บทที่ 9 ความจริงที่น่าตระหนก
http://ppantip.com/topic/31146719
บทที่ 10 คำสารภาพ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะช่วยมุกมณี สิ่งแรกที่จิรายุสคิดคือขับรถเข้าเมืองเพื่อหาเรือเช่าและอุปกรณ์ดำน้ำ แต่สภาพร่างกายที่ย่ำแย่จนแทบเรียกได้ว่ายับเยินทำให้เขาจำต้องย้อนกลับไปยังบ้านพักเพื่อชำระล้างคราบเลือดและทำความสะอาดบาดแผล ความเหนื่อยล้าทำให้เขาผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวและตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ พอกดรับจึงรู้ว่าคนโทร.คือลุงของเขาเอง
“เป็นไงบ้าง” เสียงวีระชัยเอ่ยทัก จิรายุสมองแสงแดดที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอิดโรย
“ก็ดีครับ”
“เสียงแกไม่ดีเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า” ลุงเขาถามด้วยความเป็นห่วง จิรายุสจึงรีบสะบัดหน้าเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
“ไม่มีอะไรครับลุง เมื่อคืนขับรถมาไกลเลยเหนื่อยนิดหน่อย”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่แสร้งทำให้สดใสมากกว่าเดิม พลตำรวจโทวีระชัยระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“แล้วคุณมุกมณีเป็นยังไงบ้าง”
หัวใจของจิรายุสกระตุกวาบ ภาพใบหน้านองน้ำตาของหญิงสาวหวนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ความเสียใจที่ต้องเห็นเธอถูกพรากไปต่อหน้าทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก จนลุงต้องทวนคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งเขาจึงตอบเบาๆ
“เธอสบายดี ตอนนี้ยังหลับอุตุอยู่บนห้องครับ”
เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนพูด
“งั้นก็ดี เอ้อยุส เห็นทีลุงคงต้องรบกวนให้หลานอยู่กับคุณมุกมณีที่นั่นอีกพักใหญ่ เพราะทางนี้เกิดเรื่องที่ไม่ค่อยดีกับเธอ”
คิ้วของจิรายุสขมวดมุ่นเข้าหากัน สำหรับเขาแล้วเรื่องลักพาตัวกับขบวนการค้ามนุษย์ที่ตามล่านางแบบสาวยังรุนแรงน้อยกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนี้เสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดถามไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับ”
“จำเพนเฮ้าส์ที่หลานไปรับเธอออกมาได้หรือเปล่า” วีระชัยถาม เมื่อจิรายุสตอบรับเขาจึงพูดต่อ “มันเป็นที่อยู่ของนายเกริกเกียรติ หรือเสี่ยลิ้มน่ะ”
“แล้วทำไมหรือครับ” ชายหนุ่มย้อนถาม วีระชัยถอนใจออกมาอีกครั้งและลดเสียงลงก่อนตอบอย่างระมัดระวัง
“เมื่อเช้านี้แม่บ้านพบศพเสี่ยลิ้มนอนตายอยู่บนเตียง สาเหตุคือถูกฆาตกรรม ปัญหาก็คือช่วงเวลาตายซึ่งตรงกับตอนที่คุณมุกมณีหนีออกมาพอดี”
“ลุงกำลังจะบอกว่าคุณมุกเป็นคนฆ่าเสี่ยคนนั้นหรือครับ”
“มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ตอนนี้ทางเรากำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดอยู่ แต่จากข้อมูลที่ได้มา เสี่ยลิ้มเป็นลูกค้ารายใหญ่ของนายทรงยศ การตายของเขาอาจทำให้พวกค้ามนุษย์ไม่พอใจ และอาจส่งผลร้ายต่อคุณมุกมณี”
วีระชัยอธิบาย แต่จิรายุสกลับถาม
“เสี่ยลิ้มถูกฆ่าด้วยวิธีไหนหรือครับ”
“เขาโดนแทงที่อกและเชือดคอซ้ำ”
