บทก่อนหน้า
บทนำ
http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑
http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒
http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓
http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔
http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕
http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖
http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗
http://ppantip.com/topic/31337858
บทที่ ๘
http://ppantip.com/topic/31362571
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มเจ้าของสถานีล่าวาฬซึ่งพักอยู่ห้องติดกัน มารับหญิงสาวแต่เช้า เขาพาเธอไปรับประทานอาหารเช้ายังห้องอาหารของโรงแรม ก่อนจะออกมาเรียกรถม้า ซึ่งณัฐญาณ์เข้าใจว่า เขาคงจะพาเธอไปทำธุระด้วยอย่างเมื่อวานก่อนที่จะพาเธอเที่ยวชมเมืองในช่วงบ่าย โดยที่ไม่รู้ว่าวันนี้เขามีแผนจะพาเธอไปที่ใด
จากหน้าโรงแรม ‘The Duke of Wellington’ ที่ทั้งสองพักอยู่ รถม้าพาวิ่งไปบนถนนรัสเซลซึ่งเป็นถนนหน้าโรงแรม จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนเบิร์ก และวิ่งตรงไปจนถึงหัวมุมถนนที่ตัดกับถนนสตีเฟน [1] จึงหยุดลงหน้าอาคารหลังคาสูงขนาดมหึมา ซึ่งกินพื้นที่หัวมุมถนนทั้งสองไปทั้งแถบ ภายในมีผู้คนพลุกพล่าน หญิงสาวหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สีหน้าแสดงคำถาม
“ตลาดตะวันออก” [2] คนพามาบอกโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากถาม หญิงสาวคิดว่าวันนี้เขาคงจะมาจับจ่ายสินค้าสำหรับออกเรือที่ตลาดแห่งนี้กระมัง
หลังลงจากรถม้า ชายหนุ่มพาหญิงสาวเดินเข้าไปในอาคาร ซึ่งภายในแบ่งออกเป็นสามส่วน ตรงกลางที่ดูเหมือนจะยกพื้นขึ้นนิด ๆ เป็นสถานที่สำหรับคนจับจ่ายซื้อของ ในขณะที่รอบนอกเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มีของขายสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ และร้านที่ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าคือ... ร้านขายต้นไม้...
ตอนนั้นเองที่ณัฐญาณ์ตระหนักว่าเช้าวันนี้เขามาเธอมาเดินตลาด ไม่ใช่มาหาซื้อของสำหรับออกเรืออย่างที่เข้าใจ เพราะต้นไม้ในร้านที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือดอกไม้เมืองร้อน บางต้นมีดอกติดอยู่ ส่งกลิ่นหอมรวยริน ไม่ว่าจะเป็นมะลิ พุดซ้อน ดอกแก้ว มีแม้แต่พวงแสด หญิงสาวหันไปมองคนพามาด้วยนัยน์ตาโตอย่างตื่นเต้นแกมยินดี จำได้ว่าเคยขอให้เขาพามาเดินตลาดต้นไม้ และเมื่อเขาพามาจริง ๆ ก็อดที่จะพูดอย่างเกรงใจไม่ได้
“ขอบคุณนะคะวิล แต่ไม่น่าจะพาฉันมาแต่เช้าเลย ทำธุระของคุณให้เสร็จก่อนค่อยมาก็ได้”
“ถ้าจะมาตลาดต้องรีบมาแต่เช้า เพราะเดี๋ยวสาย ๆ ตลาดก็ปิดแล้ว” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะพยักเพยิดให้หญิงสาวเลือกดูต้นไม้ที่วางอยู่เรียงราย
“คุณอยากได้ดอกมะลิไปปลูกเพิ่มไม่ใช่หรือ เลือกดูสิ” ณัฐญาณ์จึงเดินดูต้นไม้ในกระถางตามที่ชายหนุ่มบอก ก่อนจะหันมาถามชายหนุ่มเสียงอ่อย
“วิลคะ ฉันขอซื้ออย่างอื่นด้วยได้ไหมคะ” รู้ล่ะว่าขอให้เขาพามาตลาดเพื่อซื้อต้นมะลิไปปลูก แต่เธอไม่รู้นี่ว่ามันจะมีต้นพุดซ้อน ดอกไม้สุดโปรดของเธอขายด้วย
