ดีใจจังค่ะ ที่ในที่สุดเดือนธันวาคมก็เดินทางมาถึงสักที เพราะในที่สุดหลังจากรอมาทั้งปี ก็ได้ดูเดอะ ฮอบบิทภาคสอง
แบบว่าคิดถึงบรรดาผู้ชายในฮาเร็มของตัวเองจะลงแดงอยู่แล้วล่ะค่ะ
หลังจากดูไปรอบแรกแล้ว ต้องบอกว่า หนังไม่ทำให้เราเกิดอาการกรี๊ดกร๊าดเท่าไรเลย
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเราไปดูกับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเดนตายงานของคุณทวดโทลคีนส์ด้วย ความอินเลยลดลงกว่าที่ควรจะเป็น
แต่อีกส่วนน่าจะเพราะว่า หลายๆอย่างในหนัง มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดว่าจะได้เห็น
บทมีการถูกปรับและเปลี่ยนชนิดตามใจฉันไปมาก ซึ่งมีผลค่อนข้างมากกับแฟนๆที่ยึดติดกับรายละเอียดแบบเรา
แต่แม้จะถูกปรับไปแบบค่อนข้างจะกลายเป็น “แฟนฟิล์ม” หรือ เหมือนแค่ยึดโครงเรื่องมา
มันก็ไม่ได้ทำให้นึกชังหรือไม่ชอบหรอกนะคะ แค่เสียดาย จุดที่เสียดายที่สุด น่าจะเป็นบทของลุงหมีเบออร์น
ซึ่งโดยส่วนตัว เราแอบแปลกๆมาตั้งแต่เห็นดีไซน์ของลุงแกแล้ว เพราะอิมเมจในหัวตอนอ่านนิยาย ไม่ได้คิดเลยว่าหน้าตาจะออกมาพั๊งค์ร็อคขนาดนี้... (แถมในหนัง มาอยู่ประมาณ 10 นาที... ต่างจากหนังสือที่มีบทของตัวเองเลย)
แล้วก็ไม่รู้สิคะ ปูมหลังลุงแกในหนังเนี่ย ทำให้เบออร์นดูด้อยๆลงไปยังไงไม่รู้ แม้จะได้รับการชดเชยด้วยเสียงอันทรงพลังประหนึ่งพ่อทีเร็กซ์มาร้องตอนคำรามในร่างหมี กับการได้เห็นหุ่นเท่ๆถึกๆล่ำๆ (และแก้มก้น...) ของแกก็ตามที
อย่างไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระทู้นี้ (เอาแก้มก้นผู้ชายมาเรียกแขกใช่ไหมอิชั้น // อืม... ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆนะ แบบว่า ก้นได้รูปเชียว หุ่นดีอ่ะค่ะ คุณมิเค่ – ชื่อเท่อีกต่างหาก หนุ่มยุโรปนี่เขามีของจริงๆ) สาระจริงๆ มันคือ ต่อจากนี้ต่างหาก
ซึ่งมันคงจะยาวมาก หากว่างพอและสนใจอะไรยาวๆ ก็ลองอ่านและเม้นกันได้นะคะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาคนี้ ทีแรกต้องบอกว่าในฐานะแม่ยกคนแคระที่ทำได้แต่รอมาตลอด 365 วัน ผ่านการเจอสื่อและโน่นนี่นั่นที่โปรโมตกันแต่เอลฟ์!! (ซึ่งในหนังสือออกมากระจึ๋งนึง...) ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพร้อนรุ่ม งุนงง พิศวง สงสัยและธาตุไฟทำท่าจะเข้าแทรกตลอดเวลา จนกระทั่งได้มาดูหนังจริงๆ ก็เลยกรี๊ดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะหลังจากกลัวมาตลอดว่าคณะพรรค (ฮาเร็ม) ของอิชั้นต้องมีอันถูกลดบท กลัวเหลือเกินคนแคระจะกลายเป็นแค่ตัวประกอบเอาฮา แต่เมื่อได้ดูจริงๆจนจบก็พบว่า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย !
โล่งใจที่สุด
แล้วถามว่าภาคนี้คนแคระไม่ฮาเหรอ? เปล่าค่ะ
ฮาค่ะ ฮามากๆด้วย ฮาอย่างแรงอ่ะ ฮาตั้งแต่เปิดตัวเลย
ฮามันตั้งแต่บอมเบอร์ยืนเอ๋อ ไม่วงไม่วิ่ง ได้แต่ตาค้างเพราะเสียงคำรามของเบออร์นที่กลบแกนดัล์ฟแล้วล่ะ
แถมพอออกตัวพ่อบอมเธอก็สปีดอ้าวจนขึ้นไปนำคนแรก แซงธอรินไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำนะ // ฮาไหมล่ะ?
