(คุณเซียวเล้ง ได้เคยเขียนกระทู้ทำนองเดียวกันนี้ ลงในห้องหว้ากอเมื่อปี 2554 ครับ
http://topicstock.ppantip.com/wahkor/topicstock/2011/04/X10439879/X10439879.html )
คำถามหนึ่งที่ผมเคยมีกับปรากฏการณ์ม๊อบต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะม๊อบเสื้อเหลือง หรือม๊อบเสื้อแดง หรือม๊อบเสื้อฟ้า ว่าทำไมแกนนำของแต่ละม๊อบถึงสามารถปลุกระดมมวลชนให้เชื่อตามที่ตนเองบอก ตนเองชี้นำ จนสามารถกระตุ้นให้สัญชาติดิบในเบื้องลึกของผู้ชุมนุมแสดงออกมาได้ จนดูเหมือนกับเป็นคนละคน บางคนที่เคยพูดจาเรียบร้อยอ่อนหวานมีเหตุผล ก็กลายเป็นไม่รับฟังคนอื่น พูดจาหยาบคาย (โดยเฉพาะในเน็ต) และถึงกับไปเป็นแนวหน้าขาลุย โห่ร้องต่อสู้ ทุบตีกับฝ่ายตรงข้ามได้ เหมือนกับเกลียดกันมาชาติหนึ่ง
(ภาพประกอบ ไม่ได้มาจากประเทศไทย)
ผมมองย้อนไปที่ตัวเองสมัยที่ออกไปชุมนุมพฤษภาทมิฬที่เกลียดทหารประหนึ่งดังเป็นยักษ์มาร แล้วมองย้อนไปสมัยที่ประชาชนเกลียดชังนักศึกษายุคตุลาจนฆ่าฟันกันไปมากมาย แล้วมองยาวไปจนถึงยุคฮิตเลอร์ว่าทำไมถึงทำให้คนเยอรมันทั้งชาติเกลียดชนชาติยิวได้
ทั้งหมดของคำตอบก็มาลงเอยที่เรื่องแท็คติกต่างๆ ที่แกนนำม๊อบนำมาใช้ในการปลุกระดมมวลชน และการล้างสมองมวลชนให้เชื่อตาม ใช้ hate speech ปลูกฝังความเกลียดชัง ฝังลึกในใจ ทำให้กลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่สั่งได้ทุกเมื่อ เพียงแค่กดปุ่มให้ออกไปสู้
วันนี้เลยเอาบทความของคุณ เซียวเล้ง ที่เขียนขึ้นมาจากคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการทดลองด้านจิตวิทยาของการปลุกระดมมวลชน เรื่อง Five Steps To Tyranny ซึ่งเป็นสารคดีเรื่องเยี่ยม ปี 2001 ของสถานี BBC มาให้ศึกษากัน ... ถ้าเราเข้าใจเทคนิคการล้างสมองของพวกผู้นำม๊อบได้ เราก็จะรู้เท่าทันพวกเค้าและไม่ตกเป็นเครื่องมือของใครโดยง่ายครับ (ไม่ว่าจากสีไหนก็เถอะ ใช้เทคนิคคล้ายๆ กันทั้งนั้น)
ขอสรุปสั้นๆ จากที่คุณเซียวเล้งเรียบเรียงไว้ได้เยี่ยมมาก
(จาก 5 Steps to Tyranny
http://zeawleng.wordpress.com/2013/12/15/5-steps-to-tyranny/) ดังนี้ครับ
ขั้นที่ 1. “Us” and “Them” – “พี่น้อง” และ “พวกมัน”
สร้างความแตกต่างระหว่างพวกเราและพวกเขาให้เกิดขึ้น ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมรู้สึกว่าพวกเรานั้นเหนือกว่า มีวิถีชีวิตที่ดีกว่า เก่งกว่า ฉลาดกว่า ผิวขาวกว่า ฯลฯ คนอีกกลุ่ม เมื่ออคติระหว่างกลุ่มชนเกิดขึ้น โอกาสที่จะสร้างอารมณ์ขัดแย้งและก่อความรุนแรงให้เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มก็จะตามมา