“คุณอยากได้อะไรบ้าง เลือกไว้เลย ผมจะได้สั่งให้เขาเอาไปส่งที่สถานี” ชายหนุ่มบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อ้าว เราไม่หิ้วกลับไปเองหรือคะ จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สิคะ แล่นเรือตั้งเป็นวันกับต้นไม้ไม่กี่ต้น” หญิงสาวท้วง หากคนฟังกลับยิ้มกริ่ม
“มีสินค้าหลายอย่างไปส่งพร้อมกัน ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อเขาว่าเช่นนั้น ณัฐญาณ์จึงเดินเลือกดูต้นไม้ที่ต้องการ หญิงสาวเลือกต้นมะลิที่เริ่มออกดอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ เพราะจะได้มีดอกทันทีหลังจากลงดิน นอกจากดอกมะลิตามที่ตั้งใจจะมาหาซื้อแล้ว หญิงสาวก็เลือกต้นพุดซ้อนอีกสี่ห้าต้น มองเห็นคนพามายืนมองยิ้ม ๆ
“คุณชอบดอกกาดีเนียร์หรือ” เขาถาม เมื่อเห็นณัฐญาณ์เดินวนไปเวียนมาใกล้ ๆ ต้นพุดซ้อน และนั่งลงดมกลิ่นของดอกที่ติดต้นอยู่อย่างอดไม่ได้
“ค่ะ มันชื่อ ‘พุดซ้อน’ ในภาษาของฉัน ฉันชอบกลิ่นหอมหวานของมัน” หญิงสาวตอบ พลางยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี
“คุณต้องการแค่นั้นหรือ” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นหญิงสาวไม่เลือกดอกไม้ต่อ หากแต่นั่งพิจารณาต้นพุดซ้อนในกระถางที่เลือกไว้
“พอแล้วค่ะ สองชนิดนี่ก็พอ ดอกมะลิเป็นดอกไม้โปรดของแม่ อย่างที่เคยบอกคุณ มีมะลิในสวนเยอะ ๆ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน ส่วนพุดซ้อนเป็นดอกไม้โปรดของฉัน” หญิงสาวตอบ ก่อนจะถอนหายใจ
“อยากกลับบ้านไปปลูกดอกไม้แล้วล่ะค่ะ” คำพูดของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้ ณัฐญาณ์ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่เมื่อได้ของเล่นที่ถูกใจแล้วก็อยากจะรีบกลับบ้านเพื่อไปเล่นของเล่นนั้นในทันที
“พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว อดทนอีกนิดนะ” เขาบอก
“โธ่ ฉันไม่ต้องอดทนอะไรเลยค่ะ คุณดูแลฉันอย่างดี พาเที่ยวเล่นในเมือง แล้วยังมีโอกาสได้ล่องเรือใบแบบสมัยก่อนอีกด้วย ใครจะโชคดีเหมือนฉัน” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ เธอสามารถพูดเล่นถึงการที่ต้องใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไม่รู้สึกหวาดกลัวเช่นในตอนแรกที่เพิ่งหลงเข้ามาอีกแล้ว
คนเรามีความสามารถในการปรับตัวจริง ๆ หญิงสาวเชื่อแล้ว เพราะตอนนี้เธอไม่รู้สึกว่าการหลงยุคมาอยู่ในสมัยโบราณจะน่ากลัวอย่างที่เคยรู้สึกเลย หญิงสาวรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้คนที่นี่อย่างน่าประหลาดใจ มีเพียงการที่ต้องอยู่ห่างจากมารดาเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกปวดหนึบในอกทุกครั้งที่นึกถึง แต่เมื่อคิดว่าเมื่อถึงเวลาเธอก็จะได้กลับไปยังที่ที่จากมา ก็ทำให้ณัฐญาณ์อยากใช้เวลาที่นี่ให้คุ้มค่ากับทุกนาทีที่ผ่านไป และที่ทำให้แปลกใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นความคิดที่ว่า เธอคงจะคิดถึงผู้คนที่นี่มากทีเดียวเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนี่ เพราะในชีวิตที่ผ่านมา นอกจากมารดาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครจะปฏิบัติกับเธออย่างชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ให้เธออาศัยอยู่ด้วยนี่อีกเลย
