รักละไม ไอทะเล บทที่ 1 ช่างภาพมือสมัครเล่น

กระทู้สนทนา
จิรายุสกลายเป็นตากล้องจำเป็นให้กับ มุกมณี
นางแบบสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่อาละวาดทุกครั้งหากไม่ได้ดังใจ
งานของเขาคงจบลงแค่นั้น หากไม่มีเรื่องร้ายเข้ามาเกี่ยวข้อง
การตายปริศนาของเสี่ยคนหนึ่งทำให้นางแบบสาวตกเป็นผู้ต้องสงสัย
ซ้ำร้ายเธอยังถูกขบวนการค้ามนุษย์ตามล่า
เขาจึงต้องพาเธอหนีออกจากเมือง
แต่ตัวจิรายุสเองกลับเป็นฝ่ายตระหนกเมื่อรู้ว่าความจริงแล้ว มุกมณีไม่ใช่มนุษย์
หากเป็นนาค ราชธิดาของนาคาสมุทร ที่หนีขึ้นมาบนพื้นพิภพ

รักละไม  ไอทะเล

บทที่ 1 ช่างภาพมือสมัครเล่น

    เสียงเพลงที่ถูกตั้งเวลาเปิดอัตโนมัติไว้ดังขึ้นปลุกจิรายุสให้ตื่นจากนิทราอันแสนสุข ชายหนุ่มอ้าปากหาวและเหยียดแขนทั้งสองข้างขึ้นไปเหนือศีรษะเพื่อไล่ความเมื่อยขบจากการนอนขดมาครึ่งคืนก่อนหยิบรีโมตมากดปุ่มเพื่อลดเสียงให้เบาลง จากนั้นจึงลุกขึ้นบิดตัวไปมาเพื่อเริ่มต้นประกอบกิจวัตรประจำวัน

    เริ่มแรกเขาออกกำลังกายเบาๆด้วยการวิดพื้นตามด้วยซิทอัพอย่างละหนึ่งร้อยครั้ง ตบท้ายด้วยการยกตุ้มน้ำหนัก 3 กิโลกรัมสลับกันข้างละร้อยครั้ง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงอาบน้ำชำระล้างร่างกาย

    จุดประสงค์ในการออกกำลังกายของจิรายุสไม่ได้เพื่อให้มีร่างกายกำยำล่ำสัน อกแน่นกล้ามใหญ่อย่างที่ผู้หญิงชอบ แต่เพราะหน้าที่การงานที่เขาทำในตอนนี้มีขั้นตอนละเอียดอ่อนและต้องอาศัยความอดทนเป็นอย่างมาก บางชิ้นกินเวลาทำหลายวันกว่าจะเสร็จ หลายครั้งที่ชายหนุ่มต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ข้ามวันข้ามคืนเพื่อทำอนิเมชั่นเพียงแค่ไม่กี่นาที หากร่างกายไม่แข็งแรง เขาอาจล้มป่วยหรือสลบคากองงาน

    บริษัทที่จิรายุสทำงานมีชื่อว่า พีเจแอดเวอร์ไทซิ่ง รับงานโฆษณาทุกรุปแบบรวมถึงการจัดอีเวนท์ต่างๆ หน้าที่หลักของเขาคือการทำงานด้านคอมพิวเตอร์กราฟฟิกไล่ดะไปตั้งแต่ปรับแต่งภาพง่ายๆไปจนกระทั่งถึงสร้างอนิเมชั่นเพื่อการโฆษณา และได้ออกภาคสนามในบางครั้ง แน่นอนว่าชายหนุ่มสนุกกับงานของตัวเองมากเพราะเป็นสิ่งที่เขาอยากทำมาโดยตลอด อีกประการหนึ่งก็คือคุณพีระ หรือพีช เจ้าของบริษัทซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-อเมริกันเป็นคนใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นของพนักงานทุกคน หลายครั้งที่เขาสามารถเสนอแนะความคิดเกี่ยวกับงานโฆษณากับเจ้าของบริษัทได้โดยตรง  