“แผลแบบนั้นเลือดคงกระจายเต็มตัวคนฆาตกร แต่ตอนคุณมุกหนีออกมาผมไม่เห็นเลือดบนตัวเธอสักหยด ที่สำคัญเธอถูกวางยาจนแทบไม่มีแรงเดิน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณมุกจะเป็นคนลงมือ”
เสียงปลายสายเงียบชั่วอึดใจ เหมือนพลตำรวจโทวีระชัยกำลังรับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา จิรายุสได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังสองสามครั้งจากนั้นลุงเขาจึงพูด
“กล้องวงจรปิดไม่มีภาพคุณมุกมณี ที่เกิดเหตุก็ถูกทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ปัญหาก็คือยามของโรงพยาบาลที่อยูฝั่งตรงกันข้ามให้การว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกจากเพนเฮ้าส์ ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาพูดถูกเรื่องเสื้อผ้า ซึ่งตรงกับชุดที่คุณมุกมณีใส่ในวันนั้น”
“แต่คุณมุกสวมเสื้อแจ็กเก็ตทับเอาไว้นะครับ” จิรายุสแย้ง
“เขาเห็นตอนที่เธอวิ่งออกมาหายุส คงถูกลมพัดแต่เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนและยามยืนอยู่อีกฝั่งถนน มันเลยใช้เป็นหลักฐานยืนยันอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นลุงก็ยังอยากให้ยุสซ่อนเธอไว้ที่นั่นก่อน เพราะอย่างที่บอก เสี่ยลิ้มเป็นลูกค้ารายใหญ่ของนายทรงยศ ถ้าคุณมุกมณีเกี่ยวข้องกับการตายของเขาจริง เจ้าวายร้ายนั่นคงไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่”
จิรายุสยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก เขาอยากบอกลุงเหลือเกินว่าคงไม่มีใครสามารถทำร้ายมุกมณีได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนายทรงยศ ขบวนการค้ามนุษย์หรือแม้แต่ตำรวจ เพราะตอนนี้เธออยู่ในดินแดนภายใต้ห้วงมหาสมุทร อาณาจักรที่มนุษย์ไม่อาจล่วงล้ำลงไปได้
“ฟังลุงอยู่หรือเปล่า” เสียงวีระชัยดึงความคิดทั้งหมดกลับมา จิรายุสรีบรับคำ
“ครับ”
“เอาเป็นว่าตอนนี้ลุงฝากคุณมุกมณีไว้กับยุสสักพัก อีกสองสามวันจะให้สันติไปพบ ช่วงนี้พยายามกันเธอให้ห่างจากผู้คน ลุงรู้ว่ามันลำบากเพราะเท่าที่ได้ยินมาเธอเป็นคนแรงพอดู แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งลุงจึงอยากให้ยุสอดทน ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ทำงาน ลุงจะโทร.ไปลาคุณพีระให้”
“ครับ”
“ยังมีอีกเรื่อง พยายามอย่าเปิดทั้งวิทยุและโทรทัศน์เพราะตอนนี้นักข่าวกำลังเล่นเรื่องการตายของเสี่ยลิ้มกันอยู่ ลุงไม่อยากให้คุณมุกมณีตกใจ จำเอาไว้ให้ดีนะยุส ดูแลเธอให้ดี ตามติดทุกฝีก้าว อย่าให้ห่างสายตาเป็นอันขาด มีเรื่องอะไรโทร.หาลุงได้ทุกเวลา แค่นี้ก่อนนะ ลุงต้องเข้าประชุมแล้ว”
สายตัดไปโดยที่จิรายุสยังไม่ทันรับคำ เขาจึงโยนโทรศัพท์ไปบนที่นอนและนั่งกุมศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม การตายของนายเกริกเกียรติอาจเป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับเขาแล้วการที่มุกมณีถูกพากลับไปนครใต้สมุทรเป็นเรื่องสำคัญกว่า หากเธอเต็มใจไป เขาคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มอยู่แบบนี้ แต่เพราะหญิงสาวถูกบังคับ เขาจึงต้องหาทางพาเธอกลับมา แต่จะด้วยวิธีใด ชายหนุ่มคิดพลางทุบหัวตัวเอง นาคเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือว่าอยู่กันคนละภพกับมนุษย์ เขาคงไม่มีทางเจอพวกเขาได้โดยง่าย ครั้นจะให้ผู้วิเศษหรือฤาษีอย่างในหนังช่วยหา ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มฉุกคิดได้ว่ามหรรณพพูดถึงมนต์ครุฑ แสดงว่ามีคนรู้ตัวจริงของมุกมณี และบางทีคนที่ว่านั่นอาจรู้ที่อยู่ของนาค ปัญหาก็คือเจ้าของมนต์ครุฑเป็นคนประเภทใด และจะติดต่อเขาได้ยังไง ถ้าเกิดเป็นคนร้ายขึ้นมา มันจะกลายเป็นว่าเขาพาปัญหาไปให้พวกนาคโดยไม่รู้ตัว