วันสุดท้ายชายหนุ่มเจ้าของสถานีล่าวาฬพาทุกคนที่พักที่โรงแรมในตัวเมืองเมลเบิร์นกลับมายังเรือที่เทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือซานดริดจ์ เขายังมีธุรกิจอย่างสุดท้ายต้องติดต่อ นั่นคือสั่งซื้อแป้งสาลี ซึ่งโรงงานผลิตแป้งจะตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือ ชายหนุ่มจึงเก็บไว้เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่จะล่องเรือลงใต้เพื่อกลับพอร์ทแคมพ์เบลล์
ขณะกำลังเดินตรงไปยังเรือ ‘แคมพ์เบลล์’ ที่เทียบท่าอยู่นั้น ณัฐญาณ์สังเกตเห็นเรือใบเดินทะเลขนาดใหญ่ที่เทียบท่าอยู่ไม่ห่างจากเรือของชายหนุ่มมากนัก ดูวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่ขึ้นมาจากเรือ รวมทั้งคนที่ดูเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ที่รอรับอยู่บนฝั่งพร้อมเอกสารในมือ หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่มที่เดินเคียงอยู่ด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“คนพวกนี้มาจากไหนหรือคะ”
“ผู้ย้ายถิ่น น่าจะมาจากอังกฤษ” ชายหนุ่มตอบ สังเกตจากภาษาที่ผู้คนที่กำลังเดินขึ้นมาจากเรือพูดคุยกัน
“นักโทษหรือคะ” ถามพร้อมขมวดคิ้ว ผู้คนที่เห็นตรงหน้ามีทั้งหญิงและชาย หนุ่มสาว และเด็ก แต่ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะเหมือนนักโทษเลย
“ทำไมคุณจึงคิดว่าพวกเขาเป็นนักโทษล่ะ” ชายหนุ่มถาม มองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าเธอไปเอาความคิดที่ว่าผู้ย้ายถิ่นเหล่านี้เป็นนักโทษมาจากไหน
“ก็...” นิ่งไปสักพักอย่างไม่แน่ใจว่าสมควรจะพูดออกไปหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจได้
“ก็คนออสเตรเลีย คือนักโทษที่ถูกส่งมาจากอังกฤษไม่ใช่หรือคะ” ถามเสียงแผ่ว ชักไม่แน่ใจว่าที่เธอเข้าใจมาตลอดนั้นถูกต้อง เพราะดูจากท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้า เธอไม่กล้าคิดเลยว่า เขาจะมีบรรพบุรุษเป็นนักโทษที่ถูกส่งมาจากประเทศอังกฤษ คงไม่มีนักโทษที่ไหนจะเลี้ยงลูกออกมาได้เป็นผู้ดีทุกกระเบียดเช่นนี้กระมัง
“ผู้คนที่บ้านเมืองคุณเข้าใจเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยไม่พอใจใด ๆ ณัฐญาณ์แอบผ่อนลมหายใจโล่งอก เธอเกรงเขาจะโกรธที่ไปหาว่าเขาเป็นลูกหลานของนักโทษ และก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็พูดต่อ
“ก็จริงที่เรือของผู้ย้ายถิ่นเที่ยวแรกเป็นนักโทษ แต่หลังจากนั้นก็มีผู้ย้ายถิ่นที่เป็นคนธรรมดาที่ต้องการมาหาโอกาสในประเทศใหม่เดินทางมาอีกมากมาย มีทั้งนักธุรกิจ ทหาร หมอ หรือคนที่มีทักษะอาชีพ เมื่อยี่สิบปีก่อน รัฐบาลอังกฤษมีการให้ค่าหัวแก่สตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานเพื่อย้ายถิ่นมาที่นี่ด้วย เพราะอัตราส่วนระหว่างผู้หญิงต่อผู้ชายไม่สมดุลกัน จึงมีการสนับสนุนให้ผู้หญิงย้ายถิ่นมามากขึ้น”
“อย่างนั้นหรือคะ” เธอถามได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะฟังชายหนุ่มพูดต่อ
