บทที่ 8 ความเพลี่ยงพล้ำ
http://ppantip.com/topic/31120076
บทที่ 9 ความจริงที่น่าตระหนก
ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวอย่างคาดไม่คาดฝันท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาลสร้างความตระหนกต่อจิรายุสเป็นอย่างมาก สิ่งแรกที่คิดได้คือ โจร เขาพยายามตั้งสติไม่ให้ตื่นตกใจและรีบมองหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพร้อมกับเริ่มใช้ความคิด หากเป็นคนร้ายจริงหมอนี่คงไม่ได้มาเพียงคนเดียวแน่ ที่สำคัญป่านนี้พวกที่เหลือคงกรูเข้ามารุมรอบรถแล้ว เมื่อนึกได้แบบนั้นจิรายุสจึงสูดลมหายใจเข้าเพื่อให้จิตใจสงบลงและเริ่มมองคนตรงหน้าอีกครั้ง พอพิจารณาให้ดีแล้วชายหนุ่มต้องเปลี่ยนความคิดเรื่องโจร เพราะเสื้อผ้าของชายลึกลับผิดแผกไปจากธรรมดา เรียกได้ว่าพิลึกอย่างที่คนปรกติไม่มีวันสวมออกมาเดินเล่นกลางดึกแบบนี้แน่
แม้แสงในตอนนั้นจะมีเพียงไฟหน้ารถยนต์ แต่ก็ให้ความสว่างมากพอจะเห็นภาพได้กระจ่างชัด ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ใกล้จิรายุสก็แน่ใจว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำดุจนักรบในยุคโบราณ กายท่อนบนเปลือยเปล่าอวดแผ่นอกแน่นแข็งแกร่ง ต้นแขนขวามีกำไลสีทองประดับอัญมณีสีเขียวสดในขณะที่แขนข้างซ้ายสวมปลอกทองคำหุ้มตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงศอก ส่วนกายท่อนล่างมีผ้าพันเอาไว้หลวมๆโดยทิ้งชายด้านหน้าห้อยยาวลงมาเกือบถึงเข่าเพื่อบดบังส่วนสำคัญ คาดทับด้วยเครื่องทรงสีทองอร่ามซึ่งมีลายคล้ายเกล็ดปลา สิ่งสะดุดที่สุดคือ เครื่องประดับบนศีรษะ แม้เห็นไม่ชัดนักแต่จิรายุสก็แน่ในว่ามันมีรูปร่างเหมือนพญานาค การแต่งกายอันสุดแสนจะพิสดารทำให้คิดได้แต่เพียงว่า ผู้ชายคนนี้คงเป็นคนบ้า หรือไม่ก็พวกลิเกหลงโรง
คิดพลางเลื่อนมือไปแตะพวงมาลัยหมายบีบแตรไล่แต่อีกฝ่ายกลับขยับมาข้างหน้าพร้อมกับวางมือบนกระโปรงรถ เครื่องยนต์ก็ดับลงราวถูกสั่ง แม้จิรายุสจะพยายามสตาร์ทอยู่หลายครั้งก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะติด พอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าชายหนุ่มก็นั่งตัวแข็งค้างนิ่งไม่กล้าขยับ เพราะดวงตาที่กำลังจ้องตรงมาที่เขาในตอนนี้กำลังทอแสงเรืองรองดุจดวงตาของสัตว์หากินตอนกลางคืน สิ่งที่เห็นทำให้จิรายุสต้องอ้าปากค้างไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกจากปาก เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่งด้วยความตระหนก เรื่องเหลือเชื่อมหัศจรรย์ที่เคยประสบเมื่อครั้งที่ได้พบกับอัครเทวทูตราฟาเอลหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ประโยคเดียวที่วิ่งวนอยู่ในหัวตอนนี้ก็คือ
หมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
พอนึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็เบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไม่ไกลจากชายหาดเท่าใดนัก ท้องทะเลซึ่งเป็นแหล่วงรวบรวมสิ่งประหลาดมหัศจรรย์เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นสัตว์จากห้วงมหาสมุทรหรือเหล่าภูตผีวิญญาณ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีพลังอำนาจสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้มีอยู่สองชนิด คือเงือกกับนาค ปัญหาก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน ถ้าเป็นอย่างแรกคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่เพราะเขาไม่เคยได้ยินว่าเงือกทำร้ายมนุษย์ แต่ถ้าเป็นอย่างที่สองล่ะ
