ปีนภู ดู หงอนนาค..ภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์

....ถ้าจะเอ่ยถึงการเดินป่าที่โหดติด 1 ใน 5 ต้องมีชื่อ ภูสอยดาว อย่างแท้แน่นอน 
อุทยานแห่งชาติ ภูสอยดาว ตั้งอยู่ที่ อ.น้ำปาด จ. อุตรดิตถ์ ยิ่งหน้าฝนมันยิ่งสวยเพราะมีดอกหงอนนาคบานอยู่เต็มทุ่งซึ่งมีให้เห็นเฉพาะหน้าฝนที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว และเราก็เลือกที่จะไปช่วงนี้ 
เริ่มต้นการเดินทางกันที่ สถานนีขนส่งพิษณุโลก แห่งที่ 2 เราจองรถรับ-ส่ง กับพี่เก่ง เจ้าประจำเส้นทางนี้ รับนักท่องเที่ยวตั้งแต่สถานนีรถไฟ-บขส.
ไปอุทยาแห่งชาติภูสอยดาว ใช้เวลาซิ่งประมาณ 3-4 ชั่วโมง นั่งกันยาว ยาว 
นั่งรถมาถึงอุทยานประมาณ 08.00 น. ตรงดิ่งมารับบัตรคิว และจ่ายเงินค่าเข้าอุทยาน คนละ 40 บาท ได้คิว 75 รอเรียกคิวลงเบียนและชำระเงินค่าเช่าอุปกรณ์เต้นท์ จ้างลูกหาบแจ้งเจ้าหน้าที่ได้เลย  แล้วไปจ่ายเงินมัดจำค่าขยะคนละ 200 บาท ค่าลูกหาบ พร้อมวางบัตรประชาชน เราต้องนั่งรถของอุทยานมาบริเวณน้ำตกระยะทางประมาณ 3 กม. การเดินขึ้นภูสอยดาวครั้งนี้เราไม่จ้างลูกหาบ เราแบกทุกอย่างขึ้นไปบนภูสอยดาวเองล้วนๆ 10 กว่าโลเอง 
 จุดแรกที่เรามาถึงก่อนที่จะเริ่มเดินขึ้นภูก็จะมาพบน้ำตกภูสอยดาว
ระยะทาง 6.5 กิโลเราไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเดินกันกี่ชั่วโมงแต่ปกติคนอื่นเดินกัน 4-6 ชั่วโมง เราออกเดินตอน 09.00 น. ดูซิว่าเราจะถึงกันกี่โมง
 
 ช่วงแรกๆเดินง่ายๆมีบันใดให้เดินขึ้น
 
ระยะทางยังอีกยาวไกลและนี้เป็นครั้งแรกของเราที่มายังภูสอยดาว
 
เดินผ่านป่า ผ่านลำธาร โชคดีมากๆที่ฝนไม่ตก อากาศร่มรื่นมากๆ
 
เห็นป้ายลานสนอยู่ข้างหน้า บอกเราอย่าพึ่งท้อ ในที่สุดเราก็มาถึงเนินแรกคือเนินส่งญาติ 
 
แค่เนินส่งญาตินี้ก็เล่นเอาซะหอบกันแล้ว จากเนินส่งญาติในที่สุดเราก็มาถึงเนินปราบเซียน คือปราบเซียนสมชื่อเลย เล่นเอาพวกเรานี้เดี้ยงกันไปตามกัน
นั่งพักกันสักครู่ก่อนจะไปต่อกันที่ เนินปราบเซียน ซึ่งจะเป็นทางชันไกลกว่าเนินส่งญาติ บอกเลยว่าหากผ่านเนินนี้ไปได้คุณจะเข้าสู่ครึ่งทางของภูสอยดาวแล้ว แต่กว่าจะผ่านไปนั้นก็รากเลือดพอสมควรเลย
 
ลานสนๆๆๆ ท่องไว้ในใจ เป้าหมายของเราคือลานสน  ป้ายลานสนก็โผล่มาให้เห็น แอบดีใจเล็กๆแต่ไม่รู้ว่าอีกไกลไหม เดินกันไปเรื่อยๆเห็นมุมไหนสวยก็ขอหยุดพักถ่ายรูปกันหน่อย
 