ขั้นที่ 2. Obey Orders -เชื่อฟังคำสั่ง
แท้จริงแล้วคนเราพร้อมที่จะทำตามคำขอร้องของผู้อื่นโดยไม่คิดถามให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ดังนั้น เมื่อคนในม๊อบยอมทำตามกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ตั้งคำถาม ก็จะเป็นโอกาสให้แกนนำได้ชักจูงให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำในสิ่งที่ผิดได้ง่าย
ขั้นที่ 3. Do ‘Them’ Harm - ทำร้าย “พวกมัน”
เมื่อผู้ร่วมชุมนุมคิดว่ากลุ่มของตนมีบางอย่างเหนือกว่าอีกฝ่ายและพร้อมที่จะทำตามคำสั่งแกนนำแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่ผู้ชุมนุมจะลงมือทำร้ายคนอื่นตามที่ผู้นำสั่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดสามัญสำนึกของตัวเองก็ตาม และจะรู้สึกง่ายยิ่งขึ้นเมื่อผู้นำรับปากว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบผลที่ตามมาเอง
ขั้นที่ 4. “Stand Up” or “Stand By” - จะ “ลุกขึ้นค้าน” หรือ “แค่ยืนดู”
คนส่วนใหญ่ที่เหลือในสังคมมักจะกังวลที่จะออกมาคัดค้านกลุ่มผู้ชุมนุม และเลือกที่จะเพิกเฉยยืนดูความรุนแรงหรือสิ่งที่ผิดนั้นอยู่รอบนอก ทำให้แกนนำนั้นนำไปใช้เป็นข้ออ้างถึงความชอบธรรมได้ว่า คนที่เหลือในสังคมก็คิดเช่นเดียวกันกับฝ่ายของตน สนับสนุนฝ่ายตนในการทำความรุนแรงนั้น
ขั้นที่ 5. Exterminate - กำจัดให้สิ้นซาก
จริงๆ แล้ว คนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นคนเลวได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ "ยุยงส่งเสริม" ให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อผ่านขั้นที่ 1-4 จนผู้ร่วมชุมนุมรู้สึกว่าตนเองได้รับ “อำนาจ” ในการทำสิ่งต่างๆ ที่เลวร้ายมาไว้ในมือแล้ว ผลลัพธ์ก็คือการที่คนด้วยกันเอง สามารถลุกขึ้นมากำจัดฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันได้
ลองพิจารณาประยุกต์ดูว่าตรงกับแต่ละม๊อบในบ้านเราหรือเปล่า ... หวังว่าทุกท่านจะมีสติ และสามารถหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองนะครับ ผมไม่อยากให้สุดท้าย ไทยเราจะกลายเป็น รวันดา หรือ ซีเรีย ครับ .... แต่มันเกิดขึ้นได้ถ้าการเมืองไทยมุ่งไปให้เส้นทางนั้น อย่างเช่นช่วงทศวรรษนี้
ประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นเค้าผ่านเรื่องเจ็บปวดล้มตายทางการเมืองมาเยอะแล้ว ถึงได้มาลงเอยที่ใช้วิธีการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปลี่ยนแปลงผู้นำ แบบสันติครับ
