คำแนะนำ : รีวิวผมเป็นรีวิวกาก ๆ ที่ไม่ได้ใส่รายละเอียดหรือว่าหาข้อมูลแนะนำต่าง ๆ ใส่ไว้ให้นะครับ
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา คำพูด การเขียน ไม่ถูกตามอักขระ ความรุนแรง ไม่เหมาะแก่เยาวชน นะครับ กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
เดินทางเมื่อ 5-7 ธันวาคม 2556
ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นหนึ่งปี หลังจากที่ผมกับเพื่อนที่บริษัท กลับมาจากเขาช้างเผือก เราทุกคนต่างกระสันในความทรหด ความเหนื่อย ความลำบาก เลยตัดสินใจกันว่า จะไปภูสอยดาวกัน แต่ ณ ตอนนนั้นไม่รู้เลยว่าภูสอยดาวมันปิดรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว ไอ้เราก้ออุตสาห์นัดแนะซ๊าดิบดี แต่ในที่สุด เวลาหนึ่งปีผ่านไป ไวยังกะหนังไทย เราก้อได้มาที่นี้กัน
ผมออกจากกรุงเทพ ในคืนที่ 4 เดินทางมาถึงที่ตลาดชาติตระการสักประมาณตี 5 ได้ อากาศแมร่งหนาวฝุด ๆ นี่ขนาดยังไม่ขึ้นเขาอะนะ แต่ในใจคิดว่า ข้างบนมันจะหนาวกว่าข้างล่างสักเท่าไหร่กันเชียว สิบกว่าองศา น่าจะไหวอยู่น๊า.... จากนั้นก้อหาไรกินแถวตลาดนั่นแระ ส่วนข้าวเที่ยงระหว่างทางกับข้าวเย็นของวันแรก ผมซื้อเป็นข้าวกล่องขึ้นไปเลย เพราะไม่มีคนทำกับข้าว เอาง่ายไว้ก่อน 55
ระหว่างทาง คิดว่ายังไงก้อชิว ๆ น่า แค่ 6.2 กิโลเอง คณะผมติดต่อลูกหาบเป็นกลุ่มแรก ได้เบอร์หนึ่งมา ไอ้ตอนชั่งน้ำหนักเนี่ย ยังคุยกันว่าาไม่น่าจะเท่าไหร่หรอก คน 5 คน เอาน้ำไป 30 ลิตร แล้วก้ออาหารอื่น ๆ เครื่องนอนอีกเล็กน้อย แต่พอเจ้าหน้าที่เค้าบวกเลขรวมเสร็จ แมร่ง....ถึงกับผงะอะ 104 กิโล ...ในใจคิด นี่กรูเอาเชรี่ยไรไปนักหนาฟระเนี่ย โดนค่าลูกหาบไป สามพันกว่า ถึงกับเข่าอ่อน
หลังจากจ่ายเงินเส็ด เราก้อออกเดินทางกันตอนสักเก้าโมง ช่วงแรกเดินเลียบลำธาร บรรยากาศแมร่งชิวมากอะ รู้สึกว่าถ้าเดินแบบนี้คงสดชื่นอีกเน๊อะ...สักพักลำธารเริ่มหาย ไอ้ช่วงที่ชิว ๆ เนี่ย ไม่มีใครจดจำอะไรหรอก ว่าเดินมาถึงตรงไหน เดินผ่านไรมาบ้าง ความทรงจำเริ่มต้นขึ้นไอ้ตอนช่วงแรกนี่แหละ มันชื่อว่าเนินส่งญาติ ข้ามเนินนี่ได้แมร่ง ขาแทบหมดแรง เหนื่อยสัด ๆ อะ แต่พักเหนื่อยไม่เท่าไหร่ เราก้อไปกันต่อ ผ่านเนินเชรี่ยไรไปผมก้อจำมะด้ายแระ แต่รู้ว่าป้ายบอกกิโลเมตรแมร่ง มั่วมาก ทำเอาใจท่ออะ ช่วงแรกเดินแป๊บเดียวสามกิโลแระ แต่ไอ้สามกิโลหลัง ทำไมแมร่งนานผิดปกติว๊า ยิ่งไอ้ช่วงสุดท้ายที่เรียกว่า เนินมรณะอะ สาดดดดด เหนื่อยฝุด ๆ จิง ๆ มันควรต้องเปลี่ยนชื่อเปนเนินส่งวิญญาณอะ ถึงจะถูก กว่าจะขึ้นเส็ด วิญญาณแทบหายจากร่าง 55