จิรายุสนึกย้อนไปถึงเรื่องประตูมิติที่น้ำทิพย์เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนที่โดนลูซิเฟอร์จับตัวไป ถ้าเพื่อนของเขาสามารถหลุดเข้าไปอยู่ในนั้นและเผชิญหน้ากับปิศาจได้ เขาก็น่าจะหาวังของพวกนาคได้เช่นเดียวกัน คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มวางแผนการ ขั้นแรกเขาต้องไปหาแผนที่ของทะเลในแถบนี้เพื่อกำหนดจุดที่น่าจะเป็นไปได้จากนั้นก็เป็นการเช่าเรือ และอุปกรณ์ดำน้ำซึ่งชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าจะมีขายแถวนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เขาคงต้องขับรถย้อนเข้าไปในเมืองหรือวิ่งไปจนถึงพัทยา ส่วนเรื่องเรือคงหาไม่ยากเพราะเจ้าของรีสอร์ทเองก็รู้จักไต้ก๋งเรืออยู่หลายคน หลังจากนั่งทบทวนสิ่งของและคำนวณเงินที่จะต้องใช้แล้วชายหนุ่มจึงคว้ากุญแจรถเพื่อจัดการตามที่คิด แต่เขากลับนึกได้ว่าควรติดต่อเรื่องเรือเอาไว้ก่อน จะได้ออกเดินทางทันทีเมื่อได้อุปกรณ์ครบทุกอย่างชายหนุ่มจึงขับรถตรงไปยังสำนักงานรีสอร์ทซึ่งอยู่ติดกับชายหาด โชคดีที่เจ้าของอยู่ที่นั่นพอดี หลังจากพูดคุยสอบถามเรื่องร้านจำหน่ายอุปกรณ์ดำน้ำ แผนที่ทางทะเลและแจ้งความจำนงเรื่องเรือแล้ว เจ้าของรีสอร์ทจึงบอกว่าที่นี่มีร้านที่เขาต้องการเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักเกือบร้อยกิโล ส่วนเรื่องเรือเขายอมรับว่ารู้จักกับเจ้าของเรือประมงอยู่หลายคนแต่มีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ยอมรับงานนอก พูดจบก็โทรศัพท์ติดต่อไปยังไต้ก๋งเรือคนที่ว่า ระหว่างพูดคุยกันอยู่จู่ๆก็บังเกิดสายลมรุนแรงพัดกรรโชกพาผงทรายและใบไม้ขนาดเล็กปลิวมากระทบกระจกดังกราวใหญ่ ทั้งจิรายุส เจ้าของรีสอร์ทและพนักงานที่นั่งอยู่ในนั้นต่างสะดุ้งโหยง เมื่อทุกคนมองออกไปด้านนอก จึงเห็นเมฆสีเทาทึบกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาชายฝั่งอย่างรวดเร็ว พริบตาฝนเม็ดโตก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก เจ้าของที่พักซึ่งดูเหมือนจะเจรจาเรื่องเรือเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงวางโทรศัพท์ลงและหันมาพูดกับจิรายุส
“ผมติดต่อเรือไว้ให้แล้วนะครับ แต่ไต้ก๋งบอกว่าตอนนี้ยังออกไปไหนไม่ได้ เพราะพายุเข้า”
ชายหนุ่มหน้าเสียและนึกตำหนิตัวเองด้วยความเจ็บใจที่ไม่รู้จักดูข่าวพยากรณ์อากาศเอาไว้ก่อน กระนั้นเขาก็ยังอดถามไม่ได้
“พอจะรู้ไหมครับว่ากี่วัน”
“น่าจะสองหรือสามวันครับ แล้วแต่คลื่นลมด้วย” เจ้าของรีสอร์ทตอบ และรีบร้องห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายผลุนผลันออกจากห้อง “ช่วงนี้ลมกำลังแรง อย่าเพิ่งออกไปไหนดีกว่าครับ”