นี่ยังไม่นับการที่พวกเขาต้องไปหลบกันใต้ส้วมบ้านบาร์ดเพื่อหนีคนที่จะเข้ามาสอดแนมอีกนะ...
(นับว่าพีเจยังปราณีที่คนที่เอาหัวโผล่มาก่อนคือ ท่านดวา มิใช่ชายธอ
// ขอบคุณมากค่ะที่ละเว้นภาพพจน์ว่าที่สามี...
และก็ขอบคุณท่านดวานะคะ ที่เสียสละรับบทหนักมันตลอดมาตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว)
พูดถึงฉากฮาของคนแคระนี่นะคะ ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่โดดเด่นมากเฉพาะตัวของบรรดาหนุ่มๆ กลุ่มนี้เลยล่ะค่ะ
(เหรอ? ได้ข่าวว่ามีเด็กจนเรียกว่าหนุ่มได้จริงอยู่ 3 คน ที่เหลือมีแต่ตาลุงหน้าโหด ถึก ขี้โมโห อารมณ์ร้ายทั้งนั้นอ่ะนะ...เหอ เหอ)
เพราะไม่ว่าจะจริงจัง อยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอะไรขนาดไหน เวลาดูพวกเขาแล้ว มันก็ทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะได้ทุกที
และนอกจากความฮาอันเกิดจากอะไรก็ไม่รู้ล่ะหลายๆอย่างมาผสมปนเปกัน
ในก็ภาคนี้ยังได้เห็นความดราม่าและความหัวดื้อ หัวรั้น รวมไปถึงสภาพของความเป็นสังคมที่แต่ละคนมีความเป็นปัจเจกสูงด้วย
เรื่องของความเป็นปัจเจกสูง ในจุดนี้ อิชั้นนึกถึงความเอาแต่ใจ และกล้าที่จะแสดงออกซึ่งอารมณ์ของตัวเอง
กล้าที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่แวดล้อมออกมาตรงๆ
เห็นได้ชัดมากที่สุดก็ตอนที่ท่านพ่อกิมลี – โกลอิน ประท้วงเรื่องการต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าเรือให้บาร์ดนั่นแหละ
เพราะถ้าเป็นคนในสังคมอื่น ลงผู้นำสูงสุด ซึ่งเป็นถึงพระราชา – เป็นกษัตริย์สั่งออกมาเช่นนี้แล้ว
ถ้ายังเห็นมานั่งบ่นและตัดพ้อต่อว่า คงได้มีเรื่องกันแน่ๆ
(ธอรินก็ช่างใจเย็น หรืออาจจะเป็นเพราะสถานการณ์มันบังคับด้วยมั้ง เลยทำอะไรไม่ได้มาก)
แต่ถึงแม้จะเอาแต่ใจตัวอย่างไร โกลอินก็ยังคงเป็นคนแคระที่มีเลือดคนรุ่นเก่าเข้มข้น ชนิดที่ยอมเสียสละได้เพื่อสิ่งที่สูงค่าหรือเทิดทูน
ซึ่งกรณีนี้ก็คือ บ้านเกิดอย่างเอเรบอร์ ที่ทันที่ได้เห็นยอดเขายืนตระหง่านเงื้อมเหนือสายตา พ่อก็ส่งเงินมาให้ทั้งถุง !
(คนแคระนี่ก็แปลกจริงๆค่ะ จะว่างกก็งก จะว่าป๋าก็ป๋า ขอแค่จับจุดแกให้เจอเถอะ ถึงไหนถึงกัน)
และในท่ามกลางเนื้อเรื่องที่กำลังรุดไปข้างหน้า ผสมการตัดไปตัดมาของฉากแต่ละฉาก
กระโดดข้ามกันไปจากเหตุการณ์ของสถานที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง – จากตัวละครหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง – อันชวนให้คนดูมองข้ามหลายๆอย่าง
อิชั้นกลับประทับใจกับจุดเล็กๆบางอย่าง ที่แสดงถึงความเสียสละของคนรุ่นก่อน และความเป็นห่วงเป็นใยที่ผู้ใหญ่มีให้ผู้น้อย
รวมทั้งความเอื้ออาทรกันระหว่างเพื่อนพ้องร่วมเผ่า ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากในตัวคนแคระทุกคนด้วย
อย่างฉากที่คณะพรรคต้องแยกกัน ตรงนี้แหละค่ะที่เกิดช็อตประทับใจอันหนึ่งขึ้นมา
เนื่องจากตรงนี้ น้องคีลีบาดเจ็บ สภาพร่อแร่ ไปต่อไม่ได้ เลยโดนลุงห้าม แล้วระหว่างที่กำลังเถียงกัน
โออินก็พูดออกมาเองคนแรกเลยว่าจะไม่ไป ยอมจะทิ้งน้องตัวเองให้ไปช่วยคนที่เหลือ และอยู่รั้งท้ายเพื่อคอยดูแลคีลี
ด้วยเหตุผลที่ว่า “หน้าที่ดูแลคนป่วยเป็นหน้าที่ข้า” ทำเอาอิชั้นซึ้งมาก
พอๆกันกับที่ฟีลีเองก็พยายามจะแย้งลุงเพื่อขอให้น้องได้ไปด้วย แต่ลุงก็ตอบกลับไปว่าจะยอมให้เสียการใหญ่เพราะคนๆเดียวไม่ได้
ทั้งยังบอกด้วยว่าเมื่อวันหนึ่งได้เป็นกษัตริย์ หลานจะเข้าใจ แต่ก็เพราะแบบนั้น ฟีลีก็เลยกระโดดกลับขึ้นฝั่งไป
ไม่ฟังคำเตือนและคำสั่งให้กลับลงเรือของลุงที่บอกว่า “เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะ”
และยังแย้งด้วยว่า “ข้าเป็นของน้องข้า”
// โอ้โห... เจอไปสองดอกติด ติ่งคนแคระน้ำตาเอ่อ...