ขนลุกเกรียวด้วยความหวาดกลัวไปทั่วร่าง จิรายุสสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดพิสดารออกจากหัว จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทั้งเงือกและนาคเป็นเพียงเรื่องสมมติที่คนสร้างขึ้นเท่านั้น ถ้ามีจริงคงโผล่มาให้เห็นบ้าง ยิ่งเป็นยุคสมัยของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คแบบนี้ ท้องทะเลล้วนคับคั่งไปด้วยผู้คนนับตั้งแต่นักท่องเที่ยว ไปจนถึงนักสำรวจและทหารอีกเป็นจำนวนมาก คงเป็นเรื่องยากที่สิ่งเหล่านั้นจะรอดพ้นสายตาและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ไปได้ ถึงจะไม่ทุกคนแต่หากเพียงใครคนหนึ่งได้เจอ แค่มีสมาร์ตโฟนอยู่ในมือ ก็สามารถบันทึกภาพปรากฏการณ์หรือสิ่งมีชีวิตประหลาดมหัศจรรย์ได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงวินาทีก็แพร่กระจายไปทั่วโลก
คิดพลางกำมือแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขาเองก็ไม่มีความเชื่อเรื่องเทวดากับปิศาจ แต่พอราฟาเอลกับลูซิเฟอร์ปรากฏตัว แถมยังมีปิศาจและเทวดาบินกันให้ว่อน ถึงจะมีคนเห็นแต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถบันทึกภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้ แสดงว่าอุปกรณ์สมัยใหม่ทั้งหลายไม่สามารถถ่ายสิ่งเร้นลับเหล่านี้ติด ที่สำคัญก็คือถ้าราฟาเอลกับลูซิเฟอร์มีตัวตนจริง เงือกกับนาคก็น่าจะมีจริงด้วยสิ
คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียดจนเกือบลืมคนข้างตัว จิรายุสหันไปมองมุกมณีด้วยความเป็นห่วงและใจหายวาบเมื่อเห็นเธอนั่งตัวแข็งไม่ยอมขยับ ดวงหน้างามที่ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวใดๆแม้เพิ่งผ่านเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานมาสดๆร้อนๆในตอนนี้กลับซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก สายตาที่จ้องไปยังชายลึกลับตรงหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง และคาดไม่ถึงระคนกัน สุดท้ายหญิงสาวก็หลุดคำอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“มหรรณพ”
รอยยิ้มผุดบนมุมปากหยักได้รูป ดวงตากร้าวเมื่อครู่อ่อนลงเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบด้วยเสียงก้องกังวาน
“มุกมณี” เขาเรียกชื่อเธอด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ดีใจที่เจ้ายังจำข้าได้”
หญิงสาวนั่งตัวสั่นเม้มปากแน่น มือเลื่อนไปจับประตูด้วยความลังเลว่าควรนั่งอยู่ในรถหรือวิ่งหนีไปให้พ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเดาความคิดของเธอออกเพราะเขาเดินเข้ามาหาพร้อมกับพูด
“จะออกมาแต่โดยดีหรือให้ข้าฉีกของสิ่งนี้แล้วดึงเจ้าออกมา”
มืดตะปบลงบนกระโปรงรถอย่างแรงจนจิรายุสสะดุ้ง เขาคว้าแขนมุกมณีไว้และร้องห้าม
“อย่าลงจากรถครับคุณมุก”
“เขาพังรถคุณแน่ ถ้าฉันไม่ออกไป”
หญิงสาวตอบ จิรายุสส่ายหน้า
“แต่ถ้าคุณออกไปอาจโดนทำร้าย”
“มหรรณพไม่มีวันทำอะไรฉันหรอก” มุกมณีตอบและถอนหายใจออกมาค่อนข้างหนักพร้อมกับอธิบายก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ถามถึงสาเหตุ “เขาเป็นคู่หมั้นฉันเอง”
จิรายุสอ้าปากค้าง สมองชาวาบเหมือนโดนก้อนหินหนักครึ่งตันหล่นทับหัว สิ่งที่ได้ยินทำให้เขานั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่อึดใจ และคงอยู่อย่างนั้นไปอีกพักใหญ่ถ้าเสียงปลดล็อคประตูไม่ดังขึ้นมา พอเห็นหญิงสาวก้าวลงจากรถเขาก็ร้องห้ามเสียงดัง
“อย่า” พูดพลางเปิดประตูด้านของตัวเองอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นชายที่ถูกเรียกว่ามหรรณพก้าวเข้าไปหามุกมณี เขาจึงร้องเรียกด้วยความตระหนก “คุณมุก !”
