ปลาส้มอีสาน vs สปาเกตตี้ฝรั่ง???
เหตุเกิดเพราะสปาเกตตี้ไส้กรอกอีสานกะสปาเกตตี้ไส้อั่วที่เคยกินที่ร้านอาหารไฮโซชื่อดัง
เลยคิดว่าปลาส้มวัตถุดิบชั้นดีจากที่ราบสูงก็คงเข้ากันดี๊ดีกะเส้นสปาเกตตี้สัญชาติอิตาเลี่ยนไม่แพ้กัน
แต่ปลาส้มคืออะไร? หลายคนไม่รู้จัก เเละเกรงว่าจะออกเเนวปลาร้าเหม็นๆ
ปลาส้มเป็นอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือ เป็นการถนอมอาหารที่สืบทอดมาตั้งแต่ปูย่าตายาย ทำมาจากเนื้อปลา นำมาหมักกับเกลือ ข้าว กระเทียม โดยไม่ใส่สารกันบูด สามารถทำอาหารได้หลายชนิด รสชาดออกเปรี้ยวๆ เหมือนแหนม เป็นเนื้อปลาดิบบดละเอียดหมักไว้จนเกิดรสเปรี้ยว ถ้าเป็นเวอร์ชั่นนี้ ทานง่ายค่ะ แค่แกะใบตองออกมากินกันได้เลย
นอกจากนี้เคยอ่านเจอว่า ปลาส้มไทยไปไกลถึงญี่ปุ่นด้วย...เราก็เลยไปหาข้อมูลมาเจอ Link นึงเค้าบอกว่า ปลาส้มต้นกำเนิดซูชิ ไม่น่าเชื่อเลย ดูไม่น่าเข้ากันอย่างแรง (เด๋วเล่าให้ฟัง)
มาดามตะหลิวไม่รอช้าลองทำดูเลยดีกว่า ส่วนประกอบต้องมี สปาเกตตี้ปลาส้ม คือ สปาเก็ตตี้ ปลาส้ม กระเทียม พริกขี้หนูแห้ง
น้ำมันมะกอก ใบโหระพา เกลือ พริกไทย
ได้กลิ่นปลาส้มเส้นๆ ก็น้ำลายยายไหลย้อยแล้ว ขั้นแรก คือ เตรียมวัตถุดิบ เครื่องปรุง หั่นปลาส้มเตรียมไว้ ซอยกระเทียม ล้างพริกแห้ง เด็ดใบโหระพาเตรียมไว้เลย
ระหว่างนั้นอย่ามัวเสียเวลา ไปตั้งน้ำต้มเส้นสปาเก็ตตี้ แนะนำว่าเติมเกลือเล็กน้อยนำเส้นลงไปต้ม ต้มประมาณ 10-15 นาที เส้นที่เราใช้เป็นสปาเกตตี้เส้นแบน จริงๆ อยากทำเป็นสปาเกตตี้เส้นดำ แต่เรื่องมันเยอะ เลยเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ
ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก เตรียมผัด เมื่อน้ำมันเดือด ใส่กระเทียมที่ซอยไว้ พริกขี้หนูแห้ง ผัดจนกลิ่นหอม (ใช้กระทะเทฟลอน น้ำมันเดือดเร็วเวอร์)
ใส่ปลาส้ม เกลือ น้ำตาล พริกไทย ผงปรุงรส ผัดจนปลาส้มสุก ส่วนใบโหระพาหาไม่เจอซะงั้น อาจล้างเเล้วเอาไปทิ้งไม่รู้นะค่ะ 5555
.... เอ่อ ผัดไปผัดมาดูเเห้งไปหน่อยนะ รอบหน้าต้องเเก้ตัวใหม่
สรุปเมนูนี้ 'สปาเกตตี้ปลาส้มอีสาน' เเม้ว่าโดยรวมจะเเห้งไปหน่อยเเต่ก็เข้ากันได้ดี๊ดี ขอบอกต่อเด้อค่ะเด้อ
เมนูหน้าไม่แน่อาจทำเมนูจากปลาส้มอีกรอบแต่เป็น ชุบแป้งทอด ผสมในไข่เจียวทอด ต้มยำ ย่าง อืมน่าสน รอติดตามนะค่ะ
**เพิ่มเติม**
เมื่อกี้มีเกริ่นเรื่องซูชิ เลยเพิ่มเติมเรื่องนี้น่าสนใจดีเผื่อใครอยากรู้เรื่อง ปลาส้มต้นกำเนิดซูชินะค่ะ