ยังค่ะ เท่านี้ยังไม่พอ พอลองนึกย้อนกลับไปตอนแรกๆ ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งขึ้นมาจากฝั่งน้ำขึ้นมาได้
หากจะจำได้ มันจะมีช็อตที่พวกเขาและบาร์ดเพิ่งได้พบกัน
โอรีที่กำลังนั่งเทน้ำออกจากรองเท้า (ไหมนะ?) อย่างไม่ได้ระวังตัวก็กำลังตกเป็นเป้าให้กับธนู
แต่ก่อนบาร์ดจะยิง ดวาลินก็ถลันมาเอาตัวขวางหน้าไว้ก่อน ช็อตนี้อ่ะมันใช่ มันใช่เลย !
ที่ว่าใช่ก็ตรงที่ ทุกคนมีสัญชาติญาณในการระวังภัยให้แก่กันสูงมาก และเมื่อได้มารวมกลุ่มกัน
ก็จะปกป้องกันจากอะไรก็ตามภายนอกแบบยินดีเอาตัวเข้าแลก แม้จะไม่ได้มีความสนิทสนมกันมาก่อนก็ตามด้วย
อีกจุดหนึ่งที่คิดว่าต้องขอบคุณผู้กำกับ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อิชั้นเชื่อว่าคนแคระไม่โดนลดบท
ก็คือ การได้มีฉากลองเทคกันยาวๆในเอเรบอร์นั่นเอง เพราะเป็นอะไรที่ในหนังสือไม่มีกล่าวถึงลงลึกแบบนี้หรอกค่ะ
ผกก.และทีมงานมโนเพิ่มเติมกันมาเอง และทำออกมาได้เริ่ดที่สุดในสามโลกซะด้วย !
ฉากที่ว่า คือ มหกรรมการเอาตัวรอดและสวนกลับสเมาก์ !!
ซึ่งทำให้ภาพพจน์ความเป็นพวกคิดน้อย ดีแต่ใช้อารมณ์ ไม่ฉลาด เอะอะก็ใช้แต่แรงของคนแคระมีน้ำหนักน้อยลงไปมาก
แล้วก็กลายมาเป็นการแสดงให้เห็นว่าลุงๆตัวเตี้ยตันเหล่านี้ จริงๆเขาสามัคคี มีสกิล และเข้าขากัน
รวมทั้งมีความคิดและฝีมือในตัวกันทุกคนจริงๆ
แล้วที่สำคัญกว่าก็คือ ใจสู้ที่ถูกปลุกขึ้นมานี่แหละ
เวลาไฟในใจมันลุกโชนแล้ว มังกรก็ดูเหมือนตัวเท่าม้าเลยด้วยซ้ำ (อวยเนาะ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละค่ะ)
บอกตรงๆว่าสะใจมากค่ะ ถึงจะไม่ชนะสเมาก์ก็เถอะ
(แน่นอน ชะตากรรมใครชะตากรรมมัน ทุกคนมีจุดเริ่มต้นและจุดจบเป็นของตัวเอง มังกรก็ด้วย
ไม่มีใครมอบจุดจบให้คนอื่นได้ ทำได้ก็แค่เพิ่มรายละเอียดเหตุการณ์ หรืออาจจะสร้างจุดหักเห)
มังกรจึงไม่ได้ตายตกด้วยฝีมือคนแคระ และโผบินออกไปได้
แต่อย่างน้อยๆ พวกลุงๆก็ได้ใจเราไปอีกโขแล้วล่ะค่ะ
ในส่วนสุดท้ายที่คิดว่าจะต้องพูดถึง คือ การที่ภาคนี้ ได้เปิดโอกาสให้เห็นความโดดเด่นของบางคนในคณะมากขึ้น
(และในขณะเดียวกันก็ทำให้บางคนเด่นน้อยลงอย่างน่าใจหาย)
ที่เห็นชัดที่สุด น่าจะต้องกล่าวถึงบาลิน เพราะภาคที่แล้วท่านบาเรียบร้อย แสนดี ปุกปุย สันติ น่ารักมาตลอด
ไม่ค่อยได้หือได้อือ เอะอะยิ้มๆ แต่พอมาภาคนี้ ท่านปล่อยของตั้งแต่ในเทรลเลอร์ !!
