.
พระเจ้าคืออะไร ?
: ต้องรู้จักความหมายของพระเจ้าเสียก่อน :
เมื่อตั้งคำถามอย่างนี้แล้ว มันก็มีทางที่จะทะเลาะกันอย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด ในระหว่างสังคมที่ถือศาสนาต่าง ๆ กัน. ศาสนาหนึ่ง
ก็มีพระเจ้าไปในรูปหนึ่งแบบหนึ่ง เมื่อใครไม่มีพระเจ้าอย่างของตน
ก็หาว่าพวกนั้นไม่มีพระเจ้า. นักศึกษา นักปรัชญา หรือผู้มีปัญญา อะไร
ก็แล้วแต่จะเรียก เขาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ อ้างตัวเองเป็นผู้รู้ แล้วก็บัญญัติว่า
ศาสนานั้นมีพระเจ้า ศาสนานั้นไม่มีพระเจ้า นี้มันล้วนแต่ตามความคิด
นึกรู้สึกของเขาทั้งนั้น ไม่ตรงต่อความจริง เพราะเขายังไม่รู้ว่า พระเจ้า
ที่แท้จริงนั้นคืออะไร ? ถือเอาตามตัวหนังสือบ้าง ถือเอาตามความนิยม
สืบ ๆ กันมาบ้าง ก็มีพระเจ้าต่างกัน กระทั่งว่าไม่ใช่พระเจ้าไปเสียก็มี
ถ้าจะพูดกัน โดยคำพูด คำพูดคำนี้เป็นภาษาไทย ใช้สำหรับ
เป็นคำแปล ให้แก่คำต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาสู่เมืองไทย แล้วไม่รู้จะเรียก
ว่าอะไร ก็ยืมคำไทยไปใช้ ก็ได้คำว่า พระเจ้า หรือ พระผู้เป็นเจ้า ไป
เพราะว่าในเวลานั้น ในที่นั้น คำว่า “ พระเจ้า ” หรือ “ พระผู้เป็นเจ้า ”
เป็นคำสูงสุด หมายถึงสิ่งสูงสุด แต่อย่าลืมว่า ในภาษาไทยเรานี้ คำว่า
“ พระผู้เป็นเจ้า ” นั้น มีความหมายชั่วยุคชั่วสมัย เช่นใน กฎหมายเก่า ๆ
ยุคนั้น ใช้คำ “ พระผู้เป็นเจ้า ” หมายถึงพระภิกษุเท่านั้น แม้จะเพิ่งบวช
วันเดียว ก็เรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า. ในกฎหมายใช้คำอย่างนั้นกับพระภิกษุ
เช่นว่า พระผู้เป็นเจ้าสึกออกมา ก็คงได้รับมรดก พระผู้เป็นเจ้าถูกเกณฑ์
ไปรบทัพจับศึก กลับมาก็ต้องมีสิทธิทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้น ถ้าถือเอาพระบวชใหม่เช่นนี้ เป็นพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
มันก็ตีกันยุ่งกับความหมายเดี๋ยวนี้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า หรือพระเจ้านี้ เราหมาย
ถึงสิ่งสูงสุด ผู้สูงสุด เพราะฉะนั้นเราจะเอาคำพูด หรือเอาความนิยมสืบ ๆ
กันมาเป็นหลักนั้นไม่ได้ ต้องเอาความหมายที่แท้จริง สาระที่แท้จริงของ
คำ ๆ นี้ หน้าที่ของสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า ” หรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่ง ๆ
นี้ หรือสมรรถนะอันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ ว่า พระเจ้านั้นคืออะไร แล้วเอามา
รวมกันหมดทุกศาสนาก็ยังได้ ที่เขาพูดถึงพระเจ้า
พระเจ้านั้น ข้อแรก ต้องมีความหมาย หรือว่าคุณลักษณะ
เป็นปฐมเหตุ ปฐมเหตุคือเหตุแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออกมา ไหลออกมา
แห่งสิ่งทั้งปวง นี้เรียกว่าปฐมเหตุ อะไรเป็นปฐมเหตุให้สิ่งทั้งปวงออกมา
สิ่งนั้นเรียกว่า “ พระเจ้า ”
ทีนี้ ก็เกิด ความหมายที่ ๒ ต่อมาว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่ง
ทั้งปวง คือสามารถจะสร้างสิ่งทุกสิ่งขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต
หรือไม่มีชีวิต.