ผมไปถึงตอนบ่ายสองครึ่ง หลังจากนั้นก้อรับของจากลูกหาบ แล้วก้อจัดการกางเต๊นกัน คืนนี้ข้าวเย็นเราไม่เปนปัญหา เพราะซื้อไป แกะกล่องก้อกินได้เลย อากาศข้างบนตอนเดินไปถึงอยู่ประมาณ 16 องศา หนาวสัดอะ นี่ขนาดกลางวัน ตอนนั้นก้อยังคิดอยู่ว่า ตอนกลางคืน คงเอาอยู่อะนะ
ตื่นเช้าวันใหม่มา พวกผมรีบเดินไปแถว ๆ หลักกิโล เค้าบอกว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี้ แต่แมร่งงงงง หนาวก้อหนาว ลมก้อแรง พระอาทิตย์ไม่มีให้ดูอิก เพราะหมอกบังซ๊ามิดเบย ก้อเลยเดินกลับมาที่เต๊นกัน รีบจุดเตาถ่านเพื่อใช้อุ่นกับข้าว มื้อเช้าผมนี่ไม่อร่อยเลย กินไม่ลง เพราะยังโง่กันอยุ่ แทนที่จะต้มข้ามเพื่อให้มันร้อนเป็นข้าวต้มไปเลยก้อไม่ทำ ดันทุรังกินข้าวเย็น ๆ แข็ง ๆ พร้อมกับอาหารกระป๋องที่แข็ง ๆ อิก เซ็งเป็ดฉริบ แต่ม้ายเปนไร เอาไว้มื้อเย็น ค่อยกลับมาทำให้แมร่งฟินไปเลยก้อด้าย
เมื่อคืนที่นอนไป อยากจะบอกว่า หนาวสัด ๆ สุดตรีนอะ นอนแทบไม่ได้ เท้านี่เย็นเฉียบไปหมด (ไม่ได้ใส่ถุงเท้า) ขนาดช่วงตัวใส่เสื่อกันหนาวไปชั้นนึง ห่มผ้าห่มสามชั้น ก้อเอาไม่อยู่จิง ๆ
จิง ๆ ในวันนี้ผมจะขึ้นไปที่ยอดภูสอยดาว อุตสาห์ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้า นั่งรอสักพัก เจ้าหน้าที่มัวแต่เกี่ยงกัน แบบไม่อยากพาขึ้น สุดท้ายเดินมาบอกว่า ถ้าจะไปคิดหัวละสามร้อย ผมเลิกเลย งั้นกรูม้ายไปก้อได้ฟระ เดินเล่นรอบ ๆ ลานสนก้อได้
วันนี้ทั้งวันเลยเดินเล่นรอบ ๆ ลานสน พร้อมหอบเอาอาหารไปนั่งปิคนิคนอกที่กางเต๊น ก้อดีไปอีกแบบนะ
เดินเล่นรอบ ๆ แป๊บเดียว ก้อหมดแระ มันไม่ค่อยมีไรมากมายหรอก ช่วงบ่ายเลยกลับมานั่งเล่นที่เต๊นแทน อากาศหนาวกำลังดี มีแดดประทะเข้าหน่อย ฟินยิ่งกว่ามีไรกะแฟนอิก 55....นั่งกินขนมไปเพลิน ๆ นี่ถ้ามีไวน์เย็น ๆ ด้วยคงแจ่มโคตร
ตกเย็นก้อเดินรอเก็บภาพแห่งขุนเขา แสงดาว และสายหมอก ตกเย็นกลับมาทำกับข้าวที่เต๊น วันนี้เอาอาหารทั้งหมดที่มีต้มเลย อยากซดอะไรร้อน ๆ มานานแล้ว