“อย่างบิดาของผมท่านเป็นพ่อค้า สมัครเป็นผู้ย้ายถิ่นเพื่อมาอาศัยอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายเงินให้กับรัฐบาล เมื่อมาถึงก็มาทำธุรกิจอย่างที่เคยทำที่อังกฤษ เราจะมาเรือคนละลำกับนักโทษ พวกนักโทษไม่โชคดีอย่างเรานักหรอก โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ส่วนใหญ่จะจบลงที่การเป็นโสเภณี” ชายหนุ่มว่าเสียงขรึม
“ทำไมล่ะคะ”
“นักโทษที่ถูกส่งมาที่นี่ จะต้องอยู่จนกว่าโทษจะหมด จากนั้นจะสามารถกลับไปอังกฤษได้ แต่โดยส่วนใหญ่ คนเลือกที่จะไม่กลับ เพราะการเดินทางที่อันตราย จะกลับถึงบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ การหางานทำและลงหลักปักฐานที่นี่ดูจะมีอนาคตมากกว่า ส่วนพวกนักโทษหญิง นอกจากจะอยู่รับโทษจนครบกำหนดแล้ว หากได้แต่งงานกับผู้ย้ายถิ่นฐาน จะทำให้พ้นโทษอัตโนมัติ ปกติเมื่อนักโทษหญิงเดินทางมาถึง หากโชคดีหน่อย พวกเธอจะถูกจ้างให้ทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้าน หรือถูกผู้ย้ายถิ่นฐานมารับไปเป็นภรรยา โชคร้ายหน่อยก็อาจจะได้เป็นเพียงนางบำเรอ หรือถูกส่งเข้าโรงงาน ซึ่งคุณภาพชีวิตย่ำแย่กว่าทำงานตามบ้านผู้มีอันจะกินมากนัก แต่พวกที่ถูกจ้างทำงานเป็นคนรับใช้ก็ใช่ว่าจะโชคดีตลอดไป บางครั้งนายจ้างก็ทิ้งพวกเธอกลางคัน เพราะไม่มีกฎหมายที่จะบังคับเอาผิดคนที่รับนักโทษไปแล้วปล่อยทิ้งไม่ดูแล ซึ่งพวกเธอต้องหาทางออกให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แล้วกับผู้หญิงที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนคุก ก็ไม่มีใครที่ไหนจะให้โอกาสอีก มีทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการขายตัว”
“โอ...” ณัฐญาณ์พูดได้เพียงเท่านั้น ในอกเศร้าหมองไปกับชะตากรรมของนักโทษหญิงเหล่านั้น
“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มว่าพลางพาหญิงสาวที่ยังคงรู้สึกเศร้าสร้อยเดินขึ้นไปบนเรือ
เขาพาเธอมาส่งที่ห้อง ‘เคบิน’ ซึ่งเป็นห้องนอนบนเรือ ภายในห้องมีเตียงเล็ก ๆ ตั้งอยู่
“คุณพักผ่อนก่อนเถอะนะ หากอยากขึ้นไปบนดาดฟ้าให้บอกกับเอลานอร์ แล้วผมจะมารับ” เขาว่า ทำท่าจะเดินจากไป แต่เมื่อมองเห็นว่าหญิงสาวยังมีสีหน้าที่ไม่สดชื่น เขาจึงก้าวตามเข้าไปในห้อง พลางถามน้ำเสียงห่วงใย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ณัฐญาณ์พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะตอบ เพราะไม่อยากทำให้เขาต้องมากังวลกับเธอ
“ฉัน... สบายดีค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อได้มาพบเห็นผู้คนที่สำหรับฉันเขาเหล่านั้นเป็นเพียงประวัติศาสตร์ และได้ทราบเรื่องราวความเลวร้ายที่เกิดกับพวกเขา มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้า” คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์ หากแต่ ณ เวลาหนึ่งพวกเขามีชีวิตอยู่จริง และได้ประสบเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตนั้นจริง เมื่อได้มาพบเห็นด้วยตาตัวเอง มันทำให้รู้สึกเศร้าหมองน้อยอยู่เมื่อไร
“นาทาย่าห์ มันคือความเป็นจริงของชีวิต บางคนโชคดีเกิดมาในครอบครัวที่ดี แต่บางคนก็ไม่ได้โชคดีแบบนั้น แต่นั่นคือชะตาชีวิตของแต่ละคน เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเกิดมาพร้อมสมบูรณ์ได้ คนอื่นที่เราไม่มีอำนาจที่จะจัดการได้ เราก็ต้องปล่อยวาง แต่หากเราสามารถทำอะไรได้ เราต้องไม่เพิกเฉย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงดูแลคนของผมอย่างดี” ชายหนุ่มว่า เขามองหญิงสาวด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะถามอย่างตัดสินใจได้