ทีนี้ก็มีหน้าที่สืบต่อออกมาเป็น ความหมายที่ ๓ อีกว่า
เมื่อสร้างสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็สามารถควบคุมสิ่งทั้งปวง ควบคุมโลกทั้งปวง
ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น.
แล้วก็ ความหมายที่ ๔ ยังมีหน้าที่ว่า จะต้องยุบ
จะต้องทำลาย จะต้องเพิกถอนโลก หรือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานี้เป็น
คราว ๆ
ดังนั้น เราจึงได้หน้าที่ของ พระเป็นเจ้า ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง
ผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวง ผู้ทำลายล้างสิ่งทั้งปวง อย่างที่เรียกว่า ตรีมูติ ใน
ศาสนาฮินดู เป็นต้น
นี่ขอให้พิจารณาดูใจความเสียสักทีหนึ่งก่อนว่า
พระเจ้า คือ ปฐมเหตุ เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทุกสิ่ง จึงได้นามว่า เป็นผู้สร้าง
สิ่งทุกสิ่ง แล้วก็สามารถควบคุมสิ่งทุกสิ่ง สามารถทำลายล้างสิ่งทุกสิ่ง
ตามยุคตามสมัย เพื่อจะให้เกิดใหม่ สร้างใหม่กันต่อไป
: คุณสมบัติของพระเจ้าอีกทางหนึ่ง :
ทีนี้ มองดูคุณสมบัติอีกทางหนึ่ง ก็พบว่า พระเจ้านั้นใหญ่
กว่าสิ่งทุกสิ่ง เป็น Omnipotent คือ ใหญ่กว่าสิ่งทุกสิ่ง เหนือสิ่งทุกสิ่ง
แล้วพระเจ้านั้น รู้ทุกสิ่ง เป็น Omniscient แล้วพระเจ้านั้นอยู่ในที่ทุกหน
ทุกแห่ง เป็น Omnipresence อะไรที่จะใหญ่กว่าทุกสิ่ง รู้สิ่งทุกสิ่ง แล้ว
อยู่ในที่ทุกแห่ง ก็คิดดูเอาเอง ถ้าเห็นจริงก็จะเป็นจริง
เดี๋ยวนี้อะไรเป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง พวกที่ถือศาสนา
อย่างพระเจ้าเป็นบุคคล ก็เรียกว่า มีพระเจ้า ที่เรียกว่า God เป็นต้น เป็น
ที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง หรือ สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลาย
สิ่งทั้งปวง แล้วใหญ่กว่าทุกสิ่ง รู้ทุกสิ่ง แล้วก็ อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง
ซึ่งจนจะมีคนล้อว่า ถ้าอย่างนั้นในกองมูลสุนัขก็มีด้วย ก็จริงซิ มันมีอยู่
ด้วย เพราะว่ามันก็อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้า หรือพระเจ้าควบคุมได้ทุกสิ่ง.
( จากหนังสือ ชุมนุมปาฐกถาธรรมทางวิทยุ เล่มสอง
ของท่านอาจารย์พระพุทธทาสภิกขุ ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจาย
เสียงแห่งประเทศไทย ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ม.ค. ๒๓ เวลา ๘.๐๐ – ๘.๓๐ น.
หน้า ๑๑๒ / ๑๘๓ )
ออกอากาศใหม่ ในเครือข่ายไฮสปีดอินเตอร์เนท
เน็ตเวิร์ค โครงข่ายโยงใยทั่วโลก ในวันพุทธ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
เวลายังไม่รู้ ต้องดูตอนโพสท์เสร็จ
.........
The Matrix Really . G 6 . พระเจ้า ที่แท้จริง คืออะไร ?
.
พระเจ้าคืออะไร ?