แน่นอนว่าจิรายุสได้ยินคำเตือนทั้งหมด แต่ในเวลานี้เขาไม่สนใจเรื่องพายุหรือลมฝนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดก็คือ ช่วยมุกมณี ถ้าตอนนี้ยังออกเรือไม่ได้ เขาก็ควรวิ่งหาอุปกรณ์ดำน้ำก่อน คิดดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกลับไปที่รถและขับออกจากรีสอร์ท มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากเพราะฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้แทบไม่เห็นเส้นทาง ที่น่ากลัวก็คือลมพายุที่พัดลงมาแต่ละครั้งรุนแรงจนแทบจะทำให้รถของเขาปลิวออกจากถนน แต่อุปสรรคทั้งหมดไม่ได้ทำให้จิรายุสหวาดหวั่นเลยสักนิด เขาจ้องถนนตรงหน้าและขับรถต่อไปอย่างมุ่งมั่นพลางนึกภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์ช่วยดลบันดาลให้เขาผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงและช่วยมุกมณีออกมาจากวังบาดาลได้สำเร็จและอย่างปลอดภัย
ขณะที่จิรายุสกำลังวิ่งวุ่นหาทางมายังวังบาดาลอยู่นั้น ลึกลงไปใต้มหาสมุทร ในอีกห้วงมิติที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีวันค้นพบหรือแม้แต่สัมผัสได้ ต่อให้เป็นนักบวชหรือผู้ผู้บำเพ็ญเพียรก็ตาม หากญาณบารมีไม่มากเพียงพอ ก็ไม่อาจเห็นปราการแก้วอันงามวิจิตรที่ส่องประกายเจิดจรัส และเหล่านาคีกำลังแหวกว่ายวนเวียนไปมาภายใต้ห้วงมหรรณพนี้ได้
ด้วยวิถีของนาค เมื่อพ้นจากเขตแดนถิ่นอาศัย ก็จะไปในรูปลักษณ์ของงูขนาดใหญ่อันเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง ต่างกันตรงรูปร่างและหงอนอันเป็นตัวบ่งบอกถึงสถานะ หากเป็นนาคที่มีฐานันดร เกล็ดบนลำตัวจะเป็นสีฟ้าเหลือบเขียวงดงาม หงอนบนเศียรจะมีขนาดใหญ่ไล่ไปตามลำตัวกระทั่งจรดปลายหาง และสะบัดพลิ้วอย่างงดงามยามเคลื่อนไหว ส่วนนาคในชนชั้นลำดับรองลงมา ขนาดของหงอนจะเล็กลง จนมองคล้ายกับครีบของปลา
เมื่อมหรรณพนำมุกมณีลงสู่ใต้น้ำ ร่างของทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นนาคแหวกว่ายลงไปยังก้นมหาสมุทร ยิ่งดำดิ่งลึกลงไปเท่าใด มนต์ร้ายภายในกายของหญิงสาวก็ค่อยๆคลาย เมื่อเข้าสู่เขตแดนของนาคา พลังที่ว่าก็มลายหายไป ทั้งสองแปรเปลี่ยนรูปกายให้เป็นมนุษย์อีกครั้ง จากนั้นนาคหนุ่มจึงพาเธอตรงไปยังเขตพระราชฐาน และพบว่านาทยสุรีพญานาคากำลังยืนรออยู่หน้าประตู พระองค์เอ่ยทักมหรรณพก่อนหันไปทางมุกมณีและวางหัตถ์บนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา เพียงเท่านั้นนาคหนุ่มก็รู้ว่าจอมนาคามีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ราชธิดาอันเป็นที่รักกลับคืนสู่วังอย่างปลอดภัย แต่พอมองหน้าหญิงสาวเขาก็ต้องใจหายวาบ เพราะมันเต็มไปด้วยความหม่นหมองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สิ่งที่เห็นทำให้มหรรณพอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงรู้สึกดีกว่านี้ หากมุกมณีอาละวาดโวยวายอย่างที่เคยทำ ซึ่งท่านนาทยสุรีเองก็คงจะคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์หันมาสบตากับนาคหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์ภายในท้องพระโรง เมื่อทั้งคุ่เดินตามไปหยุดยืนหน้าพระพักตร์ พระองค์จึงเอ่ยถามธิดาอย่างเคร่งขรึม
“ทำไมเจ้าจึงหนีออกจากวัง”
มุกมณีเม้มปากตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นสบเนตรพระบิดา
