ซัวสะได ไอเลิฟยู......หล่า....
วันนี้ผมเข้ามาเร็วหน่อย เพราะวันก่อนเข้ามาสายไปครึ่งชม..........วันนี้เลยเข้ามาก่อน1ชม.....ชดเชยให้เด้อ......วานซืนนั้นเราคุยกันไปถึงตอนที่ผมขี่รถผ่านเขตอิทธิพลของสางผีอีตาพลพตนะครับ.....เรารู้กันแล้วว่าตาพลพตนั่น พี่ชายชวนให้มาอยู่ในวัง....แล้วบวชเณรอยู่ในเมืองหลวง-หลังจากนั้นพี่ชายก็ส่งไปเรียนที่เมืองกำปงจาม........
เรื่องที่ผมกำลังเล่าให้น้องๆฟังนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10กว่าปีที่ผ่านมานะครับ...ถือว่าเป็นการบุกเบิกการขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมืองเขมรในยุคที่ยังดิบๆอยู่......ไม่ใช่ปี2556.....ช่วงนั้นถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว......เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังก็คือบรรยากาศหลังจากเขมรเพิ่งเลิกรบกันใหม่ๆ....หากใครเคยเห็นบรรยากาศดังกล่าวมาแล้ว และไม่อยากเห็นมุมมองของคนไทยคนหนึ่งที่เคยขับรถไปเที่ยวในเมืองเขมรมาในยุคดังกล่าว ก็ผ่านไปได้เลยนะครับ....
สรุปแล้วขอเพียงรีเพลย์ข้อความของวานซืนให้ฟังนิดเดียวพอเป็นที่เข้าใจว่าผมได้ข้ามชายแดนไทยผ่านเมืองอัลลองเวงซึ่งเป็นที่มั่นจุดสุดท้ายของเขมรแดงมาได้จนเริ่มมาถึงเมือง "บันเตียเมนเจย" ........
เมืองที่กล่าวนี้ อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 50 กม.ครับ...ผมข้ามด่านมาได้ตอนบ่ายโมงแล้วก็ขี่ลุยทางเกวียนมาได้ชั่วโมงละ 10 กว่ากิโล...ก็มาถึงเมืองบันเตเมนเจย...ก็เป็นเวลาเกือบ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว ซึ่งเมื่อเลยออกจากเมืองนี้ไปอีกประมาณ 120 กม. ก็จะไปถึงเมืองเสียมเรียบ...หากเป็นถนนหนทางในเมืองไทยเรานี่ผมก็สามารถอัดยาวไปได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก ก็คิดเอาง่ายๆ ว่าหากผมขี่รถกลับจากเชียงใหม่ลงมายังกรุงเทพและมาถึงจังหวัดชัยนาทเอาเมื่อเวลา 5 โมงเย็น......
เรื่องแวะนอนที่ชัยนาทนั่นก็ไม่ต้องพูดถึง......ประมาณว่าเรามองเห็นหลังคาบ้านแล้วละ......
ที่นี่มันเป็นเมืองเขมรนะครับ เพราะฉะนั้นข้อมูลของมันก็เลยไม่เหมือนกับที่ผมเคยกระทำ เนื่องจากเห็นกันแล้วว่าเราขี่รถกลางวันแสก ๆ ได้ความเร็วแค่เกียร์ 1 ไม่เกินแต่เกียร์ 2 เท่านั้นเอง คำตอบมันก็บอกให้เรารู้แล้วว่าหากขืนงี่เง่าดันทุรังขี่รถบุกไปกลางป่ากลางทุ่งทั้งๆ มืด ๆ หยั่งงี้
ไม่โจรก็เขมรแดงนั่นแหละมันจะเอารถของเราไปให้ลูกมันหัดขี่เล่น เพราะฉะนั้นผมก็ปักใจลงตรงนี้ได้เลยว่าเราจะต้องพักที่เมืองนี้
นี่คือวัดปทุมวดีที่อยู่ใกล้ๆวังหลวงที่ผมเล่าให้ฟังว่า สางผีอีตาพลพตไปบวชเณรอยู่.......