แล้วพอไปดูในหนังจริงๆ แทบจะหมอบกราบบาลินอีกสามตลบ...
รู้สึกแอบหลอนขึ้นมาเล็กน้อย ว่าอย่าได้ไปเถียงกับฮีเชียวนะ ไม่ชนะหรอก หากว่าไม่ได้มีอินเนอร์และฝีปากขนาดชายธอ
(แต่เอาจริงๆ ธอรินก็ธอรินเถอะค่ะ ถ้าท่านบาไม่งงกับตัวเองหรือสภาพแวดล้อม ก็เถียงไม่ชนะท่านเหมือนกันนั่นแหละ)
เอาง่ายๆ แค่ฉากที่เจอบาร์ด ท่านย่องมานิดๆ แล้วยิงตรงมาสองสามประโยค
การปะทะกันสงบลง แล้วก็กลายเป็นว่าได้เรือขึ้นกันไป (แม้จะต้องจ่ายกันไปคนละไม่น้อยก็เถอะ)
ไม่เปลืองแรงและไม่เสียเลือดเสียเนื้อโดยไม่จำเป็น
- ขอบคุณบาลินจริงๆค่ะ การมีอยู่ของท่านทำให้คณะทั้ง 13 คนดูมีการศึกษาและอารยธรรมมากขึ้นมาอีก 60% เลยทีเดียว...
// ตอนแรกที่ได้ดูฉากนี้ สืบตั้งแต่การที่บาลินเอ่ยทักบาร์ด จนยกมือสองข้างชูแบบโมเอ๊โมเอะ
อิชั้นที่ก็เป็นติ่งพี่น้องฟุนดิน คือ บาลินกับดวาลินอยู่แล้วด้วย ก็แทบจะยกมือโบกรัวๆในโรงหนัง
ดีที่ไหวตัวทัน กรี๊ดกร๊าดกับบาลินมากอะไรมาก ปลื้มที่สุด!
นอกจากฉากนี้ อีกฉากที่คิดว่าชอบบาลินมาก คือ การที่ท่านบาหันไปทำหน้าเดือดร้อนแล้วพูดประโยค
โคตรสะเทือนใจติ่งว่า
“ข้ากลัวแทนท่าน” พร้อมชี้หน้าธอริน
เอ๊อะ... เป็นอิชั้นมีสะอึกนะคะนั่น
พูดเรียบๆ เสียงนุ่มๆ แต่สีหน้ากับแววตาและอารมณ์ที่ส่งมา
แรงเถอะ !!
ธอรินอาจจะเกิดแสงทางปัญญาประมาณ 2 วินาที กลับมาเป็นพระเอกอย่างที่ควรจะเป็น แล้วก็ต้องแล่นไปช่วยบิลโบเลยทีเดียว
(แต่บาลินคงไม่รู้ว่าฮีไม่ได้ไปช่วยนะ ตอนแรกน่ะ ฮีเข้าไปเอาดาบจี้คอหอยพ่อหัวขโมยต่างหาก...)
แล้วในบรรดาคนทั้งหมดน่ะ ที่กล้าทำและคิดว่าทำได้ ก็มีแต่บาลินคนเดียวด้วย
โดยรวม ณ ขณะนี้เท่าที่นึกออกและอยากบอก ก็น่าจะมีแค่นี้ก่อน
ใจจริงอยากจะเจาะเป็นคนๆไปด้วย แต่คิดว่าจะลงต่อไปในเร็ปล่างๆ ไว้เดี๋ยวเรียบเรียงเสร็จใหม่แล้ว จะมาแปะเพิ่มนะคะ
(จะมีคนบ้าจี้ตามอ่านบ้างไหมนะ...)
To be continues (hope so)
จบตอนแบบห้วนๆ ที่สุด
The Hobbit 2 : ขอเขียนถึงแก็งจิ๋วตัวแสบ(และหนัง) จากแม่ยกคนแคระ [SPOIL พองาม?]