“ข้าไม่อยากตกเป็นเครื่องต่อรองของใครบางคน”
“เจ้าหมายถึงอะไร” ท่านนาทยสุรีถามด้วยความสงสัย หญิงสาวชำเลืองมองเหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์และราชครูซึ่งกำลังยืนจ้องเธอเป็นตาเดียว จากนั้นจึงเลื่อนไปยังมหรรณพก่อนตวัดกลับไปทางบิดา
“ท่านก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
รักละไม ไอทะเล บทที่ 10 คำสารภาพ
http://ppantip.com/topic/31146719
บทที่ 10 คำสารภาพ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะช่วยมุกมณี สิ่งแรกที่จิรายุสคิดคือขับรถเข้าเมืองเพื่อหาเรือเช่าและอุปกรณ์ดำน้ำ แต่สภาพร่างกายที่ย่ำแย่จนแทบเรียกได้ว่ายับเยินทำให้เขาจำต้องย้อนกลับไปยังบ้านพักเพื่อชำระล้างคราบเลือดและทำความสะอาดบาดแผล ความเหนื่อยล้าทำให้เขาผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวและตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะเสียงโทรศัพท์ พอกดรับจึงรู้ว่าคนโทร.คือลุงของเขาเอง
“เป็นไงบ้าง” เสียงวีระชัยเอ่ยทัก จิรายุสมองแสงแดดที่ลอดผ่านม่านหน้าต่างเข้ามาพลางย้อนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอิดโรย
“ก็ดีครับ”
“เสียงแกไม่ดีเลยนะ มีอะไรหรือเปล่า” ลุงเขาถามด้วยความเป็นห่วง จิรายุสจึงรีบสะบัดหน้าเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
“ไม่มีอะไรครับลุง เมื่อคืนขับรถมาไกลเลยเหนื่อยนิดหน่อย”
ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงที่แสร้งทำให้สดใสมากกว่าเดิม พลตำรวจโทวีระชัยระบายลมหายใจออกมาเบาๆ
“แล้วคุณมุกมณีเป็นยังไงบ้าง”
หัวใจของจิรายุสกระตุกวาบ ภาพใบหน้านองน้ำตาของหญิงสาวหวนกลับเข้ามาในความทรงจำอีกครั้ง ความเสียใจที่ต้องเห็นเธอถูกพรากไปต่อหน้าทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก จนลุงต้องทวนคำถามเดิมซ้ำอีกครั้งเขาจึงตอบเบาๆ
“เธอสบายดี ตอนนี้ยังหลับอุตุอยู่บนห้องครับ”
เสียงปลายสายเงียบไปอึดใจก่อนพูด
“งั้นก็ดี เอ้อยุส เห็นทีลุงคงต้องรบกวนให้หลานอยู่กับคุณมุกมณีที่นั่นอีกพักใหญ่ เพราะทางนี้เกิดเรื่องที่ไม่ค่อยดีกับเธอ”
คิ้วของจิรายุสขมวดมุ่นเข้าหากัน สำหรับเขาแล้วเรื่องลักพาตัวกับขบวนการค้ามนุษย์ที่ตามล่านางแบบสาวยังรุนแรงน้อยกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอในตอนนี้เสียอีก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดถามไม่ได้
“มีอะไรเหรอครับ”
“จำเพนเฮ้าส์ที่หลานไปรับเธอออกมาได้หรือเปล่า” วีระชัยถาม เมื่อจิรายุสตอบรับเขาจึงพูดต่อ “มันเป็นที่อยู่ของนายเกริกเกียรติ หรือเสี่ยลิ้มน่ะ”
“แล้วทำไมหรือครับ” ชายหนุ่มย้อนถาม วีระชัยถอนใจออกมาอีกครั้งและลดเสียงลงก่อนตอบอย่างระมัดระวัง
“เมื่อเช้านี้แม่บ้านพบศพเสี่ยลิ้มนอนตายอยู่บนเตียง สาเหตุคือถูกฆาตกรรม ปัญหาก็คือช่วงเวลาตายซึ่งตรงกับตอนที่คุณมุกมณีหนีออกมาพอดี”
“ลุงกำลังจะบอกว่าคุณมุกเป็นคนฆ่าเสี่ยคนนั้นหรือครับ”
“มันเป็นแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ตอนนี้ทางเรากำลังตรวจสอบกล้องวงจรปิดอยู่ แต่จากข้อมูลที่ได้มา เสี่ยลิ้มเป็นลูกค้ารายใหญ่ของนายทรงยศ การตายของเขาอาจทำให้พวกค้ามนุษย์ไม่พอใจ และอาจส่งผลร้ายต่อคุณมุกมณี”