ปล. 1
ถาม ถ้าเคยไปเข้าร่วมฟังการชุมนุม จะถูกล้างสมองหรือไม่
ตอบ ถ้าเข้าๆ ออกๆ ฟังแกนนำพูดบ้างไม่ฟังบ้าง ร่วมกิจกรรมบ้างไม่ร่วมบ้าง การล้างสมองก็ไม่สำเร็จหรอกครับ ... แต่ถ้าเปิดทีวีฟังช่องเดียวอยู่ทุกวัน ไปร่วมกิจกรรมทุกคืน รับรองว่าไม่กี่วันก็ทำได้ทุกอย่าง อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดไว้ครับ
ปล. 2
ถาม แล้วเราจะรู้ตัวได้อย่างไร ว่าเริ่มถูกล้างสมองไปบ้างแล้ว
ตอบ เช็คขั้นตอนที่ 1 ก่อนเลยครับว่า แทนที่เราจะเชียร์ฝ่ายเราเพราะเหตุผลเราดีกว่า แต่กลับเชียร์เพราะ เราเริ่มรู้สึกว่าฝ่ายที่เราเชียร์อยู่นั้นเหนือกว่า ดีกว่า เป็นชนชั้นนำกว่าอีกฝ่าย แสดงว่าเราเริ่มถูกล้างสมองแล้วครับ
ปล. 3
ถาม ถ้าเชียร์เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมล่ะ
ตอบ กรณีที่เน้นถึงความเป็น"พี่น้อง" ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร่วมกันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกฝ่ายและสร้างความเป็นส่วนร่วม แต่จังหวะต่อมา เค้าต้องสร้างความรู้สึกร่วมว่าเหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่ดี เช่น อาจใช้วิธีสร้างแนวร่วมที่เป็น "ไพร่" ต่ำต้อยถูกกดขี่ร่วมกัน แต่ปลุกใจว่าเรารักประชาธิปไตยมากกว่าอีกฝ่าย เราเป็นเสียงส่วนใหญ่ของแผ่นดิน ตลอดจนถึงว่าเราเป็นคน แต่อีกฝ่ายมันเป็นแมลงสาบ (สัตว์) เป็นต้น
- 5 ขั้นตอน ล้างสมองประชาชน -
คำถามหนึ่งที่ผมเคยมีกับปรากฏการณ์ม๊อบต่างๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะม๊อบเสื้อเหลือง หรือม๊อบเสื้อแดง หรือม๊อบเสื้อฟ้า ว่าทำไมแกนนำของแต่ละม๊อบถึงสามารถปลุกระดมมวลชนให้เชื่อตามที่ตนเองบอก ตนเองชี้นำ จนสามารถกระตุ้นให้สัญชาติดิบในเบื้องลึกของผู้ชุมนุมแสดงออกมาได้ จนดูเหมือนกับเป็นคนละคน บางคนที่เคยพูดจาเรียบร้อยอ่อนหวานมีเหตุผล ก็กลายเป็นไม่รับฟังคนอื่น พูดจาหยาบคาย (โดยเฉพาะในเน็ต) และถึงกับไปเป็นแนวหน้าขาลุย โห่ร้องต่อสู้ ทุบตีกับฝ่ายตรงข้ามได้ เหมือนกับเกลียดกันมาชาติหนึ่ง
(ภาพประกอบ ไม่ได้มาจากประเทศไทย)
ผมมองย้อนไปที่ตัวเองสมัยที่ออกไปชุมนุมพฤษภาทมิฬที่เกลียดทหารประหนึ่งดังเป็นยักษ์มาร แล้วมองย้อนไปสมัยที่ประชาชนเกลียดชังนักศึกษายุคตุลาจนฆ่าฟันกันไปมากมาย แล้วมองยาวไปจนถึงยุคฮิตเลอร์ว่าทำไมถึงทำให้คนเยอรมันทั้งชาติเกลียดชนชาติยิวได้