: ต้องรู้จักความหมายของพระเจ้าเสียก่อน :
เมื่อตั้งคำถามอย่างนี้แล้ว มันก็มีทางที่จะทะเลาะกันอย่าง
ไม่มีที่สิ้นสุด ในระหว่างสังคมที่ถือศาสนาต่าง ๆ กัน. ศาสนาหนึ่ง
ก็มีพระเจ้าไปในรูปหนึ่งแบบหนึ่ง เมื่อใครไม่มีพระเจ้าอย่างของตน
ก็หาว่าพวกนั้นไม่มีพระเจ้า. นักศึกษา นักปรัชญา หรือผู้มีปัญญา อะไร
ก็แล้วแต่จะเรียก เขาเป็นเจ้ากี้เจ้าการ อ้างตัวเองเป็นผู้รู้ แล้วก็บัญญัติว่า
ศาสนานั้นมีพระเจ้า ศาสนานั้นไม่มีพระเจ้า นี้มันล้วนแต่ตามความคิด
นึกรู้สึกของเขาทั้งนั้น ไม่ตรงต่อความจริง เพราะเขายังไม่รู้ว่า พระเจ้า
ที่แท้จริงนั้นคืออะไร ? ถือเอาตามตัวหนังสือบ้าง ถือเอาตามความนิยม
สืบ ๆ กันมาบ้าง ก็มีพระเจ้าต่างกัน กระทั่งว่าไม่ใช่พระเจ้าไปเสียก็มี
ถ้าจะพูดกัน โดยคำพูด คำพูดคำนี้เป็นภาษาไทย ใช้สำหรับ
เป็นคำแปล ให้แก่คำต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาสู่เมืองไทย แล้วไม่รู้จะเรียก
ว่าอะไร ก็ยืมคำไทยไปใช้ ก็ได้คำว่า พระเจ้า หรือ พระผู้เป็นเจ้า ไป
เพราะว่าในเวลานั้น ในที่นั้น คำว่า “ พระเจ้า ” หรือ “ พระผู้เป็นเจ้า ”
เป็นคำสูงสุด หมายถึงสิ่งสูงสุด แต่อย่าลืมว่า ในภาษาไทยเรานี้ คำว่า
“ พระผู้เป็นเจ้า ” นั้น มีความหมายชั่วยุคชั่วสมัย เช่นใน กฎหมายเก่า ๆ
ยุคนั้น ใช้คำ “ พระผู้เป็นเจ้า ” หมายถึงพระภิกษุเท่านั้น แม้จะเพิ่งบวช
วันเดียว ก็เรียกว่า พระผู้เป็นเจ้า. ในกฎหมายใช้คำอย่างนั้นกับพระภิกษุ
เช่นว่า พระผู้เป็นเจ้าสึกออกมา ก็คงได้รับมรดก พระผู้เป็นเจ้าถูกเกณฑ์
ไปรบทัพจับศึก กลับมาก็ต้องมีสิทธิทุกอย่างทุกประการ อย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้น ถ้าถือเอาพระบวชใหม่เช่นนี้ เป็นพระผู้เป็นเจ้าแล้ว
มันก็ตีกันยุ่งกับความหมายเดี๋ยวนี้ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้า หรือพระเจ้านี้ เราหมาย
ถึงสิ่งสูงสุด ผู้สูงสุด เพราะฉะนั้นเราจะเอาคำพูด หรือเอาความนิยมสืบ ๆ
กันมาเป็นหลักนั้นไม่ได้ ต้องเอาความหมายที่แท้จริง สาระที่แท้จริงของ
คำ ๆ นี้ หน้าที่ของสิ่งที่เรียกว่า “ พระเจ้า ” หรือคุณค่าอันสูงสุดของสิ่ง ๆ
นี้ หรือสมรรถนะอันสูงสุดของสิ่ง ๆ นี้ ว่า พระเจ้านั้นคืออะไร แล้วเอามา
รวมกันหมดทุกศาสนาก็ยังได้ ที่เขาพูดถึงพระเจ้า
พระเจ้านั้น ข้อแรก ต้องมีความหมาย หรือว่าคุณลักษณะ
เป็นปฐมเหตุ ปฐมเหตุคือเหตุแห่งสิ่งทั้งปวง เป็นที่ออกมา ไหลออกมา
แห่งสิ่งทั้งปวง นี้เรียกว่าปฐมเหตุ อะไรเป็นปฐมเหตุให้สิ่งทั้งปวงออกมา
สิ่งนั้นเรียกว่า “ พระเจ้า ”
ทีนี้ ก็เกิด ความหมายที่ ๒ ต่อมาว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างสิ่ง
ทั้งปวง คือสามารถจะสร้างสิ่งทุกสิ่งขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิต
หรือไม่มีชีวิต.