มุกมณีไม่สนใจจิรายุสเลยสักนิด เธอจ้องหน้ามหรรณพแน่วนิ่งก่อนถามเสียงห้วน
“มาที่นี่ทำไม”
“ไม่น่าถาม” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า “กลับบ้านได้แล้วมุกมณี”
“ข้าไม่กลับ” หญิงสาวกระชากเสียงตอบพร้อมกับขยับตัวถอยออกห่าง มหรรณพขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ
“เพราะเหตุใด”
“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ข้าแค่ไม่อยากกลับไป ก็เท่านั้น” มุกมณีตอบพร้อมกับสะบัดหน้าเมินหนีอย่างไม่ใส่ใจ มหรรณพหดมือกลับพร้อมกับพูดเชิงตำหนิ
“เจ้าไม่ควรทำตัวไร้เหตุผลเยี่ยงนี้ รู้หรือไม่ว่าท่านนาทยสุรีเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน”
“เขาห่วงตัวเองมากกว่า” หญิงสาวโต้อย่างดื้อดึง “ตาขาวเสียจนยอมยกลูกสาวให้พวกที่มีอำนาจเหนือกว่าเพราะต้องการรักษาบัลลังก์ ฮึ ตาแก่ไร้ความคิด”
“อย่ากล่าวร้ายพระบิดาด้วยถ้อยคำต่ำช้ามุกมณี ที่ท่านนาทยสุรีตัดสินใจทำเช่นนั้นก็เพราะรักเจ้า”
“รัก” มุกมณีทวนคำและแค่นเสียงหัวเราะออกมา “มันก็แค่ข้ออ้าง เจ้าเองก็รู้แก่ใจดีมิใช่หรือว่า เหตุผลที่แท้จริงแล้วคืออะไร”
มหรรณพไม่ตอบแต่กลับระบายลมหายใจแรงๆและฉวยข้อมือของหญิงสาว
“ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า” เขาหมุนตัวเดินตรงไปยังชายหาดโดยฉุดมุกมณีให้ตามไปด้วย “กลับกันได้แล้ว”
หญิงสาวฝืนตัวและสะบัดมืออย่างแรง
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่กลับ” พูดพลางพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีม เมื่อไม่สำเร็จเธอจึงร้องลั่นด้วยความโมโห “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่”
พูดจบทำท่าจะลากมุกมณีให้เดินต่อแต่ต้องหยุดเมื่อจิรายุสปราดมาขวาง ดวงตาสีเหลืองทอแสงวาววับอย่างไม่พอใจก่อนตวาดลั่น
“หลีกไปให้พ้น !”
“ไม่” จิรายุสพูดเสียงกร้าวพลางกับเลื่อนสายตาไปยังด้านหลัง “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
มือที่กุมหญิงสาวกระชับแน่น สีหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างจริงจังของชายหนุ่มที่กล้าเข้ามาขวางทำให้อารมณ์ของมหรรณพปะทุพร้อมกันขึ้นมาถึงสองอย่าง ทั้งหวงแหนและโกรธจัด
“ข้าไม่ปล่อย” เขาพูดเสียงต่ำจนเกือบเป็นคำราม แม้จะอยู่ในความมืดแต่จิรายุสสามารถเห็นคลื่นโทสะแผ่ออกมาจากกายของคนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มยอมรับว่ากลัว แต่ความห่วงที่มีต่อมุกมณีนั้นเหนือกว่า เขากลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มความหวาดหวั่นก่อนสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าและยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากกว่าเดิม
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น” เขาชูกำปั้นเป็นเชิงขู่ แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับมองท่าทางของจิรายุสอย่างเหยียดหยามก่อนกล่าวถามเสียงเรียบ
“ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำไม”
จิรายุสขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจเหวี่ยงหมัดออกไปทันที มหรรณพกลับยกมือขึ้นรับกำปั้นนั้นอย่างง่ายดาย
“มนุษย์” เขาพูดอย่างดูถูกพลางบีบหมัดข้างนั้นอย่างแรงจนจิรายุสร้องลั่น “น้ำหน้าอย่างพวกเจ้าไม่มีวันทำอะไรข้าได้”
มือข้างเดียวกันนั้นคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของจิรายุสด้วยความเร็วราวงูฉกและยกตัวของเขาชูสูงเหนือศีรษะ
“อย่าได้บังอาจมาขวางข้าอีก”
มหรรณพจ้องร่างที่กำลังดิ้นกระแด่วอย่างเกลียดชังก่อนโยนไปกระแทกกับต้นไม้ มุกมณีมองตามด้วยความตระหนกพร้อมกับร้องลั่น
“คุณจิรายุส !” เธอหันขวับไปจ้องตัวต้นเหตุด้วยดวงตาวาว “กล้าดียังไงถึงทำร้ายเขา”
“ไม่ใช่แค่เขา ข้าจะจัดการทุกคนที่บังอาจแตะต้องเจ้า”
มหรรณพโต้กลับอย่างไม่เกรงใจ มุกมณีเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ เท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง ไม่เคยรับรู้ว่าเขาลงมือทำร้ายใครไปแล้วบ้าง เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงชายที่พ่อบังคับให้เธอต้องแต่งงานด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เธอทนไม่ได้ที่เห็นจิรายุสถูกทำร้ายอย่างเหี้ยมโหด แรงพิโรธแผ่ออกจากตัวของเธอผลักดันให้อากาศรอบตัวเคลื่อนไหวและเริ่มก่อตัวเป็นลมหมุน แต่ยังไม่ทันจะได้สำแดงฤทธิ์ ทั่วทั้งร่างก็บังเกิดอาการเจ็บแปลบจนสุดทน หญิงสาวผวาเฮือกสุดตัวพร้อมกับร้องอุทานออกมาคำหนึ่งก่อนจะทรุดล้มลง
“มุกมณี” มหรรณพร้องเรียกและประคองตัวเธอเอาไว้ได้อย่างว่องไว เขามองหญิงสาวซึ่งตกอยู่ในอาการอ่อนเปลี้ยด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับกล่าวเตือน “เจ้าถูกมนต์ครุฑ ยังไม่ควรใช้อำนาจในตอนนี้”
พูดพลางช้อนร่างมุกมณีขึ้นและเดินตรงไปยังชายหาด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเมื่อหญิงสาวพยายามฝืนตัวดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขน
“ปล่อย”
“อย่าดื้อได้ไหม”
เขาปรามเสียงดุพร้อมกับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นและก้าวต่อไปโดยไม่สนใจว่ากำลังถูกมุกมณีรัวกำปั้นทุบลงบนอก ปากก็ร้องโวยวายไม่หยุด
“วางข้าลงเดี๋ยวนี้นะมหรรณพ”
แรงของหญิงสาวในตอนนี้ไม่ได้สร้างเจ็บปวดให้กับมหรรณพเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เหมือนเอ็นดูความดื้อดึงของคนในอ้อมกอดเสียเต็มประดา ใจนั้นปรารถนาที่จะหอมแก้มปลั่งสักฟอดให้สมกับความคิดถึง แต่เมื่อนึกถึงสถานที่อันไม่เหมาะไม่ควรแล้ว มหรรณพจึงละความต้องการนั้นและเร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น กลิ่นทะเลและเสียงคลื่นที่ดังใกล้เข้ามาทำให้หญิงสาวเบิกตาโพลง เธอเพิ่มน้ำหนักมือทุบเขาแรงขึ้นและตะโกนลั่น
“ปล่อย !”