คืนวันที่สอง ผมจัดเต็มอะ แก้ตัวจากเมื่อวาน ใส่เสื้อกันหนาวสองชั้น มีผ้าพันคออีก ตามด้วยถุงเท้าสองชั้น แล้วก้อผ้าห่มอีกสามชั้น
แค่ตื่นมาตอนเช้า ก้อรู้สึกว่าไอ้ที่นอนไปแมร่งเอาไม่อยู่อยู่ดีนั่นแระ กลางดึกตื่นแล้วตื่นอิก ดูนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเช้าซักที
ขากลับนี่ชิว ๆ เลย เดินลงตอนแปดโมงครึ่งถึงข้างล่างสิบเอ็ดโมง เวลากำลังดี ช่วงลงมีโอกาสสัมผัสกับความงดงามก้อธรรมชาติมากกว่าขามา เนื่องจากได้เงยหน้ามองฟ้ากันบ้าง ขาไปนี่แมร่งมองพื้นอย่างเดียวเบย
ตลอดที่อยู่บนภูสอยดาว อยากบอกว่าเราผม 6 คน ไม่มีใครอาบน้ำ แปรงฟัน หรือล้างหน้าเลย ซักครั้งนะครับ 55 ไม่ได้ซกมกกันนะ แต่มันหนาวจิง ๆ แล้วน้ำก้อไม่ค่อยสะดวกด้วย กว่าจะได้อาบอิกทีก้อตอนลงมาอะ ตอนสัมผัสน้ำที่ศูนย์บริการข้างล่าง เแแทบช็อคอะ น้ำแมร่งเย็นฉริบหาย ทนอาบไปได้ไงก้อม้ายรุ
สุดท้ายก้อจบทริปที่แสนประทับใจครับ หลังจากนั้นผมเดินทางต่อยังจังหวัดน่าน มีเพื่อนสองคนกลับกรุงเทพก่อน
เราก้อเลยแยกจากกันที่นี้เลย
แล้วติดตามกันต่อกับทริปน่านของผมต่อนะครับกับ
PHOmTOz’s : อยากจะบอกรัก “น่าน”
[CR] PHOmTOz’s : ภูสอยดาว ชื่อที่ใครก็อยากสัมผัส......
เป็นเพียงแค่สิ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟังกับประสบการณ์ที่ได้เดินทางไป ได้พบ ได้เจอเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วก็อยากแชร์ภาพถ่ายให้ดู คิดซะว่าอ่านเล่น ๆ ยามว่างแล้วกันนะครับ
ภาษา คำพูด การเขียน ไม่ถูกตามอักขระ ความรุนแรง ไม่เหมาะแก่เยาวชน นะครับ กรุณาใช้วิจารณญาณในการรับลม...เอ่ย..รับชม ด้วย
เดินทางเมื่อ 5-7 ธันวาคม 2556
ย้อนหลังไปก่อนหน้านั้นหนึ่งปี หลังจากที่ผมกับเพื่อนที่บริษัท กลับมาจากเขาช้างเผือก เราทุกคนต่างกระสันในความทรหด ความเหนื่อย ความลำบาก เลยตัดสินใจกันว่า จะไปภูสอยดาวกัน แต่ ณ ตอนนนั้นไม่รู้เลยว่าภูสอยดาวมันปิดรับนักท่องเที่ยวไปแล้ว ไอ้เราก้ออุตสาห์นัดแนะซ๊าดิบดี แต่ในที่สุด เวลาหนึ่งปีผ่านไป ไวยังกะหนังไทย เราก้อได้มาที่นี้กัน
ผมออกจากกรุงเทพ ในคืนที่ 4 เดินทางมาถึงที่ตลาดชาติตระการสักประมาณตี 5 ได้ อากาศแมร่งหนาวฝุด ๆ นี่ขนาดยังไม่ขึ้นเขาอะนะ แต่ในใจคิดว่า ข้างบนมันจะหนาวกว่าข้างล่างสักเท่าไหร่กันเชียว สิบกว่าองศา น่าจะไหวอยู่น๊า.... จากนั้นก้อหาไรกินแถวตลาดนั่นแระ ส่วนข้าวเที่ยงระหว่างทางกับข้าวเย็นของวันแรก ผมซื้อเป็นข้าวกล่องขึ้นไปเลย เพราะไม่มีคนทำกับข้าว เอาง่ายไว้ก่อน 55
ระหว่างทาง คิดว่ายังไงก้อชิว ๆ น่า แค่ 6.2 กิโลเอง คณะผมติดต่อลูกหาบเป็นกลุ่มแรก ได้เบอร์หนึ่งมา ไอ้ตอนชั่งน้ำหนักเนี่ย ยังคุยกันว่าาไม่น่าจะเท่าไหร่หรอก คน 5 คน เอาน้ำไป 30 ลิตร แล้วก้ออาหารอื่น ๆ เครื่องนอนอีกเล็กน้อย แต่พอเจ้าหน้าที่เค้าบวกเลขรวมเสร็จ แมร่ง....ถึงกับผงะอะ 104 กิโล ...ในใจคิด นี่กรูเอาเชรี่ยไรไปนักหนาฟระเนี่ย โดนค่าลูกหาบไป สามพันกว่า ถึงกับเข่าอ่อน
หลังจากจ่ายเงินเส็ด เราก้อออกเดินทางกันตอนสักเก้าโมง ช่วงแรกเดินเลียบลำธาร บรรยากาศแมร่งชิวมากอะ รู้สึกว่าถ้าเดินแบบนี้คงสดชื่นอีกเน๊อะ...สักพักลำธารเริ่มหาย ไอ้ช่วงที่ชิว ๆ เนี่ย ไม่มีใครจดจำอะไรหรอก ว่าเดินมาถึงตรงไหน เดินผ่านไรมาบ้าง ความทรงจำเริ่มต้นขึ้นไอ้ตอนช่วงแรกนี่แหละ มันชื่อว่าเนินส่งญาติ ข้ามเนินนี่ได้แมร่ง ขาแทบหมดแรง เหนื่อยสัด ๆ อะ แต่พักเหนื่อยไม่เท่าไหร่ เราก้อไปกันต่อ ผ่านเนินเชรี่ยไรไปผมก้อจำมะด้ายแระ แต่รู้ว่าป้ายบอกกิโลเมตรแมร่ง มั่วมาก ทำเอาใจท่ออะ ช่วงแรกเดินแป๊บเดียวสามกิโลแระ แต่ไอ้สามกิโลหลัง ทำไมแมร่งนานผิดปกติว๊า ยิ่งไอ้ช่วงสุดท้ายที่เรียกว่า เนินมรณะอะ สาดดดดด เหนื่อยฝุด ๆ จิง ๆ มันควรต้องเปลี่ยนชื่อเปนเนินส่งวิญญาณอะ ถึงจะถูก กว่าจะขึ้นเส็ด วิญญาณแทบหายจากร่าง 55
ผมไปถึงตอนบ่ายสองครึ่ง หลังจากนั้นก้อรับของจากลูกหาบ แล้วก้อจัดการกางเต๊นกัน คืนนี้ข้าวเย็นเราไม่เปนปัญหา เพราะซื้อไป แกะกล่องก้อกินได้เลย อากาศข้างบนตอนเดินไปถึงอยู่ประมาณ 16 องศา หนาวสัดอะ นี่ขนาดกลางวัน ตอนนั้นก้อยังคิดอยู่ว่า ตอนกลางคืน คงเอาอยู่อะนะ
ตื่นเช้าวันใหม่มา พวกผมรีบเดินไปแถว ๆ หลักกิโล เค้าบอกว่าให้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่นี้ แต่แมร่งงงงง หนาวก้อหนาว ลมก้อแรง พระอาทิตย์ไม่มีให้ดูอิก เพราะหมอกบังซ๊ามิดเบย ก้อเลยเดินกลับมาที่เต๊นกัน รีบจุดเตาถ่านเพื่อใช้อุ่นกับข้าว มื้อเช้าผมนี่ไม่อร่อยเลย กินไม่ลง เพราะยังโง่กันอยุ่ แทนที่จะต้มข้ามเพื่อให้มันร้อนเป็นข้าวต้มไปเลยก้อไม่ทำ ดันทุรังกินข้าวเย็น ๆ แข็ง ๆ พร้อมกับอาหารกระป๋องที่แข็ง ๆ อิก เซ็งเป็ดฉริบ แต่ม้ายเปนไร เอาไว้มื้อเย็น ค่อยกลับมาทำให้แมร่งฟินไปเลยก้อด้าย
