สวัสดีค่ะ แม่ๆ ชานเรือน เราสิงอยู่ใน pantip มาหลายปี ปกติก็ไม่ได้ตั้งกระทู้หรือตอบกระทู้อะไรมากมาย อาศัยอ่านอย่างเดียว แต่วันนี้เราจะมาเรียกว่าเล่าสู่กันฟังแล้วกันนะ เกี่ยวกับประสบการณ์ผ่าคลอด-นมแม่ อาจจะวกไปวนมาบ้างนะคะ เล่าไม่ค่อยเก่ง
เริ่มจากพี่ที่ทำงานเขาปั้มนมแม่เก็บกลับบ้านไปให้ลูกเขากิน เราก็สนในก็คุยกับเขาแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจที่อยากให้ลูกกินนมแม่บ้าง ก็เริ่มหาข้อมูล ประกอบกับหลานเรากินนมแม่จนถึง 2 ขวบ ไม่ค่อยป่วยเมื่อเทียบกับเด็กข้างบ้านที่ป่วยและต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ เราก็เริ่มเล็งเห็นข้อดีของการกินนมแม่ และอีกเหตุผลนึงคือ “ประหยัด” เราซื้อเครื่องปั้มนมตั้งแต่ท้องได้ 7 เดือน โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีน้ำนมให้ลูกกินไหม
ท้องแรกของเราถือว่าปกติมาก ไม่แพ้ท้อง ไม่บวม ไม่อ้วก ไม่มีอาการใดๆ เลยที่บ่งบอกว่าท้อง นอกจากท้องที่โตขึ้นทุกวัน จน 5 เดือน ลูกเริ่มดิ้น อืม สงสัยจะท้องจริง 555
กำหนดคลอดวันที่ 14 ก.พ.56 เนื่องจากท้องเราใหญ่มาก แล้วเราก็อยากพักก่อนด้วย เราก็เลยลาหยุดงานตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. 56 เราจัดกระเป๋า เตรียมตัว นอนเร็ว เดี๋ยวเผื่อว่าคืนนี้จะเจ็บท้องคลอด อยากเห็นหน้าลูกมากๆ ตื่นเช้ามาดูเท้าดูมือ บวมยังนะ ดูท้องลดยังนะ จนแล้วจนเล่า ก็ยังไม่เจ็บท้อง จนถึงวัดนัดครั้งสุดท้าย 13 ก.พ.56 พรุ่งนี้จะครบกำหนดคลอดแล้ว (40 สัปดาห์) แต่ยังไม่มีวี่แววเลย คุณหมอก็อัลตร้าซาวด์ให้ บอกว่าเด็กกลับหัวแล้วแต่ยังไม่ลงอุ้งเชิงกราน จะรอสักอาทิตย์หน้าไหม เราก็เลยบอกคุณหมอว่า เราขอผ่าได้ไหม คุณหมอก็บอกว่าถ้าเจ็บท้องคลอดก่อนก็มาได้นะ ถ้าไม่เจ็บเราจะผ่าคลอดเป็นวันอาทิตย์ที่ 17 ก.พ. 56 นัด 9 โมงเช้า
วันที่ 17 ก.พ. 56 เราก็เตรียมตัวออกจากบ้านกะสามีตั้งแต่ 8 โมงเช้า เตรียมสัมภาระ ทานข้าวเช้า แล้วก็ไปพบกะพยาบาลตอน 8 โมงกว่าๆ แจ้งว่ามาผ่าคลอด (โรงพยาบาลรัฐ) พยาบาลก็ถามว่าทำไมถึงจะผ่า เราก็บอกว่าเราครบกำหนดแล้วแต่ยังไม่เจ็บคลอด พยาบาลก็บ่นๆ ว่าหมอทำไมนัดมาวันนี้ ทำไมไม่นัดมาตั้งแต่เมื่อวานจะได้เตรียมผลเลือด มาป่านนี้จะได้ผ่ากันกี่โมง บลาๆๆๆ เราก็คิดในใจ พยาบาลบ่นหมอได้ด้วยวุ้ย