“ผมต้องขึ้นไปเอาเรือออก คุณอยากขึ้นไปกับผมไหม”
“ไปสิคะ” ตอบหลังจากนิ่งคิดสักพัก เธออยากเห็นตอนเรือแล่นออกจากท่า อยากมองเมืองเมลเบิร์นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกที คงต้องมาสั่งซื้อสินค้าสำหรับออกเรือฤดูกาลหน้านู่นกระมัง
สุดปลายฝัน บทที่ ๙
บทนำ http://ppantip.com/topic/31223069
บทที่ ๑ http://ppantip.com/topic/31235568
บทที่ ๒ http://ppantip.com/topic/31253339
บทที่ ๓ http://ppantip.com/topic/31265981
บทที่ ๔ http://ppantip.com/topic/31283288
บทที่ ๕ http://ppantip.com/topic/31298274
บทที่ ๖ http://ppantip.com/topic/31319220
บทที่ ๗ http://ppantip.com/topic/31337858
บทที่ ๘ http://ppantip.com/topic/31362571
เช้าวันต่อมา ชายหนุ่มเจ้าของสถานีล่าวาฬซึ่งพักอยู่ห้องติดกัน มารับหญิงสาวแต่เช้า เขาพาเธอไปรับประทานอาหารเช้ายังห้องอาหารของโรงแรม ก่อนจะออกมาเรียกรถม้า ซึ่งณัฐญาณ์เข้าใจว่า เขาคงจะพาเธอไปทำธุระด้วยอย่างเมื่อวานก่อนที่จะพาเธอเที่ยวชมเมืองในช่วงบ่าย โดยที่ไม่รู้ว่าวันนี้เขามีแผนจะพาเธอไปที่ใด
จากหน้าโรงแรม ‘The Duke of Wellington’ ที่ทั้งสองพักอยู่ รถม้าพาวิ่งไปบนถนนรัสเซลซึ่งเป็นถนนหน้าโรงแรม จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนเบิร์ก และวิ่งตรงไปจนถึงหัวมุมถนนที่ตัดกับถนนสตีเฟน [1] จึงหยุดลงหน้าอาคารหลังคาสูงขนาดมหึมา ซึ่งกินพื้นที่หัวมุมถนนทั้งสองไปทั้งแถบ ภายในมีผู้คนพลุกพล่าน หญิงสาวหันไปมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ สีหน้าแสดงคำถาม
“ตลาดตะวันออก” [2] คนพามาบอกโดยที่เธอไม่ต้องเอ่ยปากถาม หญิงสาวคิดว่าวันนี้เขาคงจะมาจับจ่ายสินค้าสำหรับออกเรือที่ตลาดแห่งนี้กระมัง
หลังลงจากรถม้า ชายหนุ่มพาหญิงสาวเดินเข้าไปในอาคาร ซึ่งภายในแบ่งออกเป็นสามส่วน ตรงกลางที่ดูเหมือนจะยกพื้นขึ้นนิด ๆ เป็นสถานที่สำหรับคนจับจ่ายซื้อของ ในขณะที่รอบนอกเป็นพ่อค้าแม่ค้าที่มีของขายสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ และร้านที่ชายหนุ่มพาเธอมาหยุดอยู่ตรงหน้าคือ... ร้านขายต้นไม้...
ตอนนั้นเองที่ณัฐญาณ์ตระหนักว่าเช้าวันนี้เขามาเธอมาเดินตลาด ไม่ใช่มาหาซื้อของสำหรับออกเรืออย่างที่เข้าใจ เพราะต้นไม้ในร้านที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือดอกไม้เมืองร้อน บางต้นมีดอกติดอยู่ ส่งกลิ่นหอมรวยริน ไม่ว่าจะเป็นมะลิ พุดซ้อน ดอกแก้ว มีแม้แต่พวงแสด หญิงสาวหันไปมองคนพามาด้วยนัยน์ตาโตอย่างตื่นเต้นแกมยินดี จำได้ว่าเคยขอให้เขาพามาเดินตลาดต้นไม้ และเมื่อเขาพามาจริง ๆ ก็อดที่จะพูดอย่างเกรงใจไม่ได้
“ขอบคุณนะคะวิล แต่ไม่น่าจะพาฉันมาแต่เช้าเลย ทำธุระของคุณให้เสร็จก่อนค่อยมาก็ได้”
“ถ้าจะมาตลาดต้องรีบมาแต่เช้า เพราะเดี๋ยวสาย ๆ ตลาดก็ปิดแล้ว” ชายหนุ่มบอก ก่อนจะพยักเพยิดให้หญิงสาวเลือกดูต้นไม้ที่วางอยู่เรียงราย
“คุณอยากได้ดอกมะลิไปปลูกเพิ่มไม่ใช่หรือ เลือกดูสิ” ณัฐญาณ์จึงเดินดูต้นไม้ในกระถางตามที่ชายหนุ่มบอก ก่อนจะหันมาถามชายหนุ่มเสียงอ่อย