รักละไม ไอทะเล บทที่ 9 ความจริงที่น่าตระหนก
http://ppantip.com/topic/31120076
บทที่ 9 ความจริงที่น่าตระหนก
ชายหนุ่มที่ปรากฏตัวอย่างคาดไม่คาดฝันท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาลสร้างความตระหนกต่อจิรายุสเป็นอย่างมาก สิ่งแรกที่คิดได้คือ โจร เขาพยายามตั้งสติไม่ให้ตื่นตกใจและรีบมองหาของที่พอจะใช้เป็นอาวุธได้ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ไหวติง เขาจึงขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจพร้อมกับเริ่มใช้ความคิด หากเป็นคนร้ายจริงหมอนี่คงไม่ได้มาเพียงคนเดียวแน่ ที่สำคัญป่านนี้พวกที่เหลือคงกรูเข้ามารุมรอบรถแล้ว เมื่อนึกได้แบบนั้นจิรายุสจึงสูดลมหายใจเข้าเพื่อให้จิตใจสงบลงและเริ่มมองคนตรงหน้าอีกครั้ง พอพิจารณาให้ดีแล้วชายหนุ่มต้องเปลี่ยนความคิดเรื่องโจร เพราะเสื้อผ้าของชายลึกลับผิดแผกไปจากธรรมดา เรียกได้ว่าพิลึกอย่างที่คนปรกติไม่มีวันสวมออกมาเดินเล่นกลางดึกแบบนี้แน่
แม้แสงในตอนนั้นจะมีเพียงไฟหน้ารถยนต์ แต่ก็ให้ความสว่างมากพอจะเห็นภาพได้กระจ่างชัด ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ใกล้จิรายุสก็แน่ใจว่าบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีรูปร่างสูงใหญ่กำยำดุจนักรบในยุคโบราณ กายท่อนบนเปลือยเปล่าอวดแผ่นอกแน่นแข็งแกร่ง ต้นแขนขวามีกำไลสีทองประดับอัญมณีสีเขียวสดในขณะที่แขนข้างซ้ายสวมปลอกทองคำหุ้มตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงศอก ส่วนกายท่อนล่างมีผ้าพันเอาไว้หลวมๆโดยทิ้งชายด้านหน้าห้อยยาวลงมาเกือบถึงเข่าเพื่อบดบังส่วนสำคัญ คาดทับด้วยเครื่องทรงสีทองอร่ามซึ่งมีลายคล้ายเกล็ดปลา สิ่งสะดุดที่สุดคือ เครื่องประดับบนศีรษะ แม้เห็นไม่ชัดนักแต่จิรายุสก็แน่ในว่ามันมีรูปร่างเหมือนพญานาค การแต่งกายอันสุดแสนจะพิสดารทำให้คิดได้แต่เพียงว่า ผู้ชายคนนี้คงเป็นคนบ้า หรือไม่ก็พวกลิเกหลงโรง
คิดพลางเลื่อนมือไปแตะพวงมาลัยหมายบีบแตรไล่แต่อีกฝ่ายกลับขยับมาข้างหน้าพร้อมกับวางมือบนกระโปรงรถ เครื่องยนต์ก็ดับลงราวถูกสั่ง แม้จิรายุสจะพยายามสตาร์ทอยู่หลายครั้งก็ไม่มีวี่แววว่ามันจะติด พอเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าชายหนุ่มก็นั่งตัวแข็งค้างนิ่งไม่กล้าขยับ เพราะดวงตาที่กำลังจ้องตรงมาที่เขาในตอนนี้กำลังทอแสงเรืองรองดุจดวงตาของสัตว์หากินตอนกลางคืน สิ่งที่เห็นทำให้จิรายุสต้องอ้าปากค้างไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียงร้องออกจากปาก เขาจ้องอีกฝ่ายนิ่งด้วยความตระหนก เรื่องเหลือเชื่อมหัศจรรย์ที่เคยประสบเมื่อครั้งที่ได้พบกับอัครเทวทูตราฟาเอลหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ประโยคเดียวที่วิ่งวนอยู่ในหัวตอนนี้ก็คือ
หมอนี่ไม่ใช่มนุษย์
พอนึกได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็เบิกตากว้างเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขาอยู่ไม่ไกลจากชายหาดเท่าใดนัก ท้องทะเลซึ่งเป็นแหล่วงรวบรวมสิ่งประหลาดมหัศจรรย์เป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็นสัตว์จากห้วงมหาสมุทรหรือเหล่าภูตผีวิญญาณ และสิ่งเหนือธรรมชาติที่มีพลังอำนาจสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้มีอยู่สองชนิด คือเงือกกับนาค ปัญหาก็คือคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน ถ้าเป็นอย่างแรกคงไม่น่ากลัวเท่าไหร่เพราะเขาไม่เคยได้ยินว่าเงือกทำร้ายมนุษย์ แต่ถ้าเป็นอย่างที่สองล่ะ