เราเปลี่ยนชุดนอนรอในห้องรอคลอด นอนรอเจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ใส่สายฉี่ ได้ยินมาว่าเจ็บมาก แต่พอใส่จริงก็ไม่เจ็บเท่าไร แต่เรากลัวกันมากกว่า พอใส่ แล้วก็นอนรอ วัดชีพจร ตอบคำถามต่างๆ พยาบาลถาม รอๆๆๆๆ จนบ่ายโมงพยาบาลแจ้งว่าห้องผ่าตัดไม่ว่าง เพราะมีผ่าตัดอุบัติเหตุ รอต่อไปๆๆๆๆ วันที่เราผ่ามีอีกคนที่ผ่าวันเดียวกะเรา บ่าย 3 เตียงแรกถูกเข็นไป อีก 15 นาทีต่อมาถึงคิวเราแล้ว ดีใจก็ดีใจ กลัวก็กลัว จะได้เห็นหน้าลูกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเราจะนอนเฉยๆ ได้ถึง 6 ชั่วโมง
เจ้าหน้าที่เข็นไปห้องผ่าคลอด แล้วก็ย้ายเราไปนอนรถเข็นอีกคันนึง แล้วก็นอนรอ พยาบาลก็มาถามประวัตินู้นนี่นั่น 4 โมงเย็นก็เข็นเข้าห้องผ่าคลอด ย้ายเราขึ้นเตียงผ่าตัด นาทีนั้นเรากลัวมาก เพราะไม่เคยผ่าตัดใดๆเลยในชีวิต แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ 4 โมงนิดๆ คุณหมอมา ถามว่า “เป็นไงครับ” คุณหมอพูดน้อยจริงๆ 555
พอคุณหมอมาก็เริ่มบล็อกหลัง จับเรานอนตะแคงข้างทำตัวงอ แล้วก็ฉีดยาเข้าที่หลัง ก็ได้ยินมาอีกว่ามันเจ็บมากๆ แต่พอโดนจริงๆ มันก็เจ็บเหมือนฉีดยาทั่วไป แล้วก็จับเราหงายท้อง กางแขน ใส่ที่วัดชีพจรที่นิ้ว ถอดเสื้อ เช็ดแอลกอฮอล์ เตรียมผ่า ช่วงเวลานั้นกลัวสุดใจ กลัวมากๆ มีเจ้าหน้าที่คอยบอกเรา เดี๋ยวจะหายใจแล้วรู้สึกหนักๆนะครับ ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย เจ้าหน้าที่ก็บอกเดี๋ยวใส่สายอ๊อกซิเจนให้นะครับ เดี๋ยวจะรู้สึกดีขึ้น เดี๋ยวจะกดท้องนะครับ จะรู้สึกจุกๆ นิดนึง ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที 14.26 น. ได้ยินเสียงร้องจ๊ากๆ นั่นไง ออกมาแล้ว เฮ้อ รอดตายแล้วเรา ตอนนั้นคิดยังนั้นจริงๆ แป๊บนึงพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ดู ครั้งแรกที่เห็นหน้าลูก “ลูกใครวะ ทำไมหน้าสั้นจัง ฮา” แล้วก็อุ้มลูกจากไป ด้วยน้ำหนัก 3.50 กิโลกรัม
จากเวลา 4 โมงครึ่ง ถึง 5 โมง เรานอนให้คุณหมดเย็บแผล ได้ยินคุยพยาบาลคุยกันว่าเลือดออกเยอะ ช่วงเวลาที่ผ่า เรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา แต่เราไม่เห็นอะไร เพราะมีผ้าบังสายตาเอาไว้ จินตนาการเองเองล้วนๆ ได้แต่นอนดูนาฬิกา 5 โมงเย็นออกจากห้องผ่าตัด ย้ายจากเตียงขึ้นรถเข็น ย้ายไปห้องพักฟื้นข้างๆ ซึ่งก็อยู่ภายในตึกที่ผ่าคลอด พยาบาลแจ้งว่าคุณแม่เสียเลือดมากนะคะ เดี๋ยวนอนรอดูอาการก่อน อาจจะหนาวๆ เดี๋ยวห่มผ้าให้ ใส่ที่วัดชีพจร แล้วเขาก็เอาท่อที่ใส่ในผ้าให้เรา รู้สึกอุ่นๆ นอนอยู่อย่างนั้นอีก 1 ชั่วโมง ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ ความเจ็บเริ่มมาเยือน 6 โมงเย็น ย้ายจากรถเข็นขึ้นรถเข็นอีกคัน ดุนเราไปห้องพัก ระหว่างทางที่เข็นเราไปทางมันก็ไม่เรียบ กระเทือนไปตลอดทาง เฮ้อ