ดีใจจังค่ะ ที่ในที่สุดเดือนธันวาคมก็เดินทางมาถึงสักที เพราะในที่สุดหลังจากรอมาทั้งปี ก็ได้ดูเดอะ ฮอบบิทภาคสอง
แบบว่าคิดถึงบรรดาผู้ชายในฮาเร็มของตัวเองจะลงแดงอยู่แล้วล่ะค่ะ
หลังจากดูไปรอบแรกแล้ว ต้องบอกว่า หนังไม่ทำให้เราเกิดอาการกรี๊ดกร๊าดเท่าไรเลย
ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะเราไปดูกับคนที่ไม่ได้เป็นแฟนเดนตายงานของคุณทวดโทลคีนส์ด้วย ความอินเลยลดลงกว่าที่ควรจะเป็น
แต่อีกส่วนน่าจะเพราะว่า หลายๆอย่างในหนัง มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดว่าจะได้เห็น
บทมีการถูกปรับและเปลี่ยนชนิดตามใจฉันไปมาก ซึ่งมีผลค่อนข้างมากกับแฟนๆที่ยึดติดกับรายละเอียดแบบเรา
แต่แม้จะถูกปรับไปแบบค่อนข้างจะกลายเป็น “แฟนฟิล์ม” หรือ เหมือนแค่ยึดโครงเรื่องมา
มันก็ไม่ได้ทำให้นึกชังหรือไม่ชอบหรอกนะคะ แค่เสียดาย จุดที่เสียดายที่สุด น่าจะเป็นบทของลุงหมีเบออร์น
ซึ่งโดยส่วนตัว เราแอบแปลกๆมาตั้งแต่เห็นดีไซน์ของลุงแกแล้ว เพราะอิมเมจในหัวตอนอ่านนิยาย ไม่ได้คิดเลยว่าหน้าตาจะออกมาพั๊งค์ร็อคขนาดนี้... (แถมในหนัง มาอยู่ประมาณ 10 นาที... ต่างจากหนังสือที่มีบทของตัวเองเลย)
แล้วก็ไม่รู้สิคะ ปูมหลังลุงแกในหนังเนี่ย ทำให้เบออร์นดูด้อยๆลงไปยังไงไม่รู้ แม้จะได้รับการชดเชยด้วยเสียงอันทรงพลังประหนึ่งพ่อทีเร็กซ์มาร้องตอนคำรามในร่างหมี กับการได้เห็นหุ่นเท่ๆถึกๆล่ำๆ (และแก้มก้น...) ของแกก็ตามที
อย่างไรก็แล้วแต่ นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของกระทู้นี้ (เอาแก้มก้นผู้ชายมาเรียกแขกใช่ไหมอิชั้น // อืม... ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆนะ แบบว่า ก้นได้รูปเชียว หุ่นดีอ่ะค่ะ คุณมิเค่ – ชื่อเท่อีกต่างหาก หนุ่มยุโรปนี่เขามีของจริงๆ) สาระจริงๆ มันคือ ต่อจากนี้ต่างหาก
ซึ่งมันคงจะยาวมาก หากว่างพอและสนใจอะไรยาวๆ ก็ลองอ่านและเม้นกันได้นะคะ
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาคนี้ ทีแรกต้องบอกว่าในฐานะแม่ยกคนแคระที่ทำได้แต่รอมาตลอด 365 วัน ผ่านการเจอสื่อและโน่นนี่นั่นที่โปรโมตกันแต่เอลฟ์!! (ซึ่งในหนังสือออกมากระจึ๋งนึง...) ต้องบอกว่าอยู่ในสภาพร้อนรุ่ม งุนงง พิศวง สงสัยและธาตุไฟทำท่าจะเข้าแทรกตลอดเวลา จนกระทั่งได้มาดูหนังจริงๆ ก็เลยกรี๊ดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะหลังจากกลัวมาตลอดว่าคณะพรรค (ฮาเร็ม) ของอิชั้นต้องมีอันถูกลดบท กลัวเหลือเกินคนแคระจะกลายเป็นแค่ตัวประกอบเอาฮา แต่เมื่อได้ดูจริงๆจนจบก็พบว่า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักหน่อย ! โล่งใจที่สุด
แล้วถามว่าภาคนี้คนแคระไม่ฮาเหรอ? เปล่าค่ะ ฮาค่ะ ฮามากๆด้วย ฮาอย่างแรงอ่ะ ฮาตั้งแต่เปิดตัวเลย
ฮามันตั้งแต่บอมเบอร์ยืนเอ๋อ ไม่วงไม่วิ่ง ได้แต่ตาค้างเพราะเสียงคำรามของเบออร์นที่กลบแกนดัล์ฟแล้วล่ะ
แถมพอออกตัวพ่อบอมเธอก็สปีดอ้าวจนขึ้นไปนำคนแรก แซงธอรินไม่เห็นฝุ่นเลยด้วยซ้ำนะ // ฮาไหมล่ะ?