พักให้ไหว...แล้วไปกันต่อ สู้ๆ
ต่อมากันที่เนินที่สาม เนินป่ากอ ซึ่งสำหรับเราคิดว่าเนินนี้เป็นเนินที่เดินสบายที่สุด เพราะมีทางราบค่อนข้างเยอะ
 
และเนินที่สี่ ที่แค่ได้ยินชื่อก็น่ากลัวแล้วกับ เนินเสือโคร่ง แต่ดีหน่อยที่เนินนี้มีระยะทางที่สั้น จึงพอจะรวมแรงฮึบเดียวส่งตัวผ่านไปได้
 
พักทายาเริ่มปวดเข่า เอาเรื่องอยู่นะ
และเนินสุดท้ายของวันนี้ ซึ่งถือเป็นปราการด่านสุดท้ายของธรรมชาติที่จะพาเราไปสู่ความงดงามที่ปลายทาง นั่นก็คือ เนินมรณะ แค่เห็นชื่อก็ไม่น่าเดินแล้ว 
ถึงต้องหันกลับไปตะโกนบอกคนด้านล่าง....อย่าฟ้าวขึ้นมาเด้อสู  พักเอาแรงก่อนนน
ถึงทางแยกเราเลือกเดินไปทางขวา ซึ่งเป็นทางใหม่เดินง่ายกว่า
 เนินนี้มีระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร เป็นทางดินสูงชันสลับกับขั้นบันได ซึ่งประกอบกับการที่เราได้เดินใช้แรงผ่านมาแล้ว 4 เนินทำให้พอมาถึงเนินนี้ร่างกายก็เริ่มที่จะอ่อนล้ามากๆ กว่าจะผ่านไปแต่ละขั้น แต่สิ่งที่พอจะช่วยทำให้ความเหนื่อยล้าพอทุเลาลงบ้าง ก็คงจะเป็นวิวสวยๆ ระหว่างที่เราหยุดพักและหันหลังมองไปก็จะเห็นวิวภูเขาที่สลับซับซ้อนเขียวขจี เป็นบรรยากาศที่งดงามจริงๆ
 
“ยิ่งสูงยิ่งเหงา” ดูต้นไม้สองต้นนั่นดิ คงรักกันมากสินะ ไม่ยอมทิ้งกัน แม้กระทั่งวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็ยังอยู่เคียงข้างกัน ในความเหนื่อยล้าของเรา 
พอมาเจอต้นไม้คู่นี้ แอบติดโรแมนติกนิดๆ 
 
เมื่อผ่านจากเนินมรณะมาได้แล้ว ธรรมชาติก็มอบรางวัลให้กับผู้พิชิตในทันที ภาพของลานสนภูสอยดาว ที่เราเคยเห็นแต่ในรูปภาพ ตอนนี้ได้อยู่ตรงหน้าเราแล้ว ป่าสนสามใบที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยสายหมอก เป็นบรรยากาศชวนฝันที่เหมือนกับหลุดไปในโลกแห่งเทพนิยายเลย
 
ในที่สุดดดดดดดดดด เราก็กลายเป็นผู้พิชิตลานสนได้สำเร็จ
 
พร้อมกับได้พบกับดอกหงอนนาคสีม่วง เบ่งบานต้อนรับเรา สวยงามประทับใจจริงๆ 
 
สำหรับการพักแรมบนลานสนภูสอยดาวนั้น ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้บริการ เวลาจะอาบน้ำเราต้องนำถังไปรองน้ำที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ให้ เพราะฉะนั้นหากใครจะมาที่นี่แล้วหวังเรื่องความสะดวกสบายขอให้คุณลืมไปได้เลย แต่ด้วยความลำบากนี้ก็ทำให้เราได้ฟีลของการเดินป่าอย่างแท้จริง และเป็นเสน่ห์ที่สำหรับเราแล้วชอบมากๆ เลย กับความดิบแบบนี้
 