ทั้งหมดของคำตอบก็มาลงเอยที่เรื่องแท็คติกต่างๆ ที่แกนนำม๊อบนำมาใช้ในการปลุกระดมมวลชน และการล้างสมองมวลชนให้เชื่อตาม ใช้ hate speech ปลูกฝังความเกลียดชัง ฝังลึกในใจ ทำให้กลายเป็นเหมือนหุ่นยนต์ที่สั่งได้ทุกเมื่อ เพียงแค่กดปุ่มให้ออกไปสู้
วันนี้เลยเอาบทความของคุณ เซียวเล้ง ที่เขียนขึ้นมาจากคลิปวิดีโอเกี่ยวกับการทดลองด้านจิตวิทยาของการปลุกระดมมวลชน เรื่อง Five Steps To Tyranny ซึ่งเป็นสารคดีเรื่องเยี่ยม ปี 2001 ของสถานี BBC มาให้ศึกษากัน ... ถ้าเราเข้าใจเทคนิคการล้างสมองของพวกผู้นำม๊อบได้ เราก็จะรู้เท่าทันพวกเค้าและไม่ตกเป็นเครื่องมือของใครโดยง่ายครับ (ไม่ว่าจากสีไหนก็เถอะ ใช้เทคนิคคล้ายๆ กันทั้งนั้น)
ขอสรุปสั้นๆ จากที่คุณเซียวเล้งเรียบเรียงไว้ได้เยี่ยมมาก
(จาก 5 Steps to Tyranny http://zeawleng.wordpress.com/2013/12/15/5-steps-to-tyranny/) ดังนี้ครับ
ขั้นที่ 1. “Us” and “Them” – “พี่น้อง” และ “พวกมัน”
สร้างความแตกต่างระหว่างพวกเราและพวกเขาให้เกิดขึ้น ทำให้ผู้ร่วมชุมนุมรู้สึกว่าพวกเรานั้นเหนือกว่า มีวิถีชีวิตที่ดีกว่า เก่งกว่า ฉลาดกว่า ผิวขาวกว่า ฯลฯ คนอีกกลุ่ม เมื่ออคติระหว่างกลุ่มชนเกิดขึ้น โอกาสที่จะสร้างอารมณ์ขัดแย้งและก่อความรุนแรงให้เกิดขึ้นระหว่างกลุ่มก็จะตามมา
ขั้นที่ 2. Obey Orders -เชื่อฟังคำสั่ง
แท้จริงแล้วคนเราพร้อมที่จะทำตามคำขอร้องของผู้อื่นโดยไม่คิดถามให้ถี่ถ้วนเสียก่อน ดังนั้น เมื่อคนในม๊อบยอมทำตามกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ตั้งคำถาม ก็จะเป็นโอกาสให้แกนนำได้ชักจูงให้ผู้ร่วมชุมนุมกระทำในสิ่งที่ผิดได้ง่าย
ขั้นที่ 3. Do ‘Them’ Harm - ทำร้าย “พวกมัน”
เมื่อผู้ร่วมชุมนุมคิดว่ากลุ่มของตนมีบางอย่างเหนือกว่าอีกฝ่ายและพร้อมที่จะทำตามคำสั่งแกนนำแล้ว ก็เป็นเรื่องง่ายที่ผู้ชุมนุมจะลงมือทำร้ายคนอื่นตามที่ผู้นำสั่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องขัดสามัญสำนึกของตัวเองก็ตาม และจะรู้สึกง่ายยิ่งขึ้นเมื่อผู้นำรับปากว่าจะเป็นผู้รับผิดชอบผลที่ตามมาเอง
ขั้นที่ 4. “Stand Up” or “Stand By” - จะ “ลุกขึ้นค้าน” หรือ “แค่ยืนดู”
คนส่วนใหญ่ที่เหลือในสังคมมักจะกังวลที่จะออกมาคัดค้านกลุ่มผู้ชุมนุม และเลือกที่จะเพิกเฉยยืนดูความรุนแรงหรือสิ่งที่ผิดนั้นอยู่รอบนอก ทำให้แกนนำนั้นนำไปใช้เป็นข้ออ้างถึงความชอบธรรมได้ว่า คนที่เหลือในสังคมก็คิดเช่นเดียวกันกับฝ่ายของตน สนับสนุนฝ่ายตนในการทำความรุนแรงนั้น