นี่ยังไม่นับการที่พวกเขาต้องไปหลบกันใต้ส้วมบ้านบาร์ดเพื่อหนีคนที่จะเข้ามาสอดแนมอีกนะ...
(นับว่าพีเจยังปราณีที่คนที่เอาหัวโผล่มาก่อนคือ ท่านดวา มิใช่ชายธอ
// ขอบคุณมากค่ะที่ละเว้นภาพพจน์ว่าที่สามี...
และก็ขอบคุณท่านดวานะคะ ที่เสียสละรับบทหนักมันตลอดมาตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว)
พูดถึงฉากฮาของคนแคระนี่นะคะ ถือได้ว่าเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่โดดเด่นมากเฉพาะตัวของบรรดาหนุ่มๆ กลุ่มนี้เลยล่ะค่ะ
(เหรอ? ได้ข่าวว่ามีเด็กจนเรียกว่าหนุ่มได้จริงอยู่ 3 คน ที่เหลือมีแต่ตาลุงหน้าโหด ถึก ขี้โมโห อารมณ์ร้ายทั้งนั้นอ่ะนะ...เหอ เหอ)
เพราะไม่ว่าจะจริงจัง อยู่ในยามหน้าสิ่วหน้าขวานอะไรขนาดไหน เวลาดูพวกเขาแล้ว มันก็ทำให้เรายิ้มหรือหัวเราะได้ทุกที
และนอกจากความฮาอันเกิดจากอะไรก็ไม่รู้ล่ะหลายๆอย่างมาผสมปนเปกัน
ในก็ภาคนี้ยังได้เห็นความดราม่าและความหัวดื้อ หัวรั้น รวมไปถึงสภาพของความเป็นสังคมที่แต่ละคนมีความเป็นปัจเจกสูงด้วย
เรื่องของความเป็นปัจเจกสูง ในจุดนี้ อิชั้นนึกถึงความเอาแต่ใจ และกล้าที่จะแสดงออกซึ่งอารมณ์ของตัวเอง
กล้าที่จะตอบโต้ต่อสถานการณ์รวมทั้งมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่แวดล้อมออกมาตรงๆ
เห็นได้ชัดมากที่สุดก็ตอนที่ท่านพ่อกิมลี – โกลอิน ประท้วงเรื่องการต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นค่าเรือให้บาร์ดนั่นแหละ
เพราะถ้าเป็นคนในสังคมอื่น ลงผู้นำสูงสุด ซึ่งเป็นถึงพระราชา – เป็นกษัตริย์สั่งออกมาเช่นนี้แล้ว
ถ้ายังเห็นมานั่งบ่นและตัดพ้อต่อว่า คงได้มีเรื่องกันแน่ๆ
(ธอรินก็ช่างใจเย็น หรืออาจจะเป็นเพราะสถานการณ์มันบังคับด้วยมั้ง เลยทำอะไรไม่ได้มาก)
แต่ถึงแม้จะเอาแต่ใจตัวอย่างไร โกลอินก็ยังคงเป็นคนแคระที่มีเลือดคนรุ่นเก่าเข้มข้น ชนิดที่ยอมเสียสละได้เพื่อสิ่งที่สูงค่าหรือเทิดทูน
ซึ่งกรณีนี้ก็คือ บ้านเกิดอย่างเอเรบอร์ ที่ทันที่ได้เห็นยอดเขายืนตระหง่านเงื้อมเหนือสายตา พ่อก็ส่งเงินมาให้ทั้งถุง !