ขนลุกเกรียวด้วยความหวาดกลัวไปทั่วร่าง จิรายุสสะบัดหน้าเพื่อไล่ความคิดพิสดารออกจากหัว จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทั้งเงือกและนาคเป็นเพียงเรื่องสมมติที่คนสร้างขึ้นเท่านั้น ถ้ามีจริงคงโผล่มาให้เห็นบ้าง ยิ่งเป็นยุคสมัยของโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คแบบนี้ ท้องทะเลล้วนคับคั่งไปด้วยผู้คนนับตั้งแต่นักท่องเที่ยว ไปจนถึงนักสำรวจและทหารอีกเป็นจำนวนมาก คงเป็นเรื่องยากที่สิ่งเหล่านั้นจะรอดพ้นสายตาและความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ไปได้ ถึงจะไม่ทุกคนแต่หากเพียงใครคนหนึ่งได้เจอ แค่มีสมาร์ตโฟนอยู่ในมือ ก็สามารถบันทึกภาพปรากฏการณ์หรือสิ่งมีชีวิตประหลาดมหัศจรรย์ได้อย่างง่ายดาย ไม่ถึงวินาทีก็แพร่กระจายไปทั่วโลก
คิดพลางกำมือแน่นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขาเองก็ไม่มีความเชื่อเรื่องเทวดากับปิศาจ แต่พอราฟาเอลกับลูซิเฟอร์ปรากฏตัว แถมยังมีปิศาจและเทวดาบินกันให้ว่อน ถึงจะมีคนเห็นแต่กลับไม่มีผู้ใดสามารถบันทึกภาพเหล่านั้นเอาไว้ได้ แสดงว่าอุปกรณ์สมัยใหม่ทั้งหลายไม่สามารถถ่ายสิ่งเร้นลับเหล่านี้ติด ที่สำคัญก็คือถ้าราฟาเอลกับลูซิเฟอร์มีตัวตนจริง เงือกกับนาคก็น่าจะมีจริงด้วยสิ
คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างเคร่งเครียดจนเกือบลืมคนข้างตัว จิรายุสหันไปมองมุกมณีด้วยความเป็นห่วงและใจหายวาบเมื่อเห็นเธอนั่งตัวแข็งไม่ยอมขยับ ดวงหน้างามที่ไม่เคยแสดงความหวาดกลัวใดๆแม้เพิ่งผ่านเรื่องหน้าสิ่วหน้าขวานมาสดๆร้อนๆในตอนนี้กลับซีดเผือดด้วยความตื่นตระหนก สายตาที่จ้องไปยังชายลึกลับตรงหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง และคาดไม่ถึงระคนกัน สุดท้ายหญิงสาวก็หลุดคำอุทานออกมาอย่างลืมตัว
“มหรรณพ”
รอยยิ้มผุดบนมุมปากหยักได้รูป ดวงตากร้าวเมื่อครู่อ่อนลงเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบด้วยเสียงก้องกังวาน
“มุกมณี” เขาเรียกชื่อเธอด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่า ยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ดีใจที่เจ้ายังจำข้าได้”
หญิงสาวนั่งตัวสั่นเม้มปากแน่น มือเลื่อนไปจับประตูด้วยความลังเลว่าควรนั่งอยู่ในรถหรือวิ่งหนีไปให้พ้น ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเดาความคิดของเธอออกเพราะเขาเดินเข้ามาหาพร้อมกับพูด
“จะออกมาแต่โดยดีหรือให้ข้าฉีกของสิ่งนี้แล้วดึงเจ้าออกมา”
มืดตะปบลงบนกระโปรงรถอย่างแรงจนจิรายุสสะดุ้ง เขาคว้าแขนมุกมณีไว้และร้องห้าม
“อย่าลงจากรถครับคุณมุก”
“เขาพังรถคุณแน่ ถ้าฉันไม่ออกไป”
หญิงสาวตอบ จิรายุสส่ายหน้า
“แต่ถ้าคุณออกไปอาจโดนทำร้าย”
“มหรรณพไม่มีวันทำอะไรฉันหรอก” มุกมณีตอบและถอนหายใจออกมาค่อนข้างหนักพร้อมกับอธิบายก่อนที่ชายหนุ่มจะทันได้ถามถึงสาเหตุ “เขาเป็นคู่หมั้นฉันเอง”
จิรายุสอ้าปากค้าง สมองชาวาบเหมือนโดนก้อนหินหนักครึ่งตันหล่นทับหัว สิ่งที่ได้ยินทำให้เขานั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออกอยู่อึดใจ และคงอยู่อย่างนั้นไปอีกพักใหญ่ถ้าเสียงปลดล็อคประตูไม่ดังขึ้นมา พอเห็นหญิงสาวก้าวลงจากรถเขาก็ร้องห้ามเสียงดัง
“อย่า” พูดพลางเปิดประตูด้านของตัวเองอย่างรีบร้อน เมื่อเห็นชายที่ถูกเรียกว่ามหรรณพก้าวเข้าไปหามุกมณี เขาจึงร้องเรียกด้วยความตระหนก “คุณมุก !”