วีระชัยอธิบาย แต่จิรายุสกลับถาม
“เสี่ยลิ้มถูกฆ่าด้วยวิธีไหนหรือครับ”
“เขาโดนแทงที่อกและเชือดคอซ้ำ”
“แผลแบบนั้นเลือดคงกระจายเต็มตัวคนฆาตกร แต่ตอนคุณมุกหนีออกมาผมไม่เห็นเลือดบนตัวเธอสักหยด ที่สำคัญเธอถูกวางยาจนแทบไม่มีแรงเดิน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่คุณมุกจะเป็นคนลงมือ”
เสียงปลายสายเงียบชั่วอึดใจ เหมือนพลตำรวจโทวีระชัยกำลังรับรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชา จิรายุสได้ยินเสียงพลิกหน้ากระดาษดังสองสามครั้งจากนั้นลุงเขาจึงพูด
“กล้องวงจรปิดไม่มีภาพคุณมุกมณี ที่เกิดเหตุก็ถูกทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ปัญหาก็คือยามของโรงพยาบาลที่อยูฝั่งตรงกันข้ามให้การว่าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกจากเพนเฮ้าส์ ถึงจะไม่เห็นหน้าแต่เขาพูดถูกเรื่องเสื้อผ้า ซึ่งตรงกับชุดที่คุณมุกมณีใส่ในวันนั้น”
“แต่คุณมุกสวมเสื้อแจ็กเก็ตทับเอาไว้นะครับ” จิรายุสแย้ง
“เขาเห็นตอนที่เธอวิ่งออกมาหายุส คงถูกลมพัดแต่เพราะเป็นช่วงเวลากลางคืนและยามยืนอยู่อีกฝั่งถนน มันเลยใช้เป็นหลักฐานยืนยันอะไรไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นลุงก็ยังอยากให้ยุสซ่อนเธอไว้ที่นั่นก่อน เพราะอย่างที่บอก เสี่ยลิ้มเป็นลูกค้ารายใหญ่ของนายทรงยศ ถ้าคุณมุกมณีเกี่ยวข้องกับการตายของเขาจริง เจ้าวายร้ายนั่นคงไม่ปล่อยเธอเอาไว้แน่”
จิรายุสยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก เขาอยากบอกลุงเหลือเกินว่าคงไม่มีใครสามารถทำร้ายมุกมณีได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นนายทรงยศ ขบวนการค้ามนุษย์หรือแม้แต่ตำรวจ เพราะตอนนี้เธออยู่ในดินแดนภายใต้ห้วงมหาสมุทร อาณาจักรที่มนุษย์ไม่อาจล่วงล้ำลงไปได้
“ฟังลุงอยู่หรือเปล่า” เสียงวีระชัยดึงความคิดทั้งหมดกลับมา จิรายุสรีบรับคำ
“ครับ”
“เอาเป็นว่าตอนนี้ลุงฝากคุณมุกมณีไว้กับยุสสักพัก อีกสองสามวันจะให้สันติไปพบ ช่วงนี้พยายามกันเธอให้ห่างจากผู้คน ลุงรู้ว่ามันลำบากเพราะเท่าที่ได้ยินมาเธอเป็นคนแรงพอดู แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งลุงจึงอยากให้ยุสอดทน ไม่ต้องห่วงเรื่องที่ทำงาน ลุงจะโทร.ไปลาคุณพีระให้”
“ครับ”
“ยังมีอีกเรื่อง พยายามอย่าเปิดทั้งวิทยุและโทรทัศน์เพราะตอนนี้นักข่าวกำลังเล่นเรื่องการตายของเสี่ยลิ้มกันอยู่ ลุงไม่อยากให้คุณมุกมณีตกใจ จำเอาไว้ให้ดีนะยุส ดูแลเธอให้ดี ตามติดทุกฝีก้าว อย่าให้ห่างสายตาเป็นอันขาด มีเรื่องอะไรโทร.หาลุงได้ทุกเวลา แค่นี้ก่อนนะ ลุงต้องเข้าประชุมแล้ว”
สายตัดไปโดยที่จิรายุสยังไม่ทันรับคำ เขาจึงโยนโทรศัพท์ไปบนที่นอนและนั่งกุมศีรษะด้วยความกลัดกลุ้ม การตายของนายเกริกเกียรติอาจเป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับเขาแล้วการที่มุกมณีถูกพากลับไปนครใต้สมุทรเป็นเรื่องสำคัญกว่า หากเธอเต็มใจไป เขาคงไม่ต้องมานั่งกลุ้มอยู่แบบนี้ แต่เพราะหญิงสาวถูกบังคับ เขาจึงต้องหาทางพาเธอกลับมา แต่จะด้วยวิธีใด ชายหนุ่มคิดพลางทุบหัวตัวเอง นาคเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถือว่าอยู่กันคนละภพกับมนุษย์ เขาคงไม่มีทางเจอพวกเขาได้โดยง่าย ครั้นจะให้ผู้วิเศษหรือฤาษีอย่างในหนังช่วยหา ก็ไม่รู้อีกเหมือนกันว่าคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มฉุกคิดได้ว่ามหรรณพพูดถึงมนต์ครุฑ แสดงว่ามีคนรู้ตัวจริงของมุกมณี และบางทีคนที่ว่านั่นอาจรู้ที่อยู่ของนาค ปัญหาก็คือเจ้าของมนต์ครุฑเป็นคนประเภทใด และจะติดต่อเขาได้ยังไง ถ้าเกิดเป็นคนร้ายขึ้นมา มันจะกลายเป็นว่าเขาพาปัญหาไปให้พวกนาคโดยไม่รู้ตัว