(คนแคระนี่ก็แปลกจริงๆค่ะ จะว่างกก็งก จะว่าป๋าก็ป๋า ขอแค่จับจุดแกให้เจอเถอะ ถึงไหนถึงกัน)
และในท่ามกลางเนื้อเรื่องที่กำลังรุดไปข้างหน้า ผสมการตัดไปตัดมาของฉากแต่ละฉาก
กระโดดข้ามกันไปจากเหตุการณ์ของสถานที่หนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง – จากตัวละครหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง – อันชวนให้คนดูมองข้ามหลายๆอย่าง
อิชั้นกลับประทับใจกับจุดเล็กๆบางอย่าง ที่แสดงถึงความเสียสละของคนรุ่นก่อน และความเป็นห่วงเป็นใยที่ผู้ใหญ่มีให้ผู้น้อย
รวมทั้งความเอื้ออาทรกันระหว่างเพื่อนพ้องร่วมเผ่า ซึ่งเป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดมากในตัวคนแคระทุกคนด้วย
อย่างฉากที่คณะพรรคต้องแยกกัน ตรงนี้แหละค่ะที่เกิดช็อตประทับใจอันหนึ่งขึ้นมา
เนื่องจากตรงนี้ น้องคีลีบาดเจ็บ สภาพร่อแร่ ไปต่อไม่ได้ เลยโดนลุงห้าม แล้วระหว่างที่กำลังเถียงกัน
โออินก็พูดออกมาเองคนแรกเลยว่าจะไม่ไป ยอมจะทิ้งน้องตัวเองให้ไปช่วยคนที่เหลือ และอยู่รั้งท้ายเพื่อคอยดูแลคีลี
ด้วยเหตุผลที่ว่า “หน้าที่ดูแลคนป่วยเป็นหน้าที่ข้า” ทำเอาอิชั้นซึ้งมาก
พอๆกันกับที่ฟีลีเองก็พยายามจะแย้งลุงเพื่อขอให้น้องได้ไปด้วย แต่ลุงก็ตอบกลับไปว่าจะยอมให้เสียการใหญ่เพราะคนๆเดียวไม่ได้
ทั้งยังบอกด้วยว่าเมื่อวันหนึ่งได้เป็นกษัตริย์ หลานจะเข้าใจ แต่ก็เพราะแบบนั้น ฟีลีก็เลยกระโดดกลับขึ้นฝั่งไป
ไม่ฟังคำเตือนและคำสั่งให้กลับลงเรือของลุงที่บอกว่า “เจ้าเป็นส่วนหนึ่งของคณะ”
และยังแย้งด้วยว่า “ข้าเป็นของน้องข้า”
// โอ้โห... เจอไปสองดอกติด ติ่งคนแคระน้ำตาเอ่อ...
ยังค่ะ เท่านี้ยังไม่พอ พอลองนึกย้อนกลับไปตอนแรกๆ ตั้งแต่ตอนที่เพิ่งขึ้นมาจากฝั่งน้ำขึ้นมาได้
หากจะจำได้ มันจะมีช็อตที่พวกเขาและบาร์ดเพิ่งได้พบกัน
โอรีที่กำลังนั่งเทน้ำออกจากรองเท้า (ไหมนะ?) อย่างไม่ได้ระวังตัวก็กำลังตกเป็นเป้าให้กับธนู
แต่ก่อนบาร์ดจะยิง ดวาลินก็ถลันมาเอาตัวขวางหน้าไว้ก่อน ช็อตนี้อ่ะมันใช่ มันใช่เลย !
ที่ว่าใช่ก็ตรงที่ ทุกคนมีสัญชาติญาณในการระวังภัยให้แก่กันสูงมาก และเมื่อได้มารวมกลุ่มกัน
ก็จะปกป้องกันจากอะไรก็ตามภายนอกแบบยินดีเอาตัวเข้าแลก แม้จะไม่ได้มีความสนิทสนมกันมาก่อนก็ตามด้วย
อีกจุดหนึ่งที่คิดว่าต้องขอบคุณผู้กำกับ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้อิชั้นเชื่อว่าคนแคระไม่โดนลดบท
ก็คือ การได้มีฉากลองเทคกันยาวๆในเอเรบอร์นั่นเอง เพราะเป็นอะไรที่ในหนังสือไม่มีกล่าวถึงลงลึกแบบนี้หรอกค่ะ
ผกก.และทีมงานมโนเพิ่มเติมกันมาเอง และทำออกมาได้เริ่ดที่สุดในสามโลกซะด้วย !
ฉากที่ว่า คือ มหกรรมการเอาตัวรอดและสวนกลับสเมาก์ !!
ซึ่งทำให้ภาพพจน์ความเป็นพวกคิดน้อย ดีแต่ใช้อารมณ์ ไม่ฉลาด เอะอะก็ใช้แต่แรงของคนแคระมีน้ำหนักน้อยลงไปมาก
แล้วก็กลายมาเป็นการแสดงให้เห็นว่าลุงๆตัวเตี้ยตันเหล่านี้ จริงๆเขาสามัคคี มีสกิล และเข้าขากัน
รวมทั้งมีความคิดและฝีมือในตัวกันทุกคนจริงๆ
แล้วที่สำคัญกว่าก็คือ ใจสู้ที่ถูกปลุกขึ้นมานี่แหละ
เวลาไฟในใจมันลุกโชนแล้ว มังกรก็ดูเหมือนตัวเท่าม้าเลยด้วยซ้ำ (อวยเนาะ แต่ก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆนั่นแหละค่ะ)
บอกตรงๆว่าสะใจมากค่ะ ถึงจะไม่ชนะสเมาก์ก็เถอะ
(แน่นอน ชะตากรรมใครชะตากรรมมัน ทุกคนมีจุดเริ่มต้นและจุดจบเป็นของตัวเอง มังกรก็ด้วย
ไม่มีใครมอบจุดจบให้คนอื่นได้ ทำได้ก็แค่เพิ่มรายละเอียดเหตุการณ์ หรืออาจจะสร้างจุดหักเห)
มังกรจึงไม่ได้ตายตกด้วยฝีมือคนแคระ และโผบินออกไปได้
แต่อย่างน้อยๆ พวกลุงๆก็ได้ใจเราไปอีกโขแล้วล่ะค่ะ
ในส่วนสุดท้ายที่คิดว่าจะต้องพูดถึง คือ การที่ภาคนี้ ได้เปิดโอกาสให้เห็นความโดดเด่นของบางคนในคณะมากขึ้น
(และในขณะเดียวกันก็ทำให้บางคนเด่นน้อยลงอย่างน่าใจหาย)
ที่เห็นชัดที่สุด น่าจะต้องกล่าวถึงบาลิน เพราะภาคที่แล้วท่านบาเรียบร้อย แสนดี ปุกปุย สันติ น่ารักมาตลอด
ไม่ค่อยได้หือได้อือ เอะอะยิ้มๆ แต่พอมาภาคนี้ ท่านปล่อยของตั้งแต่ในเทรลเลอร์ !!