ขั้นที่ 5. Exterminate - กำจัดให้สิ้นซาก
จริงๆ แล้ว คนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถกลายเป็นคนเลวได้ หากตกอยู่ในสถานการณ์ที่ "ยุยงส่งเสริม" ให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นเมื่อผ่านขั้นที่ 1-4 จนผู้ร่วมชุมนุมรู้สึกว่าตนเองได้รับ “อำนาจ” ในการทำสิ่งต่างๆ ที่เลวร้ายมาไว้ในมือแล้ว ผลลัพธ์ก็คือการที่คนด้วยกันเอง สามารถลุกขึ้นมากำจัดฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์กันได้
ลองพิจารณาประยุกต์ดูว่าตรงกับแต่ละม๊อบในบ้านเราหรือเปล่า ... หวังว่าทุกท่านจะมีสติ และสามารถหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ทางการเมืองนะครับ ผมไม่อยากให้สุดท้าย ไทยเราจะกลายเป็น รวันดา หรือ ซีเรีย ครับ .... แต่มันเกิดขึ้นได้ถ้าการเมืองไทยมุ่งไปให้เส้นทางนั้น อย่างเช่นช่วงทศวรรษนี้
ประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นเค้าผ่านเรื่องเจ็บปวดล้มตายทางการเมืองมาเยอะแล้ว ถึงได้มาลงเอยที่ใช้วิธีการเลือกตั้งเป็นกลไกสำคัญในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เปลี่ยนแปลงผู้นำ แบบสันติครับ
ปล. 1
ถาม ถ้าเคยไปเข้าร่วมฟังการชุมนุม จะถูกล้างสมองหรือไม่
ตอบ ถ้าเข้าๆ ออกๆ ฟังแกนนำพูดบ้างไม่ฟังบ้าง ร่วมกิจกรรมบ้างไม่ร่วมบ้าง การล้างสมองก็ไม่สำเร็จหรอกครับ ... แต่ถ้าเปิดทีวีฟังช่องเดียวอยู่ทุกวัน ไปร่วมกิจกรรมทุกคืน รับรองว่าไม่กี่วันก็ทำได้ทุกอย่าง อย่างที่ไม่เคยมีใครคาดไว้ครับ
ปล. 2
ถาม แล้วเราจะรู้ตัวได้อย่างไร ว่าเริ่มถูกล้างสมองไปบ้างแล้ว
ตอบ เช็คขั้นตอนที่ 1 ก่อนเลยครับว่า แทนที่เราจะเชียร์ฝ่ายเราเพราะเหตุผลเราดีกว่า แต่กลับเชียร์เพราะ เราเริ่มรู้สึกว่าฝ่ายที่เราเชียร์อยู่นั้นเหนือกว่า ดีกว่า เป็นชนชั้นนำกว่าอีกฝ่าย แสดงว่าเราเริ่มถูกล้างสมองแล้วครับ
ปล. 3
ถาม ถ้าเชียร์เพราะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมล่ะ
ตอบ กรณีที่เน้นถึงความเป็น"พี่น้อง" ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร่วมกันนั้น เป็นจุดเริ่มต้นของการแบ่งแยกฝ่ายและสร้างความเป็นส่วนร่วม แต่จังหวะต่อมา เค้าต้องสร้างความรู้สึกร่วมว่าเหนือกว่าอีกฝ่ายอยู่ดี เช่น อาจใช้วิธีสร้างแนวร่วมที่เป็น "ไพร่" ต่ำต้อยถูกกดขี่ร่วมกัน แต่ปลุกใจว่าเรารักประชาธิปไตยมากกว่าอีกฝ่าย เราเป็นเสียงส่วนใหญ่ของแผ่นดิน ตลอดจนถึงว่าเราเป็นคน แต่อีกฝ่ายมันเป็นแมลงสาบ (สัตว์) เป็นต้น