จิรายุสนึกย้อนไปถึงเรื่องประตูมิติที่น้ำทิพย์เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนที่โดนลูซิเฟอร์จับตัวไป ถ้าเพื่อนของเขาสามารถหลุดเข้าไปอยู่ในนั้นและเผชิญหน้ากับปิศาจได้ เขาก็น่าจะหาวังของพวกนาคได้เช่นเดียวกัน คิดดังนั้นชายหนุ่มจึงเริ่มวางแผนการ ขั้นแรกเขาต้องไปหาแผนที่ของทะเลในแถบนี้เพื่อกำหนดจุดที่น่าจะเป็นไปได้จากนั้นก็เป็นการเช่าเรือ และอุปกรณ์ดำน้ำซึ่งชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าจะมีขายแถวนี้บ้างหรือเปล่า ถ้าไม่เขาคงต้องขับรถย้อนเข้าไปในเมืองหรือวิ่งไปจนถึงพัทยา ส่วนเรื่องเรือคงหาไม่ยากเพราะเจ้าของรีสอร์ทเองก็รู้จักไต้ก๋งเรืออยู่หลายคน หลังจากนั่งทบทวนสิ่งของและคำนวณเงินที่จะต้องใช้แล้วชายหนุ่มจึงคว้ากุญแจรถเพื่อจัดการตามที่คิด แต่เขากลับนึกได้ว่าควรติดต่อเรื่องเรือเอาไว้ก่อน จะได้ออกเดินทางทันทีเมื่อได้อุปกรณ์ครบทุกอย่างชายหนุ่มจึงขับรถตรงไปยังสำนักงานรีสอร์ทซึ่งอยู่ติดกับชายหาด โชคดีที่เจ้าของอยู่ที่นั่นพอดี หลังจากพูดคุยสอบถามเรื่องร้านจำหน่ายอุปกรณ์ดำน้ำ แผนที่ทางทะเลและแจ้งความจำนงเรื่องเรือแล้ว เจ้าของรีสอร์ทจึงบอกว่าที่นี่มีร้านที่เขาต้องการเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักเกือบร้อยกิโล ส่วนเรื่องเรือเขายอมรับว่ารู้จักกับเจ้าของเรือประมงอยู่หลายคนแต่มีเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ยอมรับงานนอก พูดจบก็โทรศัพท์ติดต่อไปยังไต้ก๋งเรือคนที่ว่า ระหว่างพูดคุยกันอยู่จู่ๆก็บังเกิดสายลมรุนแรงพัดกรรโชกพาผงทรายและใบไม้ขนาดเล็กปลิวมากระทบกระจกดังกราวใหญ่ ทั้งจิรายุส เจ้าของรีสอร์ทและพนักงานที่นั่งอยู่ในนั้นต่างสะดุ้งโหยง เมื่อทุกคนมองออกไปด้านนอก จึงเห็นเมฆสีเทาทึบกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนตัวเข้าหาชายฝั่งอย่างรวดเร็ว พริบตาฝนเม็ดโตก็กระหน่ำลงมาอย่างหนัก เจ้าของที่พักซึ่งดูเหมือนจะเจรจาเรื่องเรือเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงวางโทรศัพท์ลงและหันมาพูดกับจิรายุส
“ผมติดต่อเรือไว้ให้แล้วนะครับ แต่ไต้ก๋งบอกว่าตอนนี้ยังออกไปไหนไม่ได้ เพราะพายุเข้า”
ชายหนุ่มหน้าเสียและนึกตำหนิตัวเองด้วยความเจ็บใจที่ไม่รู้จักดูข่าวพยากรณ์อากาศเอาไว้ก่อน กระนั้นเขาก็ยังอดถามไม่ได้
“พอจะรู้ไหมครับว่ากี่วัน”
“น่าจะสองหรือสามวันครับ แล้วแต่คลื่นลมด้วย” เจ้าของรีสอร์ทตอบ และรีบร้องห้ามเมื่อเห็นอีกฝ่ายผลุนผลันออกจากห้อง “ช่วงนี้ลมกำลังแรง อย่าเพิ่งออกไปไหนดีกว่าครับ”
