ลองดูรายละเอียดนะครับ
เลขานุการศาลอาญายกคำร้องเพิกถอนหมายจับ 'สุเทพ'
เลขานุการศาลอาญา ออกหนังสือชี้แจงการยกคำร้องเพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของศาลอาญา โดยระบุว่า การอนุมัติหมายจับ เป็นดุลพินิจของศาลอาญาไม่เกี่ยวข้องและผูกพันกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก่อนหน้านี้มีคำสั่งไม่รับคำร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยุติการชุมนุม
นางสาวรุ่งระวี โสขุมา เลขานุการศาลอาญา ออกหนังสือชี้แจงกรณียกคำร้องเพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในข้อหาก่อกบฏ ลงวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า
ศาลอาญาได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ต้องหาให้เพิกถอนหมายจับ โดยอ้างว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นการฝ่าฟืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่56/2556 และ 66/2556 นั้น
ศาลอาญาเห็นว่า แม้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 216 วรรค 5 จะบัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรเอกชนอื่นของรัฐก็ตาม แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ในวันเวลาเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด
แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงตามวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมของผู้ต้องหาตามคำวินิจฉัย ที่ 56/2556 ในขณะนั้น มิได้เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ส่วนคำวินิจฉัย 66/2556 ที่ระบุว่า การบุกรุกยึดสถานที่ราชการไม่เกิดขึ้นแล้ว และสถานการณ์ได้พัฒนาไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงไม่มีมูลเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 68 วรรค 1 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแตกต่าง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการไต่สวนของพนักงานสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏว่า
ผู้ต้องหากับพวกจำนวนมาก ร่วมกันขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายให้ฝ่ายบริหารไม่อาจใช้อำนาจในการบริหารประเทศไทย บุกรุกเข้ายึดสถานที่ราชการ คือกระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทั้งขู่เข็ญตัดน้ำ ตัดไฟฟ้า เป็นเหตุให้ข้าราชการไม่กล้าเข้าไปทำงานหรือเข้าที่ทำงานไม่ได้ อันเป็นการยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมาย เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันศาลอาญาให้ต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิที่จะกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 นั้นเห็นว่า แม้รัฐธรรมนุญบัญญัติไว้เช่นนั้น แต่มิอาจหมายความว่า ประชาชนจะสามารถใช้เสรีภาพของตนได้ปราศจากขอบเขต หรือไปละเมิดสิทธิของประชาชนผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะต้องไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะเป็นกฎหมายที่ตราออกมาบังคับประชาชนทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบและรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และประชาชนเป็นสำคัญ การอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่มีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีอัตราโทษสูง จึงไม่อาจถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาเป็นการชุมนุมที่สงบตามที่กล่าวอ้าง เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4946/2555
และการที่ผู้ต้องหาอ้างว่า พนักงานสอบสวน ขอหมายจับโดยมิชอบด้วยกฎหมายและการออกหมายจับไม่ได้รับฟังพยานผู้ต้องหา และต้องออกหมายเรียกก่อนนั้น ศาลอาญาเห็นว่า การออกหมายจับเป็นอำนาจศาลโดยตรง เมื่อศาลเห็นว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำ ความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี ศาลย่อมใช้ดุลพินิจออกหมายจับได้ทันที ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 (1) ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกก่อน เพราะการออกหมายจับเป็นเพียงขั้นตอนเพื่อให้ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น การออกหมายจับผู้ต้องจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุต้องเพิกถอนหมายจับ
คำชี้แจงนี้ ศาลอาญาเผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน หลังจากวันที่ 11 พฤศจิกายน ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและสั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยุติการชุมนุม หลังจากเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ข่มขืนใจเจ้าหน้าที่รัฐให้หยุดปฏิบัติงานราชการ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าม็อบนายสุเทพ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีมูลกรณีฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หรือการล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยดังกล่าว ในวันที่ 27 พฤศจิกายน และ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ทีมทนายความของนายสุเทพ ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาเพิกถอนหมายจับ ซึ่งคำร้องทั้ง 2 ครั้ง ศาลพิจารณายกคำร้องตามเหตุผลข้างต้น
19 ธันวาคม 2556 เวลา 17:52 น.