“วิลคะ ฉันขอซื้ออย่างอื่นด้วยได้ไหมคะ” รู้ล่ะว่าขอให้เขาพามาตลาดเพื่อซื้อต้นมะลิไปปลูก แต่เธอไม่รู้นี่ว่ามันจะมีต้นพุดซ้อน ดอกไม้สุดโปรดของเธอขายด้วย
“คุณอยากได้อะไรบ้าง เลือกไว้เลย ผมจะได้สั่งให้เขาเอาไปส่งที่สถานี” ชายหนุ่มบอกด้วยท่าทางสบาย ๆ
“อ้าว เราไม่หิ้วกลับไปเองหรือคะ จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์สิคะ แล่นเรือตั้งเป็นวันกับต้นไม้ไม่กี่ต้น” หญิงสาวท้วง หากคนฟังกลับยิ้มกริ่ม
“มีสินค้าหลายอย่างไปส่งพร้อมกัน ไม่เป็นไรหรอก” เมื่อเขาว่าเช่นนั้น ณัฐญาณ์จึงเดินเลือกดูต้นไม้ที่ต้องการ หญิงสาวเลือกต้นมะลิที่เริ่มออกดอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ เพราะจะได้มีดอกทันทีหลังจากลงดิน นอกจากดอกมะลิตามที่ตั้งใจจะมาหาซื้อแล้ว หญิงสาวก็เลือกต้นพุดซ้อนอีกสี่ห้าต้น มองเห็นคนพามายืนมองยิ้ม ๆ
“คุณชอบดอกกาดีเนียร์หรือ” เขาถาม เมื่อเห็นณัฐญาณ์เดินวนไปเวียนมาใกล้ ๆ ต้นพุดซ้อน และนั่งลงดมกลิ่นของดอกที่ติดต้นอยู่อย่างอดไม่ได้
“ค่ะ มันชื่อ ‘พุดซ้อน’ ในภาษาของฉัน ฉันชอบกลิ่นหอมหวานของมัน” หญิงสาวตอบ พลางยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างอารมณ์ดี
“คุณต้องการแค่นั้นหรือ” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นหญิงสาวไม่เลือกดอกไม้ต่อ หากแต่นั่งพิจารณาต้นพุดซ้อนในกระถางที่เลือกไว้
“พอแล้วค่ะ สองชนิดนี่ก็พอ ดอกมะลิเป็นดอกไม้โปรดของแม่ อย่างที่เคยบอกคุณ มีมะลิในสวนเยอะ ๆ ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้าน ส่วนพุดซ้อนเป็นดอกไม้โปรดของฉัน” หญิงสาวตอบ ก่อนจะถอนหายใจ
“อยากกลับบ้านไปปลูกดอกไม้แล้วล่ะค่ะ” คำพูดของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มอดหัวเราะอย่างเอ็นดูไม่ได้ ณัฐญาณ์ดูเหมือนเด็ก ๆ ที่เมื่อได้ของเล่นที่ถูกใจแล้วก็อยากจะรีบกลับบ้านเพื่อไปเล่นของเล่นนั้นในทันที
“พรุ่งนี้ก็ได้กลับแล้ว อดทนอีกนิดนะ” เขาบอก
“โธ่ ฉันไม่ต้องอดทนอะไรเลยค่ะ คุณดูแลฉันอย่างดี พาเที่ยวเล่นในเมือง แล้วยังมีโอกาสได้ล่องเรือใบแบบสมัยก่อนอีกด้วย ใครจะโชคดีเหมือนฉัน” หญิงสาวว่ายิ้ม ๆ เธอสามารถพูดเล่นถึงการที่ต้องใช้ชีวิตที่นี่ได้อย่างไม่รู้สึกหวาดกลัวเช่นในตอนแรกที่เพิ่งหลงเข้ามาอีกแล้ว
คนเรามีความสามารถในการปรับตัวจริง ๆ หญิงสาวเชื่อแล้ว เพราะตอนนี้เธอไม่รู้สึกว่าการหลงยุคมาอยู่ในสมัยโบราณจะน่ากลัวอย่างที่เคยรู้สึกเลย หญิงสาวรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับผู้คนที่นี่อย่างน่าประหลาดใจ มีเพียงการที่ต้องอยู่ห่างจากมารดาเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกปวดหนึบในอกทุกครั้งที่นึกถึง แต่เมื่อคิดว่าเมื่อถึงเวลาเธอก็จะได้กลับไปยังที่ที่จากมา ก็ทำให้ณัฐญาณ์อยากใช้เวลาที่นี่ให้คุ้มค่ากับทุกนาทีที่ผ่านไป และที่ทำให้แปลกใจมากที่สุด ก็เห็นจะเป็นความคิดที่ว่า เธอคงจะคิดถึงผู้คนที่นี่มากทีเดียวเมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับบ้าน โดยเฉพาะคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างนี่ เพราะในชีวิตที่ผ่านมา นอกจากมารดาแล้ว ก็ไม่เคยมีใครจะปฏิบัติกับเธออย่างชายหนุ่มเจ้าของบ้านที่ให้เธออาศัยอยู่ด้วยนี่อีกเลย