อุปสรรคเพียงอย่างเดียวของจิรายุสก็คือ การเดินทาง เนื่องจากบ้านของครอบครัวอยู่ชานเมือง ไกลจากบริษัทมาก ทำให้ต้องใช้ระยะเวลานานในการขับรถ หลายครั้งที่เขาสลบเหมือดบนเก้าอี้ในห้องรับแขกเพราะไม่มีแรงปีนขึ้นบันไดหรือจำต้องนอนค้างที่บริษัทเนื่องจากเหนื่อยจนขับรถไม่ไหว เพื่อไม่ให้ทางบ้านต้องเป็นห่วง จิรายุสจึงตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมกลางเมือง

    ตอนแรกบิดามารดาของเขาไม่ยอมแต่เมื่อได้ฟังเหตุผลของจิรายุส ทั้งสองจึงจำต้องตกลงโดยบิดาเป็นคนออกเงินให้ แน่นอนว่าชายหนุ่มย่อมปฏิเสธเพราะถือว่ามีงานทำ การซื้อคอนโดคือความรับผิดชอบส่วนตัว แต่พ่อของเขาไม่ยอม โต้เถียงกันอยู่ยกใหญ่มารดาซึ่งนั่งฟังอยู่นานจึงสรุปว่า จะช่วยออกเงินให้ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็ให้จิรายุสจัดการเอง

    ถึงจะตกลงกันตามนั้นแต่พอเอาเข้าจริงพ่อกับแม่ของเขากลับจ่ายเงินไปสองในสามของราคา พอชายหนุ่มแย้งท่านก็ให้เหตุผลว่า คิดจากการหารสาม เจอไม้นี้จิรายุสถึงกับพูดไม่ออก แต่พอมองอีกแง่หนึ่งก็นับว่าดี เพราะเขามีเงินเก็บจากการทำงานพิเศษสมัยเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ก้อนหนึ่งซึ่งเท่ากับจำนวนที่เหลือพอดี เมื่อชำระเสร็จเรียบร้อยเขาจึงไม่ต้องกังวลเรื่องค่าผ่อนส่งอีกต่อไป

    คอนโดมิเนียมของจิรายุสติดกับสถานีรถไฟฟ้า แน่นอนว่านั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่เขาตัดสินใจซื้อ อย่างแรกก็คือมันทำให้เขาเดินทางไปบริษัทได้อย่างสะดวกสบาย ถึงจะมีรถยนต์ส่วนตัวแต่ความที่อยากเห็นกิจกรรมของผู้คนและสิ่งต่างๆรอบตัวทำให้เขาเลือกการเดินทางแบบนี้ แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เขาขี้เกียจขับรถ  

    ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือกิจวัตรประจำวัน หากอยู่บ้านเขาต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่เพื่อออกกำลังกายซึ่งใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง ที่เหลือคือการทำธุระส่วนตัวตั้งแต่อาบน้ำ รับประทานอาหาร ตรวจดูตารางงานทั้งหมด จากนั้นจึงขับรถออกจากบ้านฝ่าฟันการจราจรอันแออัด กว่าจะเลี้ยวรถเข้าบริษัทได้ก็เกือบเก้านาฬิกา แต่พอย้ายเข้ามาอยู่ในคอนโดแล้ว ต่อให้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้หกโมงเช้า เขาก็ยังไปทำงานทัน เผลอๆบางทีเป็นคนไขกุญแจเปิดประตูบริษัทเอง

    ออกกำลังกายเสร็จจิรายุสก็คว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคล จากนั้นจึงลงมืออาหารเช้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นขนมปังปิ้ง ไข่ดาวกับกาแฟ หากวันไหนมีเวลาหรือหิวมากเขาจะทอดไส้กรอก แฮมหรือเบคอนเสริม ระหว่างรับประทานอาหารก็จะตรวจเช็คตารางงาน เสร็จแล้วจึงออกเดินทาง