พอเข้าห้องพักได้ พยาบาลก็ช่วยกันยกขึ้นเตียง เฮ้อ จะย้ายอีกนานไหมเจ็บแผลมาก พอ 2 ทุ่ม พยาบาลก็เอาลูกมาให้เราที่ห้องพัก จะได้ดูดนมแม่ ลืมบอกไปว่าเรามีปัญหาเรื่องหัวนมสั้น ก็ใส่ที่ช่วยให้หัวนมยาวตั้งแต่รู้ว่าท้อง แต่ก็ช่วยอะไร พอไม่ใส่หัวนมก็กลับไปเท่าเดิม ก่อนที่จะให้ลูกเราดูดเราก็ใช้ที่จุ๊บๆ ให้หัวนมยาวก่อนที่จะให้ลูกดูด นมเราก็ไม่ค่อยออก คุณหมอกะพยาบาลมาดู มาบีบนม น้ำนมมันก็แค่ซึมๆ แต่คุณพยาบาลก็บอกว่ามาแน่ เพราะว่าน้ำนมมันซึมออกมาและ เราก็ให้ลูกดูด ใช้ที่ปั้มมือปั้มบ้าง จะได้ช่วยให้น้ำนมมาเร็วขึ้น เวลาลูกร้องมากๆ ด้วยความสงสารเราก็ให้แม่เราอุ้มไปหาพยาบาล หานมให้ลูกกิน
จนวันที่ 3 เตรียมตัวกลับบ้าน เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า รอหมอบอกว่ากลับบ้านได้ แต่เช้านี้เรารู้สึกว่าลูกเราไม่ค่อยร้องกินนมเท่าไร เอาแต่นอนอย่างเดียว พอคุณหมอเด็กมา แล้วก็กดไปที่ตัวลูกเรา คุณหมอบอกว่าเด็กตัวเหลืองให้ตรวจเลือดก่อน ถ้าตัวเหลืองจริงจะต้องส่องไฟ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องตัวเหลืองอะไรเลย ไม่คิดว่าลูกจะตัวเหลือง ปรากฏว่าค่าผลเลือดลูกออกมาว่าตัวเหลือง เกินไป 0.01 ด้วยความที่เราอยากกลับบ้านพร้อมลูก เราก็ถามพยาบาลว่ากลับได้ไหม เกินมานิดเดียวเอง คุณพยาบาลก็บอกว่ากลับไม่ได้หรอกค่ะ มันเสี่ยง เด็กโตขึ้นอาจมีปัญหาอื่นๆอีก ต้องส่องไฟ เราก็คุยกะพยาบาลว่าอะไรยังไงดี เราจะอยู่ต่อที่โรงพยาบาล หรือจะกลับไปนอนที่บ้าน เราก็คุยกะสามีว่าเราจะกลับไปนอนที่บ้าน แล้วปั้มนมเอามาส่งที่โรงพยาบาลแทน เพราะว่าบ้านสามีก็ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก
เวลา 12.00 น. ก่อนกลับบ้าน เรา แม่เรา และสามี ลงไปดูลูกที่ห้องส่องไฟ ห้องนี้เขาให้เราได้เฉพาะแม่ วันละ 4 รอบ เช้า กลางวัน เย็น และรอบ 3 ทุ่มนะ ถ้าจำไม่ผิด คุณพ่อให้เข้าได้บ่าย 3 ส่วนญาติอื่นๆห้ามไม่ให้เข้า ด้วยความที่ลูกคนแรก และเพิ่งจะมาห้องนี้เป็นครั้งแรก เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ เราก็เข้าไปดูลูกเรา