และในที่สุดเราก็ได้เห็นแสงสุดท้ายของวัน มีกลุ่มหมอกไหลผ่าน ลานกางเต้นท์ สวยมากๆ
บรรยากาศแห่งความสงบยามเย็นพระอาทิตย์ตกดิน ณ ลานกางเต้นท์
ใต้ท้องฟ้ายามเย็น ซันเซ็ทแห่งความสุขและความฝันของนักเดินทางของใครหลาย ๆ คน 
ยิ่งมืด ยิ่งเหงา...นั่งมองผู้คนเดินผ่านไปมาหน้าเต้นท์ เสียงสนทนากันจอแจ 
พรุ่งนี้เราตั้งใจไว้ว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ส่วนวันนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ครับ...
Day 2
วันนี้เราตื่นแต่เช้าโดยไม่ตั้งนาฬิกาปลุก เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่บริเวณหลักเขตไทย-ลาวกัน ซึ่งจะเป็นบริเวณรอยต่อระหว่างเขตประเทศไทยและประเทศลาว
 
เราหวังไว้ว่าจะได้เจอพระอาทิตย์ขึ้น หมอกจางๆปกคลุมไปทั่วลานสน ตอนนี้ได้หมอกมาแล้วที่เหลือก็ต้องไปลุ้นว่าจะมีพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆให้เราเห็นไหม
 
 
แต่ละคนจะมีมุมเป็นของตัวเอง ในการถ่ายภาพกับวิวที่อยู่เบื่องหน้าของเรา
 
หมอกที่ค่อยๆไหลผ่านภูเขา อากาศที่เย็นสบาย กับอากาศ 25 องศา
เมื่อเรายื่นอยู่ท่ามกลางภูเขา ที่โอบล้อมด้วยป่าสน ปกคลุมด้วยเมฆหมอก ทำให้เราดูตัวเล็กนิดเดียวสำหรับโลกใบนี้
การมาเดินป่าครั้งนี้มันเป็นอะไรที่เกินคาดหวังไว้มากจากแพลนที่เราวางไว้ ได้เจอทุกอย่างที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอ
อิ่มหน่ำสำราญกับภูเขาและเมฆหมอก เรากลับมาที่จุดกางเต้นท์ สั่งข้าวไข่เจียวจากพี่เจ้าหน้าที่ทานตอนเช้า ข้างบนมีเครื่องดื่มและข้าวไข่เจียวจำหน่ายด้วยนะ 
และแล้วเราก็เตรียมตัวเก็บสำภาระลงภูกันเช่นเดิมก็จะมีดอกหงอนนาคส่งเรากลับอย่างอบอุ่น ถึงแม้เช้านี้นางจะยังไม่ตื่นก็ตาม 
 
แน่นอน เนินมรณะเตรียมส่งเรากลับอีกครั้ง ครั้งนี้เราเลือกเดินลงทางเก่า ค่อนข้างชันสลับกับเป็นก้อนหิน ก้อนใหญ่ ก้อนเล็กให้เราได้เลือกเหยีบลงไป แต่วิวโคตรอลังการมากกกก 
 
เราเดินด้วยความเร็วคงที่nพักน้อยมาก ไม่เหมือนกับขาขึ้น ระหว่างทางเดินได้ยินเสียงน้ำตกอยู่ด้านล่างตลอดทาง เหมือนกับว่าฉันรอเธออยู่นะ เมื่อไหร่จะมาถึงอะไรประมาณนี้ จนแล้วจนรอดก็สามารถพาตัวเองกลับมาสู่ที่ทำการอุทยานได้อย่างปลอดภัย ใช้เวลาลง 2 ชั่วโมงครึ่ง....
การเดินทางสู่ภูสอยดาวของเราในครั้งนี้ได้ถูกบันทึกลงในหนังสือแห่งการเดินทางของความทรงจำ เป็นช่วงเวลาที่เราได้สู้กับจิตใจและร่างกายของตัวเอง เพื่อพาร่างกายไปสัมผัสกับความงดงามด้านบน เป็นช่วงเวลาที่ธรรมชาติได้สอนเราหลายๆ อย่างในการเดินทาง กว่าจะได้ชมความสวยงามนั้นแลกมาด้วยความยากลำบาก แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็คือภาพความทรงจำที่สวยงามที่เราคงจะไม่ลืมไปอีกนาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่