    ชั้นล่างของคอนโดมิเนียมเป็นร้านสะดวกซื้อ 24 ชม.ซึ่งจิรายุสมักแวะเข้าไปซื้อลูกอมหรือช็อคโกแลตติดมือก่อนไปทำงานเสมอ ถึงจะเป็นของจุกจิกแต่สำหรับคนที่ใช้สมองอย่างหนักเช่นเขา การกินขนมที่มีน้ำตาลสูงทำให้ช่วยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาได้เหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีกว่าพวกเครื่องดื่มชูกำลังทั่วไป

    วันนี้จิรายุสเลือกซื้อช็อคโกแลตชนิดเม็ดแบบมีถั่วเพื่อเพิ่มความหวานมันเวลาเคี้ยว แถมด้วยอมยิ้มห้าอันสำหรับสาวๆในบริษัท หยิบของเสร็จสรรพก็เดินมาต่อแถวเพื่อชำระเงิน ชายหนุ่มมองดูโน่นดูนี่และร้องเพลงเบาๆอย่างมีความสุขระหว่างรอ แต่พอถึงคิวของเขาใครคนหนึ่งก็พุ่งพรวดเข้ามาวางเครื่องสำอางค์จำพวกแป้งบนเคาท์เตอร์ เมื่อจิรายุสมองจึงพบว่าคนแซงเป็นนักศึกษาสาวหน้าตาดี ส่วนพนักงานมองหน้าเธอแล้วส่ายหัวอย่างระอาก่อนหยิบสินค้ามาคิดเงิน

    ชายหนุ่มนึกโมโหกับการกระทำดังกล่าวเป็นอย่างมาก เขายินดีเข้าแถวรอเป็นชั่วโมงโดยไม่บ่นอะไรสักคำ แต่จะไม่ยอมถ้าหากใครบางคนเข้ามาแซงเพราะถือว่ามันเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอย่างไม่น่าให้อภัย มือไวเท่าความคิด เขาตะปบสินค้าชิ้นนั้นเพื่อไม่ให้พนักงานหยิบก่อนส่งยิ้มให้เจ้าหล่อน

    “ต่อแถวด้วยครับ”

    เธอทำตาปริบๆพร้อมกับเอียงคอให้ดูน่ารักเหมือนสาวน้อยไร้เดียงสาก่อนทำเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อน

    “ขอโทษค่ะ พอดีหนูรีบ”

    เธอพูดเป็นเชิงขอให้จิรายุสยอมลัดคิวให้เธอก่อน แต่ชายหนุ่มสั่นศีรษะ

    “ผมก็รีบเหมือนกัน อีกอย่างถึงผมจะยอม แต่ต้องถามคนที่ต่อจากผมก่อนว่าเขายอมให้ไหม”

    หัวแม่โป้งชี้ไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง หญิงสาวหน้าเจื่อนเมื่อเห็นทุกคนพร้อมใจกันจ้องเธอเขม็งด้วยความไม่พอใจ

    “ว่าไงครับ จะเดินไปต่อคิวหรือยืนแข็งเป็นหุ่นอยู่ตรงนี้”

    จิรายุสเตือน ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ เธอจ้องเขาอย่างโกรธจัดเพราะไม่คิดว่าหนุ่มแว่นหน้าตาใสซื่อจะปากร้ายถึงเพียงนี้ เมื่อไม่รู้จะโต้เถียงยังไงหล่อนจึงทำท่าฮึดฮัด

    “ไว้ซื้อวันหลังก็ได้”

    พูดจบก็กระแทกเท้าเดินออกจากร้านไป พนักงานมองตามแล้วยิ้มกว่าเหมือนสะใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น    

    “ยอดเลยพี่” พนักงานคนนั้นพูดเสียงกลั้วหัวเราะ “แม่คนนี้แซงคิวเป็นประจำ ผมติงตั้งหลายครั้งแต่เธอไม่เคยสน ตอนหลังเลยตัดปัญหาด้วยการรีบคิดเงินก่อน เธอจะได้ออกจากร้านไปเร็วๆ”

    จิรายุสยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร ชำระเงินเสร็จเขาจึงเดินตรงไปยังสถานีรถไฟฟ้า เมื่อถึงที่หมายชายหนุ่มก็เดินลงจากสถานีแล้วเลี้ยวเข้าไปในอาคารหลังหนึ่ง เมื่อก้าวเข้าไปด้านในชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นประชาสัมพันธ์สาวกำลังยกกระจกอันเล็กๆขึ้นมาส่องพร้อมกับป้ายลิปสติกอย่างตั้งอกตั้งใจ เขายิ้มอย่างนึกสนุกพลางย่องเข้าไปหาหญิงสาวเมื่อได้ระยะเหมาะก็ยื่นหน้าเข้าไปเย้า

“ระวังตกถนนนะครับ”

ประชาสัมพันธ์สาวสะดุ้งสุดตัว ลิปสติกจึงลื่นออกจากริมฝีปากแฉลบไปด้านข้าง เธอรีบหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ด

“พี่เต่า” หญิงสาวเรียกอย่างนึกฉุนแกมขันพลางถูแก้มจนหมดคราบลิปติกแล้วยื่นมือมาตีแขนเขาดังเผียะ “เล่นอะไรไม่รู้ แบบนี้เกิดหนูหัวใจวายขึ้นมาจะทำยังไง”

“ผมก็กด 199 สิครับ”

เขาตอบ อีกฝ่ายนิ่งคิดแล้วขมวดคิ้ว

“199 มันตำรวจดับเพลิงไม่ใช่หรือพี่”

“ใช่”

“แล้วพี่จะเรียกมาทำไมคะ” ประชาสัมพันธ์สาวถามด้วยความสงสัย จิรายุสส่งยิ้มกวนให้เธอก่อนตอบ

“ผมจะบอกให้เขาแจ้ง 191 อีกทีแล้วให้ทางนั้นเรียกรถพยาบาลมารับ”

สาวสวยทำหน้าเบ้

“โห แบบนี้หนูเรียกแท็กซี่ไปเองดีกว่ามั้ง”

จิรายุสปรบมืออย่างถูกใจ

“เห็นมั้ย ในที่สุดหนูก็หายจากอาการหัวใจวาย”

พูดจบก็รีบกระโดดหนีฝ่ามือพิฆาตของประชาสัมพันธ์สาว ชายหนุ่มส่งยิ้มทะเล้นให้เธออีกครั้งก่อนหมุนตัวเดินลิ่วไปที่ลิฟต์

บริษัทที่เขาทำงานเป็นอาคารทันสมัยสูงสิบชั้น ชั้นที่หนึ่ง สองและสามเปิดให้บริษัทอื่นเช่า ตั้งแต่ชั้นที่ 4 ขึ้นไปเป็นของพีเจแอดเวอร์ไทซิ่ง โดยแบ่งเป็นห้องทำงานของพนักงานทั่วไป ส่วนชั้น 5 เป็นสตูดิโอ ชั้นที่ 6 เป็นห้องทำงานด้านเทคนิค ส่วนชั้นที่ 7 ขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด เป็นห้องประชุม ห้องรับรองแขกคนสำคัญและห้องพักของคุณพีระ ซึ่งจะมานอนค้างที่บริษัทเป็นบางครั้ง

เมื่อไปถึง จิรายุสกล่าวทักทายเพื่อนร่วมงานทุกคนอย่างร่าเริง จากนั้นเขาจึงเดินไปนั่งโต๊ะเปิดคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการงานที่ทำค้างเอาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน นั่งลากเม้าส์ปากกาสลับกับการเพิ่มรายละเอียดบางอย่างไปได้สักพัก นายประพจน์ หัวหน้าแผนกก็เดินเข้ามาถาม

    “ทำอะไรอยู่หรือเต่า”