อยากให้กระทู้มีสาระ(มารู้จักนายเคี้ยงกันหน่อย)
วันนี้ผมเข้ามาเร็วหน่อย เพราะวันก่อนเข้ามาสายไปครึ่งชม..........วันนี้เลยเข้ามาก่อน1ชม.....ชดเชยให้เด้อ......วานซืนนั้นเราคุยกันไปถึงตอนที่ผมขี่รถผ่านเขตอิทธิพลของสางผีอีตาพลพตนะครับ.....เรารู้กันแล้วว่าตาพลพตนั่น พี่ชายชวนให้มาอยู่ในวัง....แล้วบวชเณรอยู่ในเมืองหลวง-หลังจากนั้นพี่ชายก็ส่งไปเรียนที่เมืองกำปงจาม........
เรื่องที่ผมกำลังเล่าให้น้องๆฟังนี้เกิดขึ้นเมื่อ 10กว่าปีที่ผ่านมานะครับ...ถือว่าเป็นการบุกเบิกการขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในเมืองเขมรในยุคที่ยังดิบๆอยู่......ไม่ใช่ปี2556.....ช่วงนั้นถนนยังเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว......เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมเล่าให้ฟังก็คือบรรยากาศหลังจากเขมรเพิ่งเลิกรบกันใหม่ๆ....หากใครเคยเห็นบรรยากาศดังกล่าวมาแล้ว และไม่อยากเห็นมุมมองของคนไทยคนหนึ่งที่เคยขับรถไปเที่ยวในเมืองเขมรมาในยุคดังกล่าว ก็ผ่านไปได้เลยนะครับ....
สรุปแล้วขอเพียงรีเพลย์ข้อความของวานซืนให้ฟังนิดเดียวพอเป็นที่เข้าใจว่าผมได้ข้ามชายแดนไทยผ่านเมืองอัลลองเวงซึ่งเป็นที่มั่นจุดสุดท้ายของเขมรแดงมาได้จนเริ่มมาถึงเมือง "บันเตียเมนเจย" ........
เมืองที่กล่าวนี้ อยู่ห่างจากชายแดนไทยประมาณ 50 กม.ครับ...ผมข้ามด่านมาได้ตอนบ่ายโมงแล้วก็ขี่ลุยทางเกวียนมาได้ชั่วโมงละ 10 กว่ากิโล...ก็มาถึงเมืองบันเตเมนเจย...ก็เป็นเวลาเกือบ 5 โมงเย็นเข้าไปแล้ว ซึ่งเมื่อเลยออกจากเมืองนี้ไปอีกประมาณ 120 กม. ก็จะไปถึงเมืองเสียมเรียบ...หากเป็นถนนหนทางในเมืองไทยเรานี่ผมก็สามารถอัดยาวไปได้อย่างไม่ยากลำบากอะไรนัก ก็คิดเอาง่ายๆ ว่าหากผมขี่รถกลับจากเชียงใหม่ลงมายังกรุงเทพและมาถึงจังหวัดชัยนาทเอาเมื่อเวลา 5 โมงเย็น......
เรื่องแวะนอนที่ชัยนาทนั่นก็ไม่ต้องพูดถึง......ประมาณว่าเรามองเห็นหลังคาบ้านแล้วละ......
ที่นี่มันเป็นเมืองเขมรนะครับ เพราะฉะนั้นข้อมูลของมันก็เลยไม่เหมือนกับที่ผมเคยกระทำ เนื่องจากเห็นกันแล้วว่าเราขี่รถกลางวันแสก ๆ ได้ความเร็วแค่เกียร์ 1 ไม่เกินแต่เกียร์ 2 เท่านั้นเอง คำตอบมันก็บอกให้เรารู้แล้วว่าหากขืนงี่เง่าดันทุรังขี่รถบุกไปกลางป่ากลางทุ่งทั้งๆ มืด ๆ หยั่งงี้
ไม่โจรก็เขมรแดงนั่นแหละมันจะเอารถของเราไปให้ลูกมันหัดขี่เล่น เพราะฉะนั้นผมก็ปักใจลงตรงนี้ได้เลยว่าเราจะต้องพักที่เมืองนี้
นี่คือวัดปทุมวดีที่อยู่ใกล้ๆวังหลวงที่ผมเล่าให้ฟังว่า สางผีอีตาพลพตไปบวชเณรอยู่.......