มุกมณีไม่สนใจจิรายุสเลยสักนิด เธอจ้องหน้ามหรรณพแน่วนิ่งก่อนถามเสียงห้วน
“มาที่นี่ทำไม”
“ไม่น่าถาม” อีกฝ่ายตอบพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า “กลับบ้านได้แล้วมุกมณี”
“ข้าไม่กลับ” หญิงสาวกระชากเสียงตอบพร้อมกับขยับตัวถอยออกห่าง มหรรณพขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ
“เพราะเหตุใด”
“ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล ข้าแค่ไม่อยากกลับไป ก็เท่านั้น” มุกมณีตอบพร้อมกับสะบัดหน้าเมินหนีอย่างไม่ใส่ใจ มหรรณพหดมือกลับพร้อมกับพูดเชิงตำหนิ
“เจ้าไม่ควรทำตัวไร้เหตุผลเยี่ยงนี้ รู้หรือไม่ว่าท่านนาทยสุรีเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน”
“เขาห่วงตัวเองมากกว่า” หญิงสาวโต้อย่างดื้อดึง “ตาขาวเสียจนยอมยกลูกสาวให้พวกที่มีอำนาจเหนือกว่าเพราะต้องการรักษาบัลลังก์ ฮึ ตาแก่ไร้ความคิด”
“อย่ากล่าวร้ายพระบิดาด้วยถ้อยคำต่ำช้ามุกมณี ที่ท่านนาทยสุรีตัดสินใจทำเช่นนั้นก็เพราะรักเจ้า”
“รัก” มุกมณีทวนคำและแค่นเสียงหัวเราะออกมา “มันก็แค่ข้ออ้าง เจ้าเองก็รู้แก่ใจดีมิใช่หรือว่า เหตุผลที่แท้จริงแล้วคืออะไร”
มหรรณพไม่ตอบแต่กลับระบายลมหายใจแรงๆและฉวยข้อมือของหญิงสาว
“ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า” เขาหมุนตัวเดินตรงไปยังชายหาดโดยฉุดมุกมณีให้ตามไปด้วย “กลับกันได้แล้ว”
หญิงสาวฝืนตัวและสะบัดมืออย่างแรง
“บอกแล้วไงว่าข้าไม่กลับ” พูดพลางพยายามแกะมือที่แข็งราวกับคีม เมื่อไม่สำเร็จเธอจึงร้องลั่นด้วยความโมโห “ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ไม่”
พูดจบทำท่าจะลากมุกมณีให้เดินต่อแต่ต้องหยุดเมื่อจิรายุสปราดมาขวาง ดวงตาสีเหลืองทอแสงวาววับอย่างไม่พอใจก่อนตวาดลั่น
“หลีกไปให้พ้น !”