แล้วพอไปดูในหนังจริงๆ แทบจะหมอบกราบบาลินอีกสามตลบ...
รู้สึกแอบหลอนขึ้นมาเล็กน้อย ว่าอย่าได้ไปเถียงกับฮีเชียวนะ ไม่ชนะหรอก หากว่าไม่ได้มีอินเนอร์และฝีปากขนาดชายธอ
(แต่เอาจริงๆ ธอรินก็ธอรินเถอะค่ะ ถ้าท่านบาไม่งงกับตัวเองหรือสภาพแวดล้อม ก็เถียงไม่ชนะท่านเหมือนกันนั่นแหละ)
เอาง่ายๆ แค่ฉากที่เจอบาร์ด ท่านย่องมานิดๆ แล้วยิงตรงมาสองสามประโยค
การปะทะกันสงบลง แล้วก็กลายเป็นว่าได้เรือขึ้นกันไป (แม้จะต้องจ่ายกันไปคนละไม่น้อยก็เถอะ)
ไม่เปลืองแรงและไม่เสียเลือดเสียเนื้อโดยไม่จำเป็น
- ขอบคุณบาลินจริงๆค่ะ การมีอยู่ของท่านทำให้คณะทั้ง 13 คนดูมีการศึกษาและอารยธรรมมากขึ้นมาอีก 60% เลยทีเดียว...
// ตอนแรกที่ได้ดูฉากนี้ สืบตั้งแต่การที่บาลินเอ่ยทักบาร์ด จนยกมือสองข้างชูแบบโมเอ๊โมเอะ
อิชั้นที่ก็เป็นติ่งพี่น้องฟุนดิน คือ บาลินกับดวาลินอยู่แล้วด้วย ก็แทบจะยกมือโบกรัวๆในโรงหนัง
ดีที่ไหวตัวทัน กรี๊ดกร๊าดกับบาลินมากอะไรมาก ปลื้มที่สุด!
นอกจากฉากนี้ อีกฉากที่คิดว่าชอบบาลินมาก คือ การที่ท่านบาหันไปทำหน้าเดือดร้อนแล้วพูดประโยคโคตรสะเทือนใจติ่งว่า
“ข้ากลัวแทนท่าน” พร้อมชี้หน้าธอริน เอ๊อะ... เป็นอิชั้นมีสะอึกนะคะนั่น
พูดเรียบๆ เสียงนุ่มๆ แต่สีหน้ากับแววตาและอารมณ์ที่ส่งมา แรงเถอะ !!
ธอรินอาจจะเกิดแสงทางปัญญาประมาณ 2 วินาที กลับมาเป็นพระเอกอย่างที่ควรจะเป็น แล้วก็ต้องแล่นไปช่วยบิลโบเลยทีเดียว
(แต่บาลินคงไม่รู้ว่าฮีไม่ได้ไปช่วยนะ ตอนแรกน่ะ ฮีเข้าไปเอาดาบจี้คอหอยพ่อหัวขโมยต่างหาก...)
แล้วในบรรดาคนทั้งหมดน่ะ ที่กล้าทำและคิดว่าทำได้ ก็มีแต่บาลินคนเดียวด้วย
โดยรวม ณ ขณะนี้เท่าที่นึกออกและอยากบอก ก็น่าจะมีแค่นี้ก่อน
ใจจริงอยากจะเจาะเป็นคนๆไปด้วย แต่คิดว่าจะลงต่อไปในเร็ปล่างๆ ไว้เดี๋ยวเรียบเรียงเสร็จใหม่แล้ว จะมาแปะเพิ่มนะคะ
(จะมีคนบ้าจี้ตามอ่านบ้างไหมนะ...)
To be continues (hope so)
จบตอนแบบห้วนๆ ที่สุด