ส่วนตัวผมก็เคยมีวิธีคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ที่คิดก็เนื่องจากรำคาญพวกกลุ่มคนที่แพ้แล้วไม่มีน้ำใจนักกีฬา อ้างว่าซื้อเสียงบ้าง ไม่มีคุณภาพบ้าง ไม่มีการศึกษาบ้าง เลยนึกคิดวิธีการแบบนี้
ตำ่กว่า ป ตรี 0.5 สิทธิ์
ป ตรี  1  สิทธิ์
ป โท  2  สิทธิ์
ป เอก 3  สิทธิ์
และแบ่งตามระดับหน้าที่การงานอีกระดับเหมือนกัน เช่น ผอ 2 สิทธิ์ คณบดี 3 สิทธิ์  แต่มีข้อแม้อยู่นิดนึงที่ว่า "เพื่อความเท่าเทียมทางกฎหมาย"
"หากถือว่าการศึกษาคือปัจจัยชี้วัดคุณภาพและคุณวุฒิทั้งยังรวมถึงวุฒิภาวะของบุคคลคนนั้น"  เมื่อใช้ตรรกะนี้ในการกำหนดสิทธิทางการออกเสียงเลือกตั้ง ก็ย่อมแสดงว่าบุคคลผู้นั้นมีความรู้ความสามารถสมควรแล้วตามสิทธิที่ได้ัรับมอบ และเพื่อความเท่าเทียม หากบุคคลที่ได้ัรับการยอมรับที่จะใช้สิทธิทางการเมืองการเลือกตั้งมากกว่าผู้อื่น นั่นย่อมแสดงว่าบุคคลผู้นั้นยอมรับว่า"ตนเองมีวุฒิภาวะมากกว่าผู้อื่น" จึงต้องเซ็นยินยอมรับทราบการใช้สิทธิ โดยมีข้อกำหนดผูกพันทางกฎหมายดังต่อไปนี้
   หากมีการทำผิดกฎหมายแล้วศาลพิพากษาคดีจนถึงที่สิ้นสุดของกระบวนการ บุคคลผู้ยินยอมรับทราบใช้สิทธิ์ ต้องรับโทษมากกว่าบุคคลทั่วไปเพิ่มขึ้นตามสิทธิที่ได้รับ อาทิเช่น ป เอก 3 สิทธิ์ หากศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี ในกฎหมายของบุคคลทั่วไป โทษจำคุกต้องเพิ่มขึ้นเป็น 9 ปี
เพราะกฎหมายถือว่าบุคคลผู้นั้นยินยอมรับทราบว่าตนเองมีวุฒิภาวะมากกว่าผู้อื่น เมื่อมีการกระทำผิดจึงต้องรับโทษมากกว่าผู้อื่นตามสิทธิ์ที่ได้ัรับ
(เพื่อความเท่าเทียมกันทางสังคม และความรับผิดชอบต่อสังคมที่พึงมี) ถ้าตกลงกันได้ตามนี้ก็เอาเลย สลิ่มและแมลงสาบ จะได้หยุดปากเน่าๆซะที
แต่พอเอาเข้าจริง พวกนี้มันไม่เอาหรอก เพราะสันดานของพวกสลิ่มมันเอาแต่ได้ ตามสโลแกน "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น"