‘ซูชิอาจมีต้นกำเนิดมาจากเอเชียเพราะเเถบนี้เป็นเมืองร้อนจึงต้องมีการถนอมอาหาร เช่น การหมักด้วยข้าว เเละอาหารหมักแบบปลาส้มจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับวัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าว เรียกว่า “ฟุนะซูชิ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานทั่วประเทศญี่ปุ่น จากเอกสารสมัยนาระ พบว่า “ฟุนะซูชิ” เป็นอาหารที่มีราคาแพงมักใช้จ่ายเป็นภาษี แต่เดิมไม่นิยมรับประทานข้าวที่ใช้หมักปลา กระทั่งสมัยมูโรมาจิ “ซูชิ” เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เริ่มมีคนรับประทานข้าวที่ใช้หมักเพราะความเสียดาย แล้วพบว่าข้าวที่ใช้หมักนั้นซึมซับความอร่อยของปลาที่หมักเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวกับปลาหมักก็เป็นที่นิยมจนทำให้ “ซูชิ” เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง สมัยเอโดะ ชาวเอโดะไม่สามารถทนรอปลาที่ต้องใช้เวลาหมักนานได้ จึงใช้ “น้ำส้มสายชู” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ทำจากการหมักข้าว นำมาคลุกเคล้ากับข้าว จนได้รสชาดเช่นเดียวกับการหมักปลากับข้าว ทำให้เกิด “ซูชิ” ซึ่งทำจากข้าวคลุกน้ำส้มสายชูกับปลาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน’
เข้ากันมั้ยล่ะ อิตาเลี่ยน vs อีสานบ้านเฮา เมนูสปาเกตตี้ปลาส้ม
เหตุเกิดเพราะสปาเกตตี้ไส้กรอกอีสานกะสปาเกตตี้ไส้อั่วที่เคยกินที่ร้านอาหารไฮโซชื่อดัง
เลยคิดว่าปลาส้มวัตถุดิบชั้นดีจากที่ราบสูงก็คงเข้ากันดี๊ดีกะเส้นสปาเกตตี้สัญชาติอิตาเลี่ยนไม่แพ้กัน
แต่ปลาส้มคืออะไร? หลายคนไม่รู้จัก เเละเกรงว่าจะออกเเนวปลาร้าเหม็นๆ
ปลาส้มเป็นอาหารพื้นเมืองของภาคเหนือ เป็นการถนอมอาหารที่สืบทอดมาตั้งแต่ปูย่าตายาย ทำมาจากเนื้อปลา นำมาหมักกับเกลือ ข้าว กระเทียม โดยไม่ใส่สารกันบูด สามารถทำอาหารได้หลายชนิด รสชาดออกเปรี้ยวๆ เหมือนแหนม เป็นเนื้อปลาดิบบดละเอียดหมักไว้จนเกิดรสเปรี้ยว ถ้าเป็นเวอร์ชั่นนี้ ทานง่ายค่ะ แค่แกะใบตองออกมากินกันได้เลย
นอกจากนี้เคยอ่านเจอว่า ปลาส้มไทยไปไกลถึงญี่ปุ่นด้วย...เราก็เลยไปหาข้อมูลมาเจอ Link นึงเค้าบอกว่า ปลาส้มต้นกำเนิดซูชิ ไม่น่าเชื่อเลย ดูไม่น่าเข้ากันอย่างแรง (เด๋วเล่าให้ฟัง)
มาดามตะหลิวไม่รอช้าลองทำดูเลยดีกว่า ส่วนประกอบต้องมี สปาเกตตี้ปลาส้ม คือ สปาเก็ตตี้ ปลาส้ม กระเทียม พริกขี้หนูแห้ง
น้ำมันมะกอก ใบโหระพา เกลือ พริกไทย