“ไม่” จิรายุสพูดเสียงกร้าวพลางกับเลื่อนสายตาไปยังด้านหลัง “ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
มือที่กุมหญิงสาวกระชับแน่น สีหน้าที่แสดงออกถึงความเป็นห่วงอย่างจริงจังของชายหนุ่มที่กล้าเข้ามาขวางทำให้อารมณ์ของมหรรณพปะทุพร้อมกันขึ้นมาถึงสองอย่าง ทั้งหวงแหนและโกรธจัด
“ข้าไม่ปล่อย” เขาพูดเสียงต่ำจนเกือบเป็นคำราม แม้จะอยู่ในความมืดแต่จิรายุสสามารถเห็นคลื่นโทสะแผ่ออกมาจากกายของคนที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มยอมรับว่ากลัว แต่ความห่วงที่มีต่อมุกมณีนั้นเหนือกว่า เขากลืนน้ำลายลงคอเพื่อข่มความหวาดหวั่นก่อนสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าและยืดตัวขึ้นพร้อมกับพูดย้ำด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมากกว่าเดิม
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น” เขาชูกำปั้นเป็นเชิงขู่ แต่ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายบังเกิดความกลัวเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับมองท่าทางของจิรายุสอย่างเหยียดหยามก่อนกล่าวถามเสียงเรียบ
“ไม่อย่างนั้นเจ้าจะทำไม”
จิรายุสขบกรามแน่นก่อนตัดสินใจเหวี่ยงหมัดออกไปทันที มหรรณพกลับยกมือขึ้นรับกำปั้นนั้นอย่างง่ายดาย
“มนุษย์” เขาพูดอย่างดูถูกพลางบีบหมัดข้างนั้นอย่างแรงจนจิรายุสร้องลั่น “น้ำหน้าอย่างพวกเจ้าไม่มีวันทำอะไรข้าได้”
มือข้างเดียวกันนั้นคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของจิรายุสด้วยความเร็วราวงูฉกและยกตัวของเขาชูสูงเหนือศีรษะ
“อย่าได้บังอาจมาขวางข้าอีก”
มหรรณพจ้องร่างที่กำลังดิ้นกระแด่วอย่างเกลียดชังก่อนโยนไปกระแทกกับต้นไม้ มุกมณีมองตามด้วยความตระหนกพร้อมกับร้องลั่น
“คุณจิรายุส !” เธอหันขวับไปจ้องตัวต้นเหตุด้วยดวงตาวาว “กล้าดียังไงถึงทำร้ายเขา”
“ไม่ใช่แค่เขา ข้าจะจัดการทุกคนที่บังอาจแตะต้องเจ้า”
มหรรณพโต้กลับอย่างไม่เกรงใจ มุกมณีเม้มปากแน่นด้วยความโกรธ เท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เธอไม่เคยสนใจเลยสักครั้ง ไม่เคยรับรู้ว่าเขาลงมือทำร้ายใครไปแล้วบ้าง เพราะคิดว่าเขาเป็นเพียงชายที่พ่อบังคับให้เธอต้องแต่งงานด้วย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ เธอทนไม่ได้ที่เห็นจิรายุสถูกทำร้ายอย่างเหี้ยมโหด แรงพิโรธแผ่ออกจากตัวของเธอผลักดันให้อากาศรอบตัวเคลื่อนไหวและเริ่มก่อตัวเป็นลมหมุน แต่ยังไม่ทันจะได้สำแดงฤทธิ์ ทั่วทั้งร่างก็บังเกิดอาการเจ็บแปลบจนสุดทน หญิงสาวผวาเฮือกสุดตัวพร้อมกับร้องอุทานออกมาคำหนึ่งก่อนจะทรุดล้มลง
“มุกมณี” มหรรณพร้องเรียกและประคองตัวเธอเอาไว้ได้อย่างว่องไว เขามองหญิงสาวซึ่งตกอยู่ในอาการอ่อนเปลี้ยด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับกล่าวเตือน “เจ้าถูกมนต์ครุฑ ยังไม่ควรใช้อำนาจในตอนนี้”
พูดพลางช้อนร่างมุกมณีขึ้นและเดินตรงไปยังชายหาด คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างขัดใจเมื่อหญิงสาวพยายามฝืนตัวดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขน
“ปล่อย”
“อย่าดื้อได้ไหม”
เขาปรามเสียงดุพร้อมกับกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นและก้าวต่อไปโดยไม่สนใจว่ากำลังถูกมุกมณีรัวกำปั้นทุบลงบนอก ปากก็ร้องโวยวายไม่หยุด
“วางข้าลงเดี๋ยวนี้นะมหรรณพ”
แรงของหญิงสาวในตอนนี้ไม่ได้สร้างเจ็บปวดให้กับมหรรณพเลยสักนิด ตรงกันข้ามเขากลับอมยิ้มมุมปากน้อยๆ เหมือนเอ็นดูความดื้อดึงของคนในอ้อมกอดเสียเต็มประดา ใจนั้นปรารถนาที่จะหอมแก้มปลั่งสักฟอดให้สมกับความคิดถึง แต่เมื่อนึกถึงสถานที่อันไม่เหมาะไม่ควรแล้ว มหรรณพจึงละความต้องการนั้นและเร่งฝีเท้าก้าวเร็วขึ้น กลิ่นทะเลและเสียงคลื่นที่ดังใกล้เข้ามาทำให้หญิงสาวเบิกตาโพลง เธอเพิ่มน้ำหนักมือทุบเขาแรงขึ้นและตะโกนลั่น
“ปล่อย !”