    ชายหนุ่มละสายตาจากจอคอมพิวเตอร์

    “ผมกำลังร่างแบบตัวการ์ตูนโฆษณาขนมอยู่ครับ” พูดพลางเอียงตัวเล็กน้อยเพื่อให้อีกฝ่ายมองงานได้ถนัด หัวหน้าของเขามองภาพการ์ตูนรูปเพนกวิน เต่าและกุ้งกำลังเต้นรำกันอย่างร่าเริงแล้วผงกศีรษะ

    “ใช่โฆษณาขนมอบกรอบหรือเปล่า น่ารักดีนี่ ตรงกับคอนเซ็ปพอดี แต่คนจ้างเขาจะมาดูเดือนหน้าไม่ใช่เหรอ”

    “ครับ แต่ผมอยากทำให้เสร็จ จะได้เผื่อเวลาไว้แก้ไข” จิรายุสตอบโดยมือยังคงลากเม้าส์ปากกา เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่พูดอะไรเขาจึงเงยหน้าขึ้นถาม “มีอะไรหรือเปล่าครับพี่พจน์”

    “ก็มีนะสิ” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับถอนใจยาวและยื่นเอกสารชุดหนึ่งส่งให้ “’งานด่วน บริษัทจิวเวอรี่ชื่อดังที่เพิ่งเข้ามาเปิดสาขาในไทยจ้างเราให้ทำโฆษณาสินค้าตัวใหม่”

    คิ้วของจิรายุสมุ่นเข้าหากันขณะอ่านหัวข้อโฆษณา

    “อัญมณีแห่งหิมพานต์” เขาพึมพำพลางอ่านรายละเอียดไปทีละหน้า ซึ่งมีทั้งคำอธิบายและสตอรี่บอร์ดแบบคร่าวๆ “ต้องออกแบบสัตว์หิมพานต์ด้วยสิครับเนี่ย”

“ใช่ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะผมรู้ว่าคุณมีรูปต้นแบบพวกนั้นอยู่แล้ว” ประพจน์พูดพลางส่งแฟ้มอีกอันให้ “ปัญหาของเราคือตัวนางแบบต่างหาก”

จิรายุสเปิดดูแล้วขมวดคิ้ว

“คุณมุกมณี” เขาเงยหน้าขึ้นมองคู่สนทนา “เธอเคยมาถ่ายแบบที่บริษัทเราหลายครั้งแล้ว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่ครับ”

ประพจน์ถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย  

“เพราะเคยมาบริษัทเราแล้วน่ะสิผมถึงกลุ้ม” เขาถอนใจออกมาอย่างแรงอีกครั้ง “คุณไม่เคยทำงานกับเธอโดยตรงคงไม่รู้หรอกว่านางแบบคนนี้นิสัยแย่แค่ไหน”

ก็ไม่เชิงนัก จิรายุสแย้งในใจ ถึงจะไม่เคยทำงานกับนางแบบที่ชื่อมุกมณีโดยตรง แต่เขาก็พอได้ยินข่าวคราวเรื่องความร้ายกาจของเธอมามากพอดู ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามด้วยถ้อยคำรุนแรงกับนักข่าว ตอกกลับเรื่องอื้อฉาวของนักแสดงชายคนหนึ่งที่หวังสร้างข่าวฉาวกับเธอจนหน้าหงายหรืออาละวาดพังราวแขวนเสื้อของบริษัทแห่งหนึ่งจนพังพินาศเพียงเพราะแฟชั่นโชว์ในวันนั้นมีชุดว่ายน้ำแบบทูพีซรวมอยู่ด้วย

    เรียกได้ว่าความแรงและความร้ายของเธอ ทำให้หลายคนขยาดจนไม่อยากยุ่งด้วย แต่ถึงมุกมณีจะมีข่าวในแง่ลบมากมาย ประชาชนส่วนใหญ่ยังนิยมชมชอบในตัวเธอ สินค้าที่มีนางแบบสาวคนนี้เป็นตัวโฆษณา จะขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า สร้างยอดขายได้สูงกว่านางแบบรุ่นเดียวกัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่