ได้กลิ่นปลาส้มเส้นๆ ก็น้ำลายยายไหลย้อยแล้ว ขั้นแรก คือ เตรียมวัตถุดิบ เครื่องปรุง หั่นปลาส้มเตรียมไว้ ซอยกระเทียม ล้างพริกแห้ง เด็ดใบโหระพาเตรียมไว้เลย
ระหว่างนั้นอย่ามัวเสียเวลา ไปตั้งน้ำต้มเส้นสปาเก็ตตี้ แนะนำว่าเติมเกลือเล็กน้อยนำเส้นลงไปต้ม ต้มประมาณ 10-15 นาที เส้นที่เราใช้เป็นสปาเกตตี้เส้นแบน จริงๆ อยากทำเป็นสปาเกตตี้เส้นดำ แต่เรื่องมันเยอะ เลยเอาแบบนี้ดีกว่าค่ะ
ตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอก เตรียมผัด เมื่อน้ำมันเดือด ใส่กระเทียมที่ซอยไว้ พริกขี้หนูแห้ง ผัดจนกลิ่นหอม (ใช้กระทะเทฟลอน น้ำมันเดือดเร็วเวอร์)
ใส่ปลาส้ม เกลือ น้ำตาล พริกไทย ผงปรุงรส ผัดจนปลาส้มสุก ส่วนใบโหระพาหาไม่เจอซะงั้น อาจล้างเเล้วเอาไปทิ้งไม่รู้นะค่ะ 5555
.... เอ่อ ผัดไปผัดมาดูเเห้งไปหน่อยนะ รอบหน้าต้องเเก้ตัวใหม่
สรุปเมนูนี้ 'สปาเกตตี้ปลาส้มอีสาน' เเม้ว่าโดยรวมจะเเห้งไปหน่อยเเต่ก็เข้ากันได้ดี๊ดี ขอบอกต่อเด้อค่ะเด้อ
เมนูหน้าไม่แน่อาจทำเมนูจากปลาส้มอีกรอบแต่เป็น ชุบแป้งทอด ผสมในไข่เจียวทอด ต้มยำ ย่าง อืมน่าสน รอติดตามนะค่ะ
**เพิ่มเติม**
เมื่อกี้มีเกริ่นเรื่องซูชิ เลยเพิ่มเติมเรื่องนี้น่าสนใจดีเผื่อใครอยากรู้เรื่อง ปลาส้มต้นกำเนิดซูชินะค่ะ
‘ซูชิอาจมีต้นกำเนิดมาจากเอเชียเพราะเเถบนี้เป็นเมืองร้อนจึงต้องมีการถนอมอาหาร เช่น การหมักด้วยข้าว เเละอาหารหมักแบบปลาส้มจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เข้ามาในญี่ปุ่นพร้อมกับวัฒนธรรมการทำนาปลูกข้าว เรียกว่า “ฟุนะซูชิ” ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานทั่วประเทศญี่ปุ่น จากเอกสารสมัยนาระ พบว่า “ฟุนะซูชิ” เป็นอาหารที่มีราคาแพงมักใช้จ่ายเป็นภาษี แต่เดิมไม่นิยมรับประทานข้าวที่ใช้หมักปลา กระทั่งสมัยมูโรมาจิ “ซูชิ” เริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายมากขึ้น เริ่มมีคนรับประทานข้าวที่ใช้หมักเพราะความเสียดาย แล้วพบว่าข้าวที่ใช้หมักนั้นซึมซับความอร่อยของปลาที่หมักเป็นอย่างดี ตั้งแต่นั้นมาการกินข้าวกับปลาหมักก็เป็นที่นิยมจนทำให้ “ซูชิ” เป็นอาหารที่มีชื่อเสียง สมัยเอโดะ ชาวเอโดะไม่สามารถทนรอปลาที่ต้องใช้เวลาหมักนานได้ จึงใช้ “น้ำส้มสายชู” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงอาหารที่ทำจากการหมักข้าว นำมาคลุกเคล้ากับข้าว จนได้รสชาดเช่นเดียวกับการหมักปลากับข้าว ทำให้เกิด “ซูชิ” ซึ่งทำจากข้าวคลุกน้ำส้มสายชูกับปลาจนเป็นที่นิยมแพร่หลายในปัจจุบัน’