http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/91641.html
ศาลอาญาแย้งเรื่องการผูกพันธ์ของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
เลขานุการศาลอาญายกคำร้องเพิกถอนหมายจับ 'สุเทพ'
เลขานุการศาลอาญา ออกหนังสือชี้แจงการยกคำร้องเพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ของศาลอาญา โดยระบุว่า การอนุมัติหมายจับ เป็นดุลพินิจของศาลอาญาไม่เกี่ยวข้องและผูกพันกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ก่อนหน้านี้มีคำสั่งไม่รับคำร้องให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยุติการชุมนุม
นางสาวรุ่งระวี โสขุมา เลขานุการศาลอาญา ออกหนังสือชี้แจงกรณียกคำร้องเพิกถอนหมายจับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่ม กปปส. ในข้อหาก่อกบฏ ลงวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่า
ศาลอาญาได้พิเคราะห์คำร้องของผู้ต้องหาให้เพิกถอนหมายจับ โดยอ้างว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตามสิทธิในรัฐธรรมนูญ จึงไม่เป็นการฝ่าฟืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1 ตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่56/2556 และ 66/2556 นั้น
ศาลอาญาเห็นว่า แม้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 216 วรรค 5 จะบัญญัติไว้ว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรเอกชนอื่นของรัฐก็ตาม แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน ในวันเวลาเดียวกัน หรือกล่าวได้ว่า เป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด
แต่กลับปรากฏข้อเท็จจริงตามวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญว่า การชุมนุมของผู้ต้องหาตามคำวินิจฉัย ที่ 56/2556 ในขณะนั้น มิได้เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมาย
ส่วนคำวินิจฉัย 66/2556 ที่ระบุว่า การบุกรุกยึดสถานที่ราชการไม่เกิดขึ้นแล้ว และสถานการณ์ได้พัฒนาไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรและเข้าสู่การเลือกตั้ง จึงไม่มีมูลเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 68 วรรค 1 ซึ่งข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแตกต่าง ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการไต่สวนของพนักงานสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏว่า
ผู้ต้องหากับพวกจำนวนมาก ร่วมกันขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายให้ฝ่ายบริหารไม่อาจใช้อำนาจในการบริหารประเทศไทย บุกรุกเข้ายึดสถานที่ราชการ คือกระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ทั้งขู่เข็ญตัดน้ำ ตัดไฟฟ้า เป็นเหตุให้ข้าราชการไม่กล้าเข้าไปทำงานหรือเข้าที่ทำงานไม่ได้ อันเป็นการยุยงให้ประชาชนละเมิดกฎหมาย เป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ จึงไม่ตรงกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันศาลอาญาให้ต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนที่ผู้ต้องหาอ้างว่า เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิที่จะกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 63 นั้นเห็นว่า แม้รัฐธรรมนุญบัญญัติไว้เช่นนั้น แต่มิอาจหมายความว่า ประชาชนจะสามารถใช้เสรีภาพของตนได้ปราศจากขอบเขต หรือไปละเมิดสิทธิของประชาชนผู้อื่นด้วย โดยเฉพาะต้องไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายบ้านเมือง เพราะเป็นกฎหมายที่ตราออกมาบังคับประชาชนทุกคน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดระเบียบและรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และประชาชนเป็นสำคัญ การอ้างเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ แต่มีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่มีอัตราโทษสูง จึงไม่อาจถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวของผู้ต้องหาเป็นการชุมนุมที่สงบตามที่กล่าวอ้าง เทียบเคียงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4946/2555
และการที่ผู้ต้องหาอ้างว่า พนักงานสอบสวน ขอหมายจับโดยมิชอบด้วยกฎหมายและการออกหมายจับไม่ได้รับฟังพยานผู้ต้องหา และต้องออกหมายเรียกก่อนนั้น ศาลอาญาเห็นว่า การออกหมายจับเป็นอำนาจศาลโดยตรง เมื่อศาลเห็นว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำ ความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงเกิน 3 ปี ศาลย่อมใช้ดุลพินิจออกหมายจับได้ทันที ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 (1) ไม่จำเป็นต้องออกหมายเรียกก่อน เพราะการออกหมายจับเป็นเพียงขั้นตอนเพื่อให้ผู้ต้องหาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ดังนั้น การออกหมายจับผู้ต้องจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุต้องเพิกถอนหมายจับ
คำชี้แจงนี้ ศาลอาญาเผยแพร่มาตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน หลังจากวันที่ 11 พฤศจิกายน ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งไม่รับคำร้องกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยและสั่งให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยุติการชุมนุม หลังจากเข้ายึดสถานที่ราชการหลายแห่ง ข่มขืนใจเจ้าหน้าที่รัฐให้หยุดปฏิบัติงานราชการ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าม็อบนายสุเทพ เป็นการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ และเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และไม่มีมูลกรณีฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรคหนึ่ง หรือการล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ซึ่งหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัยดังกล่าว ในวันที่ 27 พฤศจิกายน และ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา ทีมทนายความของนายสุเทพ ก็ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาเพิกถอนหมายจับ ซึ่งคำร้องทั้ง 2 ครั้ง ศาลพิจารณายกคำร้องตามเหตุผลข้างต้น
19 ธันวาคม 2556 เวลา 17:52 น.
http://news.voicetv.co.th/democracycrisis/91641.html