ทีนี้ก็มีหน้าที่สืบต่อออกมาเป็น ความหมายที่ ๓ อีกว่า
เมื่อสร้างสิ่งทั้งปวงแล้ว ก็สามารถควบคุมสิ่งทั้งปวง ควบคุมโลกทั้งปวง
ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น.
แล้วก็ ความหมายที่ ๔ ยังมีหน้าที่ว่า จะต้องยุบ
จะต้องทำลาย จะต้องเพิกถอนโลก หรือสิ่งที่พระเจ้าสร้างขึ้นมานี้เป็น
คราว ๆ
ดังนั้น เราจึงได้หน้าที่ของ พระเป็นเจ้า ผู้สร้างสิ่งทั้งปวง
ผู้ควบคุมสิ่งทั้งปวง ผู้ทำลายล้างสิ่งทั้งปวง อย่างที่เรียกว่า ตรีมูติ ใน
ศาสนาฮินดู เป็นต้น
นี่ขอให้พิจารณาดูใจความเสียสักทีหนึ่งก่อนว่า
พระเจ้า คือ ปฐมเหตุ เป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทุกสิ่ง จึงได้นามว่า เป็นผู้สร้าง
สิ่งทุกสิ่ง แล้วก็สามารถควบคุมสิ่งทุกสิ่ง สามารถทำลายล้างสิ่งทุกสิ่ง
ตามยุคตามสมัย เพื่อจะให้เกิดใหม่ สร้างใหม่กันต่อไป
: คุณสมบัติของพระเจ้าอีกทางหนึ่ง :
ทีนี้ มองดูคุณสมบัติอีกทางหนึ่ง ก็พบว่า พระเจ้านั้นใหญ่
กว่าสิ่งทุกสิ่ง เป็น Omnipotent คือ ใหญ่กว่าสิ่งทุกสิ่ง เหนือสิ่งทุกสิ่ง
แล้วพระเจ้านั้น รู้ทุกสิ่ง เป็น Omniscient แล้วพระเจ้านั้นอยู่ในที่ทุกหน
ทุกแห่ง เป็น Omnipresence อะไรที่จะใหญ่กว่าทุกสิ่ง รู้สิ่งทุกสิ่ง แล้ว
อยู่ในที่ทุกแห่ง ก็คิดดูเอาเอง ถ้าเห็นจริงก็จะเป็นจริง
เดี๋ยวนี้อะไรเป็นที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง พวกที่ถือศาสนา
อย่างพระเจ้าเป็นบุคคล ก็เรียกว่า มีพระเจ้า ที่เรียกว่า God เป็นต้น เป็น
ที่ออกมาแห่งสิ่งทั้งปวง หรือ สร้างสิ่งทั้งปวง ควบคุมสิ่งทั้งปวง ทำลาย
สิ่งทั้งปวง แล้วใหญ่กว่าทุกสิ่ง รู้ทุกสิ่ง แล้วก็ อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง
ซึ่งจนจะมีคนล้อว่า ถ้าอย่างนั้นในกองมูลสุนัขก็มีด้วย ก็จริงซิ มันมีอยู่
ด้วย เพราะว่ามันก็อยู่ใต้อำนาจของพระเจ้า หรือพระเจ้าควบคุมได้ทุกสิ่ง.
( จากหนังสือ ชุมนุมปาฐกถาธรรมทางวิทยุ เล่มสอง
ของท่านอาจารย์พระพุทธทาสภิกขุ ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจาย
เสียงแห่งประเทศไทย ในวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ม.ค. ๒๓ เวลา ๘.๐๐ – ๘.๓๐ น.
หน้า ๑๑๒ / ๑๘๓ )
ออกอากาศใหม่ ในเครือข่ายไฮสปีดอินเตอร์เนท
เน็ตเวิร์ค โครงข่ายโยงใยทั่วโลก ในวันพุทธ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕
เวลายังไม่รู้ ต้องดูตอนโพสท์เสร็จ
.........