จขกท.มีเรื่องเครียดหนักใจมากค่ะ
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
จขกท.ได้รับทุนเพื่อเป็นอาจารย์และได้เริ่มเรียนตั้งแต่ พ.ศ. 2554
เริ่มทำวิทยานิพนธ์ตั้งแต่ ปลายปี 55 (เรียน course work ปีครึ่งค่ะ)
ปกติแล้วคณะและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะให้ นศ.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาเองใช่ไหมคะ
แต่ที่นี่ อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนเลือกนักศึกษาค่ะ
จขกท.ก็โดนอาจารย์ท่านนี้เลือกไปอยู่ด้วย ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือก
พอเริ่มทำวิทยานิพนธ์ จขกท. ก็ได้ดำเนินการเลือกหัวข้อเรื่องตามที่สนใจ เริ่มดำเินินการทำด้วยตัวเองมาเกือบ 2 เดือน
ขณะนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้ไม่เคยเข้ามาสัมมนาใน class วิจัยเลย เนื่องจากยุ่งอยู่กับงานวิชาการของตนเอง
จขกท.มีอาจารย์ท่านอื่นช่วยดูแลให้ ก็ดำเนินการทำวิทยานิพนธ์ไปได้ด้วยดี
พออาจารย์ท่านนี้กลับเข้ามาตอนช่วงกลาง course แล้ว ก็มาสั่งให้เปลี่ยนหัวข้อวิจัยโดยไม่พิจารณาอะไรเลย!
จขกท.ปฏิเสธไม่ได้ เลยต้องเริ่ม review ใหม่ทั้งหมด
ตอนที่ จขกท.เอา paper วิจัยไปปรึกษา อาจารย์คนนี้จะคัดค้านตลอดเวลา ทั้งๆที่ไม่เคยอ่านให้ละเอียด
สุดท้ายเวลาผ่านไปเกือบปี ก็ส่ง paper เหล่านั้นที่เราเคยเอาไปปรึกษาแล้วกลับมาให้อ่าน (เขาจำไม่ได้ว่าเราเคยเอาไปปรึกษาแล้วโดนด่ากลับมาว่าไม่ตรง ไม่ถูกน่ะค่ะ)
จขกท.เสียเวลาไปเป็นปี โดยแทบไม่คืบหน้าอะไรเลย
โดนด่าว่าสารพัด เช่น ไร้ยางอาย หน้าด้าน ไม่มีมารยาท ไร้สมอง บ้าไปแล้ว ประมาณนี้
จขกท.อยากถามว่า การที่ส่งอีเมลไปปรึกษาและขอเข้าพบหลายฉบับ รอเป็นเดือนๆ แต่อาจารย์ไม่เคยตอบกลับ
เลยต้องพยายามไปพบ และเรียนถามอย่างสุภาพว่าอาจารย์ได้รับอีเมลไหมคะ นี่หน้าด้านมากเลยหรือคะ
ถ้า จขกท.ไม่พยายามเข้าพบ ก็หาว่าไม่กระตือรือร้น โทรศัพท์หาก็ไม่ได้ ส่งอีเมล์ไปก็ด่าว่าจะส่งอะไรมาบ่อยๆ
เข้าำไปพบก็ว่าไม่มีมารยาท แล้วคุณจะให้ นศ.ติดต่อทางไหนคะ
ส่งงานได้อย่างมากเดือนละครั้ง จะขอรับคอมเม้นท์แต่ละที ต้องส่งอีเมลไปนัด
รอตอบกลับตามที่อาจารย์สะดวก ซึ่งก็กินเวลาไปอีกหลายสัปดาห์
เวลาปรึกษาแต่ละที จำกัดแค่ 1 ชม. ซึ่งแทบไม่ได้เนื่อหาอะไรเลย ได้แต่ฟังอาจารย๋ด่า บ่น ทั้งเรื่องของอาจารย์เองและของคนอื่น
เวลาอาจารย์อารมณ์ไม่ดี มีแต่คำด่าคำว่าเต็มไปหมด นี่หรือคนที่เรียนสูง จบปริญญาเอก?
จขกท.ก็อดทนสุดๆ ไม่เคยตอบโต้อะไรเลย นิ่งเงียบตลอด ไม่เคยชักสีหน้าไม่พอใจ หรือพูดจาอะไรเป็นการดูหมื่นเหยียดหยามอาจารย์เลย
จขกท.ต้องทนกับพฤติกรรมเหล่านี้ มาตลอด 1 ปีเต็ม รู้สึกแย่มาก ความมั่นใจและนับถือในตนเองเริ่มลดลง
พยายามผ่อนคลายความเครียดมาตลอด ดีที่มีคนให้กำลังใจดีเลยอดทนมาได้โดยตลอดค่ะ
แต่ตอนนี้เริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว เพราะพฤติกรรมแบบนี้นับว่าไม่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และดูถูกความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคลมากๆค่ะ
ถามว่าทำไมต้องทน ทำไมไม่ขอเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา
เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่อง sensitive ค่ะ จขกท.ได้รับทุนที่นี่ ต้องทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
ถ้าอาจารย์ไม่ขอเปลี่ยน นศ.เอง ก็จะเปลี่ยนไม่ได้ ถ้า จขกท.เอ่ยปากเอง ก็จะยิ่งเป็นประเด็นปัญหาไปโดยตลอด
สรุปว่าตอนนี้ทรมานมากค่ะ เครียดมาก เริ่มมีอาการปวดหัวเรื้อรัง
งานก็ไม่คืบหน้า ทุนก็ใกล้จะหมดเวลา ถ้าหมดเวลาจริงๆก็จะโดนตัดสิทธิ์ไปเรียนต่อ
ซึ่งอาจารย์ก็ทราบเรื่องข้อจำกัดทุน แต่ไม่เคยสนใจอะไรเลยค่ะ
จขกท.จะตัดสินใจยังไงดีคะ ถ้าลาออกจะต้องใช้ทุนที่เคยเรียนไป
ต้องหางานใหม่ เริ่มต้นใหม่ อับอายขายหน้า
ถ้าทนต่อไป 5 ปีจะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องทนกับอารมณ์ของอาจารย์ต่อไปเรื่ิอยๆ
มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้างไหมคะ แล้วตัดสินใจยังไง หรือมีแนวทางจะแนะนำอย่างไรบ้าง
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ
ปัญหาชีวิต: เจออาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์จอมเฮี๊ยบจะำทำยังไงดี
เป็นเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
จขกท.ได้รับทุนเพื่อเป็นอาจารย์และได้เริ่มเรียนตั้งแต่ พ.ศ. 2554
เริ่มทำวิทยานิพนธ์ตั้งแต่ ปลายปี 55 (เรียน course work ปีครึ่งค่ะ)
ปกติแล้วคณะและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่จะให้ นศ.เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาเองใช่ไหมคะ
แต่ที่นี่ อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนเลือกนักศึกษาค่ะ
จขกท.ก็โดนอาจารย์ท่านนี้เลือกไปอยู่ด้วย ซึ่งปัจจุบันก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกันว่าทำไมอาจารย์ถึงเลือก
พอเริ่มทำวิทยานิพนธ์ จขกท. ก็ได้ดำเนินการเลือกหัวข้อเรื่องตามที่สนใจ เริ่มดำเินินการทำด้วยตัวเองมาเกือบ 2 เดือน
ขณะนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาคนนี้ไม่เคยเข้ามาสัมมนาใน class วิจัยเลย เนื่องจากยุ่งอยู่กับงานวิชาการของตนเอง
จขกท.มีอาจารย์ท่านอื่นช่วยดูแลให้ ก็ดำเนินการทำวิทยานิพนธ์ไปได้ด้วยดี
พออาจารย์ท่านนี้กลับเข้ามาตอนช่วงกลาง course แล้ว ก็มาสั่งให้เปลี่ยนหัวข้อวิจัยโดยไม่พิจารณาอะไรเลย!
จขกท.ปฏิเสธไม่ได้ เลยต้องเริ่ม review ใหม่ทั้งหมด
ตอนที่ จขกท.เอา paper วิจัยไปปรึกษา อาจารย์คนนี้จะคัดค้านตลอดเวลา ทั้งๆที่ไม่เคยอ่านให้ละเอียด
สุดท้ายเวลาผ่านไปเกือบปี ก็ส่ง paper เหล่านั้นที่เราเคยเอาไปปรึกษาแล้วกลับมาให้อ่าน (เขาจำไม่ได้ว่าเราเคยเอาไปปรึกษาแล้วโดนด่ากลับมาว่าไม่ตรง ไม่ถูกน่ะค่ะ)
จขกท.เสียเวลาไปเป็นปี โดยแทบไม่คืบหน้าอะไรเลย
โดนด่าว่าสารพัด เช่น ไร้ยางอาย หน้าด้าน ไม่มีมารยาท ไร้สมอง บ้าไปแล้ว ประมาณนี้
จขกท.อยากถามว่า การที่ส่งอีเมลไปปรึกษาและขอเข้าพบหลายฉบับ รอเป็นเดือนๆ แต่อาจารย์ไม่เคยตอบกลับ
เลยต้องพยายามไปพบ และเรียนถามอย่างสุภาพว่าอาจารย์ได้รับอีเมลไหมคะ นี่หน้าด้านมากเลยหรือคะ
ถ้า จขกท.ไม่พยายามเข้าพบ ก็หาว่าไม่กระตือรือร้น โทรศัพท์หาก็ไม่ได้ ส่งอีเมล์ไปก็ด่าว่าจะส่งอะไรมาบ่อยๆ
เข้าำไปพบก็ว่าไม่มีมารยาท แล้วคุณจะให้ นศ.ติดต่อทางไหนคะ
ส่งงานได้อย่างมากเดือนละครั้ง จะขอรับคอมเม้นท์แต่ละที ต้องส่งอีเมลไปนัด
รอตอบกลับตามที่อาจารย์สะดวก ซึ่งก็กินเวลาไปอีกหลายสัปดาห์
เวลาปรึกษาแต่ละที จำกัดแค่ 1 ชม. ซึ่งแทบไม่ได้เนื่อหาอะไรเลย ได้แต่ฟังอาจารย๋ด่า บ่น ทั้งเรื่องของอาจารย์เองและของคนอื่น
เวลาอาจารย์อารมณ์ไม่ดี มีแต่คำด่าคำว่าเต็มไปหมด นี่หรือคนที่เรียนสูง จบปริญญาเอก?
จขกท.ก็อดทนสุดๆ ไม่เคยตอบโต้อะไรเลย นิ่งเงียบตลอด ไม่เคยชักสีหน้าไม่พอใจ หรือพูดจาอะไรเป็นการดูหมื่นเหยียดหยามอาจารย์เลย
จขกท.ต้องทนกับพฤติกรรมเหล่านี้ มาตลอด 1 ปีเต็ม รู้สึกแย่มาก ความมั่นใจและนับถือในตนเองเริ่มลดลง
พยายามผ่อนคลายความเครียดมาตลอด ดีที่มีคนให้กำลังใจดีเลยอดทนมาได้โดยตลอดค่ะ
แต่ตอนนี้เริ่มจะรับไม่ไหวแล้ว เพราะพฤติกรรมแบบนี้นับว่าไม่มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน และดูถูกความเป็นมนุษย์ของแต่ละบุคคลมากๆค่ะ
ถามว่าทำไมต้องทน ทำไมไม่ขอเปลี่ยนอาจารย์ที่ปรึกษา
เป็นเพราะว่ามันเป็นเรื่อง sensitive ค่ะ จขกท.ได้รับทุนที่นี่ ต้องทำงานร่วมกันต่อไปในอนาคต
ถ้าอาจารย์ไม่ขอเปลี่ยน นศ.เอง ก็จะเปลี่ยนไม่ได้ ถ้า จขกท.เอ่ยปากเอง ก็จะยิ่งเป็นประเด็นปัญหาไปโดยตลอด
สรุปว่าตอนนี้ทรมานมากค่ะ เครียดมาก เริ่มมีอาการปวดหัวเรื้อรัง
งานก็ไม่คืบหน้า ทุนก็ใกล้จะหมดเวลา ถ้าหมดเวลาจริงๆก็จะโดนตัดสิทธิ์ไปเรียนต่อ
ซึ่งอาจารย์ก็ทราบเรื่องข้อจำกัดทุน แต่ไม่เคยสนใจอะไรเลยค่ะ
จขกท.จะตัดสินใจยังไงดีคะ ถ้าลาออกจะต้องใช้ทุนที่เคยเรียนไป
ต้องหางานใหม่ เริ่มต้นใหม่ อับอายขายหน้า
ถ้าทนต่อไป 5 ปีจะจบหรือเปล่าก็ไม่รู้ ต้องทนกับอารมณ์ของอาจารย์ต่อไปเรื่ิอยๆ
มีใครเคยเจอปัญหาแบบนี้บ้างไหมคะ แล้วตัดสินใจยังไง หรือมีแนวทางจะแนะนำอย่างไรบ้าง
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