วันสุดท้ายชายหนุ่มเจ้าของสถานีล่าวาฬพาทุกคนที่พักที่โรงแรมในตัวเมืองเมลเบิร์นกลับมายังเรือที่เทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือซานดริดจ์ เขายังมีธุรกิจอย่างสุดท้ายต้องติดต่อ นั่นคือสั่งซื้อแป้งสาลี ซึ่งโรงงานผลิตแป้งจะตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือ ชายหนุ่มจึงเก็บไว้เป็นสิ่งสุดท้าย ก่อนที่จะล่องเรือลงใต้เพื่อกลับพอร์ทแคมพ์เบลล์
ขณะกำลังเดินตรงไปยังเรือ ‘แคมพ์เบลล์’ ที่เทียบท่าอยู่นั้น ณัฐญาณ์สังเกตเห็นเรือใบเดินทะเลขนาดใหญ่ที่เทียบท่าอยู่ไม่ห่างจากเรือของชายหนุ่มมากนัก ดูวุ่นวายไปด้วยผู้คนที่ขึ้นมาจากเรือ รวมทั้งคนที่ดูเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ที่รอรับอยู่บนฝั่งพร้อมเอกสารในมือ หญิงสาวหันไปถามชายหนุ่มที่เดินเคียงอยู่ด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจ
“คนพวกนี้มาจากไหนหรือคะ”
“ผู้ย้ายถิ่น น่าจะมาจากอังกฤษ” ชายหนุ่มตอบ สังเกตจากภาษาที่ผู้คนที่กำลังเดินขึ้นมาจากเรือพูดคุยกัน
“นักโทษหรือคะ” ถามพร้อมขมวดคิ้ว ผู้คนที่เห็นตรงหน้ามีทั้งหญิงและชาย หนุ่มสาว และเด็ก แต่ดูอย่างไรก็ไม่เห็นจะเหมือนนักโทษเลย
“ทำไมคุณจึงคิดว่าพวกเขาเป็นนักโทษล่ะ” ชายหนุ่มถาม มองหน้าหญิงสาวอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ว่าเธอไปเอาความคิดที่ว่าผู้ย้ายถิ่นเหล่านี้เป็นนักโทษมาจากไหน
“ก็...” นิ่งไปสักพักอย่างไม่แน่ใจว่าสมควรจะพูดออกไปหรือไม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจได้
“ก็คนออสเตรเลีย คือนักโทษที่ถูกส่งมาจากอังกฤษไม่ใช่หรือคะ” ถามเสียงแผ่ว ชักไม่แน่ใจว่าที่เธอเข้าใจมาตลอดนั้นถูกต้อง เพราะดูจากท่าทางของชายหนุ่มตรงหน้า เธอไม่กล้าคิดเลยว่า เขาจะมีบรรพบุรุษเป็นนักโทษที่ถูกส่งมาจากประเทศอังกฤษ คงไม่มีนักโทษที่ไหนจะเลี้ยงลูกออกมาได้เป็นผู้ดีทุกกระเบียดเช่นนี้กระมัง
“ผู้คนที่บ้านเมืองคุณเข้าใจเช่นนั้นหรือ” ชายหนุ่มถาม ใบหน้าไม่มีรอยยิ้ม แต่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยไม่พอใจใด ๆ ณัฐญาณ์แอบผ่อนลมหายใจโล่งอก เธอเกรงเขาจะโกรธที่ไปหาว่าเขาเป็นลูกหลานของนักโทษ และก่อนที่หญิงสาวจะได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็พูดต่อ
“ก็จริงที่เรือของผู้ย้ายถิ่นเที่ยวแรกเป็นนักโทษ แต่หลังจากนั้นก็มีผู้ย้ายถิ่นที่เป็นคนธรรมดาที่ต้องการมาหาโอกาสในประเทศใหม่เดินทางมาอีกมากมาย มีทั้งนักธุรกิจ ทหาร หมอ หรือคนที่มีทักษะอาชีพ เมื่อยี่สิบปีก่อน รัฐบาลอังกฤษมีการให้ค่าหัวแก่สตรีที่ยังไม่ได้แต่งงานเพื่อย้ายถิ่นมาที่นี่ด้วย เพราะอัตราส่วนระหว่างผู้หญิงต่อผู้ชายไม่สมดุลกัน จึงมีการสนับสนุนให้ผู้หญิงย้ายถิ่นมามากขึ้น”
“อย่างนั้นหรือคะ” เธอถามได้เพียงเท่านั้น ก่อนจะฟังชายหนุ่มพูดต่อ
“อย่างบิดาของผมท่านเป็นพ่อค้า สมัครเป็นผู้ย้ายถิ่นเพื่อมาอาศัยอยู่ที่นี่ ต้องจ่ายเงินให้กับรัฐบาล เมื่อมาถึงก็มาทำธุรกิจอย่างที่เคยทำที่อังกฤษ เราจะมาเรือคนละลำกับนักโทษ พวกนักโทษไม่โชคดีอย่างเรานักหรอก โดยเฉพาะผู้หญิง ที่ส่วนใหญ่จะจบลงที่การเป็นโสเภณี” ชายหนุ่มว่าเสียงขรึม
“ทำไมล่ะคะ”
“นักโทษที่ถูกส่งมาที่นี่ จะต้องอยู่จนกว่าโทษจะหมด จากนั้นจะสามารถกลับไปอังกฤษได้ แต่โดยส่วนใหญ่ คนเลือกที่จะไม่กลับ เพราะการเดินทางที่อันตราย จะกลับถึงบ้านหรือเปล่าก็ไม่รู้ การหางานทำและลงหลักปักฐานที่นี่ดูจะมีอนาคตมากกว่า ส่วนพวกนักโทษหญิง นอกจากจะอยู่รับโทษจนครบกำหนดแล้ว หากได้แต่งงานกับผู้ย้ายถิ่นฐาน จะทำให้พ้นโทษอัตโนมัติ ปกติเมื่อนักโทษหญิงเดินทางมาถึง หากโชคดีหน่อย พวกเธอจะถูกจ้างให้ทำงานเป็นคนรับใช้ตามบ้าน หรือถูกผู้ย้ายถิ่นฐานมารับไปเป็นภรรยา โชคร้ายหน่อยก็อาจจะได้เป็นเพียงนางบำเรอ หรือถูกส่งเข้าโรงงาน ซึ่งคุณภาพชีวิตย่ำแย่กว่าทำงานตามบ้านผู้มีอันจะกินมากนัก แต่พวกที่ถูกจ้างทำงานเป็นคนรับใช้ก็ใช่ว่าจะโชคดีตลอดไป บางครั้งนายจ้างก็ทิ้งพวกเธอกลางคัน เพราะไม่มีกฎหมายที่จะบังคับเอาผิดคนที่รับนักโทษไปแล้วปล่อยทิ้งไม่ดูแล ซึ่งพวกเธอต้องหาทางออกให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป แล้วกับผู้หญิงที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนคุก ก็ไม่มีใครที่ไหนจะให้โอกาสอีก มีทางเดียวที่พอจะทำได้ก็คือการขายตัว”
“โอ...” ณัฐญาณ์พูดได้เพียงเท่านั้น ในอกเศร้าหมองไปกับชะตากรรมของนักโทษหญิงเหล่านั้น
“ไปกันเถอะ” ชายหนุ่มว่าพลางพาหญิงสาวที่ยังคงรู้สึกเศร้าสร้อยเดินขึ้นไปบนเรือ
เขาพาเธอมาส่งที่ห้อง ‘เคบิน’ ซึ่งเป็นห้องนอนบนเรือ ภายในห้องมีเตียงเล็ก ๆ ตั้งอยู่
“คุณพักผ่อนก่อนเถอะนะ หากอยากขึ้นไปบนดาดฟ้าให้บอกกับเอลานอร์ แล้วผมจะมารับ” เขาว่า ทำท่าจะเดินจากไป แต่เมื่อมองเห็นว่าหญิงสาวยังมีสีหน้าที่ไม่สดชื่น เขาจึงก้าวตามเข้าไปในห้อง พลางถามน้ำเสียงห่วงใย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ณัฐญาณ์พยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะตอบ เพราะไม่อยากทำให้เขาต้องมากังวลกับเธอ
“ฉัน... สบายดีค่ะ เพียงแต่ว่าเมื่อได้มาพบเห็นผู้คนที่สำหรับฉันเขาเหล่านั้นเป็นเพียงประวัติศาสตร์ และได้ทราบเรื่องราวความเลวร้ายที่เกิดกับพวกเขา มันทำให้ฉันรู้สึกเศร้า” คนเหล่านี้ไม่ใช่เพียงประวัติศาสตร์ หากแต่ ณ เวลาหนึ่งพวกเขามีชีวิตอยู่จริง และได้ประสบเหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตนั้นจริง เมื่อได้มาพบเห็นด้วยตาตัวเอง มันทำให้รู้สึกเศร้าหมองน้อยอยู่เมื่อไร
“นาทาย่าห์ มันคือความเป็นจริงของชีวิต บางคนโชคดีเกิดมาในครอบครัวที่ดี แต่บางคนก็ไม่ได้โชคดีแบบนั้น แต่นั่นคือชะตาชีวิตของแต่ละคน เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเกิดมาพร้อมสมบูรณ์ได้ คนอื่นที่เราไม่มีอำนาจที่จะจัดการได้ เราก็ต้องปล่อยวาง แต่หากเราสามารถทำอะไรได้ เราต้องไม่เพิกเฉย นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึงดูแลคนของผมอย่างดี” ชายหนุ่มว่า เขามองหญิงสาวด้วยท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะถามอย่างตัดสินใจได้
“ผมต้องขึ้นไปเอาเรือออก คุณอยากขึ้นไปกับผมไหม”
“ไปสิคะ” ตอบหลังจากนิ่งคิดสักพัก เธออยากเห็นตอนเรือแล่นออกจากท่า อยากมองเมืองเมลเบิร์นเป็นครั้งสุดท้าย เพราะกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกที คงต้องมาสั่งซื้อสินค้าสำหรับออกเรือฤดูกาลหน้านู่นกระมัง