แน่นอนว่าจิรายุสได้ยินคำเตือนทั้งหมด แต่ในเวลานี้เขาไม่สนใจเรื่องพายุหรือลมฝนอะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่อยู่ในความคิดก็คือ ช่วยมุกมณี ถ้าตอนนี้ยังออกเรือไม่ได้ เขาก็ควรวิ่งหาอุปกรณ์ดำน้ำก่อน คิดดังนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกลับไปที่รถและขับออกจากรีสอร์ท มันเป็นการเดินทางที่ยากลำบากเพราะฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาทำให้แทบไม่เห็นเส้นทาง ที่น่ากลัวก็คือลมพายุที่พัดลงมาแต่ละครั้งรุนแรงจนแทบจะทำให้รถของเขาปลิวออกจากถนน แต่อุปสรรคทั้งหมดไม่ได้ทำให้จิรายุสหวาดหวั่นเลยสักนิด เขาจ้องถนนตรงหน้าและขับรถต่อไปอย่างมุ่งมั่นพลางนึกภาวนาขอให้สิ่งศักดิ์ช่วยดลบันดาลให้เขาผ่านพ้นอุปสรรคทั้งปวงและช่วยมุกมณีออกมาจากวังบาดาลได้สำเร็จและอย่างปลอดภัย
ขณะที่จิรายุสกำลังวิ่งวุ่นหาทางมายังวังบาดาลอยู่นั้น ลึกลงไปใต้มหาสมุทร ในอีกห้วงมิติที่มนุษย์ธรรมดาไม่มีวันค้นพบหรือแม้แต่สัมผัสได้ ต่อให้เป็นนักบวชหรือผู้ผู้บำเพ็ญเพียรก็ตาม หากญาณบารมีไม่มากเพียงพอ ก็ไม่อาจเห็นปราการแก้วอันงามวิจิตรที่ส่องประกายเจิดจรัส และเหล่านาคีกำลังแหวกว่ายวนเวียนไปมาภายใต้ห้วงมหรรณพนี้ได้
ด้วยวิถีของนาค เมื่อพ้นจากเขตแดนถิ่นอาศัย ก็จะไปในรูปลักษณ์ของงูขนาดใหญ่อันเป็นชาติพันธุ์ของตนเอง ต่างกันตรงรูปร่างและหงอนอันเป็นตัวบ่งบอกถึงสถานะ หากเป็นนาคที่มีฐานันดร เกล็ดบนลำตัวจะเป็นสีฟ้าเหลือบเขียวงดงาม หงอนบนเศียรจะมีขนาดใหญ่ไล่ไปตามลำตัวกระทั่งจรดปลายหาง และสะบัดพลิ้วอย่างงดงามยามเคลื่อนไหว ส่วนนาคในชนชั้นลำดับรองลงมา ขนาดของหงอนจะเล็กลง จนมองคล้ายกับครีบของปลา
เมื่อมหรรณพนำมุกมณีลงสู่ใต้น้ำ ร่างของทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นนาคแหวกว่ายลงไปยังก้นมหาสมุทร ยิ่งดำดิ่งลึกลงไปเท่าใด มนต์ร้ายภายในกายของหญิงสาวก็ค่อยๆคลาย เมื่อเข้าสู่เขตแดนของนาคา พลังที่ว่าก็มลายหายไป ทั้งสองแปรเปลี่ยนรูปกายให้เป็นมนุษย์อีกครั้ง จากนั้นนาคหนุ่มจึงพาเธอตรงไปยังเขตพระราชฐาน และพบว่านาทยสุรีพญานาคากำลังยืนรออยู่หน้าประตู พระองค์เอ่ยทักมหรรณพก่อนหันไปทางมุกมณีและวางหัตถ์บนไหล่ของเธออย่างแผ่วเบา เพียงเท่านั้นนาคหนุ่มก็รู้ว่าจอมนาคามีความปิติยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ราชธิดาอันเป็นที่รักกลับคืนสู่วังอย่างปลอดภัย แต่พอมองหน้าหญิงสาวเขาก็ต้องใจหายวาบ เพราะมันเต็มไปด้วยความหม่นหมองอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สิ่งที่เห็นทำให้มหรรณพอดคิดไม่ได้ว่าเขาคงรู้สึกดีกว่านี้ หากมุกมณีอาละวาดโวยวายอย่างที่เคยทำ ซึ่งท่านนาทยสุรีเองก็คงจะคิดแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพราะพระองค์หันมาสบตากับนาคหนุ่มด้วยความสงสัยก่อนหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนบัลลังก์ภายในท้องพระโรง เมื่อทั้งคุ่เดินตามไปหยุดยืนหน้าพระพักตร์ พระองค์จึงเอ่ยถามธิดาอย่างเคร่งขรึม
“ทำไมเจ้าจึงหนีออกจากวัง”
มุกมณีเม้มปากตัวเองก่อนเงยหน้าขึ้นสบเนตรพระบิดา
“ข้าไม่อยากตกเป็นเครื่องต่อรองของใครบางคน”
“เจ้าหมายถึงอะไร” ท่านนาทยสุรีถามด้วยความสงสัย หญิงสาวชำเลืองมองเหล่าบรรดาเสนาอำมาตย์และราชครูซึ่งกำลังยืนจ้องเธอเป็นตาเดียว จากนั้นจึงเลื่อนไปยังมหรรณพก่อนตวัดกลับไปทางบิดา
“ท่านก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจ”