอก เริ่มขวัญเสีย
ตรงที่ไคล์แม็กเลย ถึงคิวเราได้เจอกงสุลที่ช่องตรงกลาง กงสุลดูหนุ่มไว้หนวดกับเครา พอเจอกงกุลแล้วรู้สึกกลัวตื่นเต้นขึ้นมาทันที พอโดนถามก็ไปไม่เป็นเลย ยื่นเอกสารให้เสร็จ กงสุลถามจะไปเรียนอะไร(ถามเป็นภาษาอังกฤษ) เราก็สตันเลย เห้ย ชั้นไม่ได้ไปเรียน ชั้นไปทำวิจัย เราตอบไปว่าไปทำวิจัย ดูเหมือนกงสุลไม่เข้าใจ ถามซ้ำอีกรอบ กงสุลพูดเร็วมากฟังไม่ทันเลย แถมพูดเบาด้วยหรือหูเราไม่ค่อยดีนี่แหละ เราก็พยายามอธิบาย ให้ลึกขึ้น กงสุลยิ่งไม่เข้าใจ ตอนนั้นเราได้ยินไม่ชัดเลย เราเลยพยายามมองหาลำโพง ยิ่งทำท่ามีพิรุทเข้าไปยิ่ง จนเราเลยขอพูดภาษาไทย กงสุลก็ส่ายหัว แล้วยื่นพาสปอร์คืน วินาทีนั้นเรารู้ตัวแล้วว่าโดนปฏิเสธ แล้วบอกเราว่า ควรพูดให้ specific กว่านี้ เราก็งง ตอนกลับรู้สึก fail และงง และรู้สึกอับอายมากที่ไม่ผ่านวีซ่า J1 ก็คิดว่าทำไมตัวเองถึงไม่ผ่าน ก็คิดว่าน่าจะเป็นที่กรอก DS-160 ตรง J-1 เป็น F-1 ผิดแน่ๆ
ด้วยความแค้นพอกลับถึงบ้านก็รีบจองคิวใหม่ทันที แต่ก็จองไม่ได้ก็มันยังติดของเก่าอยู่เลยต้องรอให้ผ่านวันไปก่อน พอตอนเช้าวันถัดไปก็จองได้ ไปจ่ายเงินที่ธนาคาร (เสียถึงหมื่นแล้ว ) แล้วก็รอวันถัดไปเพื่อนัดวันสัมภาษณ์ตามปกติ แต่เผอิญว่าวันถัดไปตรงกับวันหยุดจำได้ว่าวันที่ 13 ตุลาคม แล้วก็เป็นวันศุกร์ กว่าเราจะเข้าไปนัดวันสัมภาษณ์ใหม่ได้จะปาเข้าไปเป็นวันจันทร์ เลือกนัดสัมภาษณ์ได้ไวสุดคือวันอังคาร เท่ากับว่า หลังจากโดนปฏิเสธวีซ่าแล้วจะสัมภาษณ์ได้ใหม่อีก 8 วัน แต่คราวนี้เราเลือกสัมภาษณ์วันพุธเอาชัวร์ๆเลยดีกว่า คืนนั้นเราก็หาข้อมูลอย่างหนัก กรอก DS-160 อย่างระมัดระวัง เปลี่ยนมาใช้พาสปอร์ตราชการ แล้วก็มีซ้อมสัมภาษณ์วีซ่ากับเพื่อนด้วย
แล้ววันสัมภาษณ์ครั้งที่สองก็มาถึง เราพยายามตื่นเต้นให้น้อยที่สุดมีสติให้มาก วันนั้นกงสุลคนที่ให้เราไม่ผ่านมาทำงานอีกแล้วช่องเดิมเลย ตอนตรวจเอกสารครั้งที่สอง จนท.คนไทยก็แนะนำให้เราสัมภาษณ์กับกงสุลคนอื่นแทน พอตอนคิวใกล้เราก็ให้คนอื่นไปก่อน ถามจนท.ที่ดูแลแถวว่าเราเลือกกงสุลที่จะสัมภาษณ์ได้มั้ย พี่จนท.ก็บอกว่าได้ เราเลยเลือกช่องขวาสุด เพราะช่องนั้นเสียงลำโพงเสียงชัดเจนดี พอถึงตาเราสัมภาษณ์ เราก็ใส่เลย ตามที่ซ้อมมา คราวนี้พูดเสียงดังฟังชัดกว่าเดิมมาก ตอบด้วยความมั่นใจ ถามอะไรเราก็ตอบได้หมด กงสุลคนนั้นก็แปลกใจว่าทำไมเราถึงไม่ผ่านครั้งที่แล้ว เลยสะกิดถามกงสุลคนที่เคยสัมภาษณ์เรา คราวนี้ก็ถึงบางอ้อเลย ว่าทำไมครั้งที่แล้วเราไม่ผ่าน ก็เพราะว่าเค้าคิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ตอนนั้นด้วยความที่ตื่นเต้นมาก กงสุลคนใหม่คนนี้เลยรีเช็คเรา ถามว่าเราพูดภาษาอังกฤษได้ดีมั้ย เราก็ถามว่าชอบเล่นกีฬาอะไร เราก็ตอบ บลา บลา บลา สุดท้ายก็ผ่านจนได้เอาเหนื่อยเลย
สรุปเลยแล้วกัน พิมยาวมากแล้ว
สาเหตุที่ทำให้ไม่ผ่าน
1.กรอกเอกสาร DS-160 ผิด วิธีกรอกลองดูในพันทิพได้นะครับ
2.ตอบไม่ตรงคำถาม
3.ตอบไม่ได้
4.ตอบไม่ตรงกับข้อมูล DS-160 กรอกอะไรไปก็ตอบให้ตรงกับที่กรอกไว้
5.ทำท่าทางมีพิรุท
6.อย่าพูดมากวกไปวนมา
คำแนะนำ
-สำหรับคนที่ขอ J-1,F-1 ควรสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
-ถ้าไม่ผ่านอย่าลืมถามว่าทำไมไม่ผ่าน เอกสารอะไรที่ขาดไป
-พยายามตอบยาวหน่อย อย่าตอบสั้นๆหวนๆ เช่น Yes No ควรตามด้วยเหตุผล
-มีสติ อย่าตื่นเต้น
คำถามที่จะโดนถาม
-Why do you go to America? ทำไมคุณถึงไปอเมริกา
-What are you going to do in America? คุณจะไปทำอะไรที่อเมริกา
-Will you come back? ไปเรียนแล้วคุณจะกลับมารึเปล่า
-ไปเรียนแล้วคิดว่าจะเอาความรู้กลับมาใช้ประโยชน์อย่างไร
-ไปเรียนแล้วจะทำงานมั้ย
ให้ตอบ ไม่
-มีญาติหรือคนรู้จักมั้ย
แนะนำให้ตอบ ไม่
-Where are you going to study? จะไปเรียนที่ไหน เมือง U อะไร
-What do you think is the benefit? คิดว่าประโยชน์ที่ได้รับคืออะไร
-มีเพื่อนไปมั้ย
-Who is the financial sponsor? ใครคือผู้สนับสนุนการเงิน
-ถ้ามีคนเสนองานที่ดีให้จะทำมั้ย
ตอบ ไม่
-What's the name of the university? เรียนสถานบันชื่ออะไร อยู่ที่ไหน
-When will you go? และบินเมื่อไหร่กลับเมื่อไหร่
-When will this program begin? เปิดเรียนเมื่อไหร่
-Why do you choose to study here? ทำไมถึงเรียนที่นี่
-What time do you study? เรียนกี่โมง
-Would you like to study? จบแล้วจะเรียนต่อมั้ย
ให้ตอบ ไม่
-What is about the booklet? สมุดสีขาวเกี่ยวกับอะไร
Rights ,emergency call
-Who are you with? ไปอยู่กับใคร
-How long will it be there? จะอยู่นานเท่าไหร่
-Do you have a plan after graduation? แพลนหลังจากเรียนจบ
-Have you ever been to abroad? เคยไปตปท.บ้างมั้ย
-Are you married?
-Why do you want to go to America? ทำไมถึงอยากไปอเมริกา
-What do you know about the booklet? รู้อะไรเกี่ยวกับหนังสือเล่มเล็กๆสีขาวบ้าง
-เรียนไร จบปีไหน ทำงานอะไร รัฐไหน
-Where does the source come from? แหล่งเงินทุนมาจากไหน
- What is your name?
- Where do you study? เรียนที่ไหน
- What do you do ทำงานอะไร
- What is your job position? ทำตำแหน่งอะไร
- Where do you go to university? ไปเรียนที่ไหน รัฐอะไร
-What’s your name?
-How many people are going alone or with friend? ไปกี่คน คนเดียว หรือมีเพื่อนไปด้วย
-Where are your study
-What are you studying?
-What will you do after graduation? เรียนทีไหน คณะอะไร จบมาแล้วจะทำอะไร
-Have you ever been to any country? /Can you tell the experience of traveling abroad? เล่าประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวประเทศนั้นๆ
-How many languages do you speak? พูดได้กี่ภาษา อะไรบ้าง
-Have you ever been denied a visa? เคยโดนปฏิเสธวีซ่าไหม
-Where are the parents? พ่อ แม่อยู่ไหน
-What do parents do? พ่อ แม่ทำงานอะไร
หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโยชน์สำหรับกับทุกคนที่กำลังจะสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกานะครับ ขอให้โชคดี สัมภาษณ์ทีเดียวผ่าน ได้วีซ่าตามที่ต้องการครับ