เมื่อคืนที่นอนไป อยากจะบอกว่า หนาวสัด ๆ สุดตรีนอะ นอนแทบไม่ได้ เท้านี่เย็นเฉียบไปหมด (ไม่ได้ใส่ถุงเท้า) ขนาดช่วงตัวใส่เสื่อกันหนาวไปชั้นนึง ห่มผ้าห่มสามชั้น ก้อเอาไม่อยู่จิง ๆ
จิง ๆ ในวันนี้ผมจะขึ้นไปที่ยอดภูสอยดาว อุตสาห์ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตั้งแต่เช้า นั่งรอสักพัก เจ้าหน้าที่มัวแต่เกี่ยงกัน แบบไม่อยากพาขึ้น สุดท้ายเดินมาบอกว่า ถ้าจะไปคิดหัวละสามร้อย ผมเลิกเลย งั้นกรูม้ายไปก้อได้ฟระ เดินเล่นรอบ ๆ ลานสนก้อได้
วันนี้ทั้งวันเลยเดินเล่นรอบ ๆ ลานสน พร้อมหอบเอาอาหารไปนั่งปิคนิคนอกที่กางเต๊น ก้อดีไปอีกแบบนะ
เดินเล่นรอบ ๆ แป๊บเดียว ก้อหมดแระ มันไม่ค่อยมีไรมากมายหรอก ช่วงบ่ายเลยกลับมานั่งเล่นที่เต๊นแทน อากาศหนาวกำลังดี มีแดดประทะเข้าหน่อย ฟินยิ่งกว่ามีไรกะแฟนอิก 55....นั่งกินขนมไปเพลิน ๆ นี่ถ้ามีไวน์เย็น ๆ ด้วยคงแจ่มโคตร
ตกเย็นก้อเดินรอเก็บภาพแห่งขุนเขา แสงดาว และสายหมอก ตกเย็นกลับมาทำกับข้าวที่เต๊น วันนี้เอาอาหารทั้งหมดที่มีต้มเลย อยากซดอะไรร้อน ๆ มานานแล้ว
คืนวันที่สอง ผมจัดเต็มอะ แก้ตัวจากเมื่อวาน ใส่เสื้อกันหนาวสองชั้น มีผ้าพันคออีก ตามด้วยถุงเท้าสองชั้น แล้วก้อผ้าห่มอีกสามชั้น
แค่ตื่นมาตอนเช้า ก้อรู้สึกว่าไอ้ที่นอนไปแมร่งเอาไม่อยู่อยู่ดีนั่นแระ กลางดึกตื่นแล้วตื่นอิก ดูนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเช้าซักที
ขากลับนี่ชิว ๆ เลย เดินลงตอนแปดโมงครึ่งถึงข้างล่างสิบเอ็ดโมง เวลากำลังดี ช่วงลงมีโอกาสสัมผัสกับความงดงามก้อธรรมชาติมากกว่าขามา เนื่องจากได้เงยหน้ามองฟ้ากันบ้าง ขาไปนี่แมร่งมองพื้นอย่างเดียวเบย
ตลอดที่อยู่บนภูสอยดาว อยากบอกว่าเราผม 6 คน ไม่มีใครอาบน้ำ แปรงฟัน หรือล้างหน้าเลย ซักครั้งนะครับ 55 ไม่ได้ซกมกกันนะ แต่มันหนาวจิง ๆ แล้วน้ำก้อไม่ค่อยสะดวกด้วย กว่าจะได้อาบอิกทีก้อตอนลงมาอะ ตอนสัมผัสน้ำที่ศูนย์บริการข้างล่าง เแแทบช็อคอะ น้ำแมร่งเย็นฉริบหาย ทนอาบไปได้ไงก้อม้ายรุ
สุดท้ายก้อจบทริปที่แสนประทับใจครับ หลังจากนั้นผมเดินทางต่อยังจังหวัดน่าน มีเพื่อนสองคนกลับกรุงเทพก่อน
เราก้อเลยแยกจากกันที่นี้เลย
แล้วติดตามกันต่อกับทริปน่านของผมต่อนะครับกับ
PHOmTOz’s : อยากจะบอกรัก “น่าน”