จริงๆ แล้วคุณแม่ทุกคนเขาจะต้องเตรียมผ้าคุณหนูมาด้วย ไว้สำหรับห่อเวลาให้ลูกกินนม พยาบาลก็บอกว่าใครมาใหม่ก็ไปยืมผ้าตรงนู้นนะ เตรียมเก้าอี้ ล้างมือ แล้วก็อุ้มลูกมาให้นม เราก็เดินไปข้างในบอกพยาบาลข้างในว่ายืมผ้าขนหนูหน่อย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร พยาบาลก็บอกว่าผ้าขนหนูอะไร ไม่มี ใครบอกให้มายืม เราก็บอกว่าพยาบาลข้างนอกบอก แล้วเขาก็ชี้ไปที่ผ้าอ้อม เราก็ดูว่าคนอื่นเขาทำอะไรยังไงกัน แล้วเราก็จะไปอุ้มลูก ภาพแรกที่เห็นทำเราน้ำตาล่วง ลูกเรานอนอยู่ในตู้ส่องไฟ ใส่ผ้าอ้อม เสื้อไม่ใส่ มีผ้าก๊อตและสำลีพันที่ตาไว้ นอนร้องไห้ ภาพแรกที่เห็นมันสะเทือนใจมากๆ เราก็ร้องไห้ออก ด้วยความสงสารลูก พยาบาลก็ดุอีกว่า ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวเครียดแล้วน้ำนมก็ไม่มาอีก บ่นๆๆๆ เราก็บอกว่าเราส่งสารลูก อุ้มลูกมานั่งให้กินนม แต่ลูกเราก็ไม่ค่อยกินนม เอาแต่นอน เขี่ยแก้ม เกาเท้าก็แล้ว ก็ไม่ค่อยจะยอมตื่น เวลาลูกลืมตา เราสังเกตเห็นเลยว่าตาลูกเรามันเหลืองมากๆ หมดเวลาเยี่ยม เราก็เดินร้องไห้ออกไปข้างนอก แม่กะสามีก็ถามว่าลูกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เราก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เราแค่สงสารลูกเฉยๆ
ประสบการณ์ผ่าคลอด-นมแม่ เจ็บนี้...อีกนานนนนนนน
เริ่มจากพี่ที่ทำงานเขาปั้มนมแม่เก็บกลับบ้านไปให้ลูกเขากิน เราก็สนในก็คุยกับเขาแล้วก็เกิดแรงบันดาลใจที่อยากให้ลูกกินนมแม่บ้าง ก็เริ่มหาข้อมูล ประกอบกับหลานเรากินนมแม่จนถึง 2 ขวบ ไม่ค่อยป่วยเมื่อเทียบกับเด็กข้างบ้านที่ป่วยและต้องไปหาหมอทุกอาทิตย์ เราก็เริ่มเล็งเห็นข้อดีของการกินนมแม่ และอีกเหตุผลนึงคือ “ประหยัด” เราซื้อเครื่องปั้มนมตั้งแต่ท้องได้ 7 เดือน โดยที่เราก็ไม่รู้ว่าเราจะมีน้ำนมให้ลูกกินไหม
ท้องแรกของเราถือว่าปกติมาก ไม่แพ้ท้อง ไม่บวม ไม่อ้วก ไม่มีอาการใดๆ เลยที่บ่งบอกว่าท้อง นอกจากท้องที่โตขึ้นทุกวัน จน 5 เดือน ลูกเริ่มดิ้น อืม สงสัยจะท้องจริง 555
กำหนดคลอดวันที่ 14 ก.พ.56 เนื่องจากท้องเราใหญ่มาก แล้วเราก็อยากพักก่อนด้วย เราก็เลยลาหยุดงานตั้งแต่วันที่ 28 ม.ค. 56 เราจัดกระเป๋า เตรียมตัว นอนเร็ว เดี๋ยวเผื่อว่าคืนนี้จะเจ็บท้องคลอด อยากเห็นหน้าลูกมากๆ ตื่นเช้ามาดูเท้าดูมือ บวมยังนะ ดูท้องลดยังนะ จนแล้วจนเล่า ก็ยังไม่เจ็บท้อง จนถึงวัดนัดครั้งสุดท้าย 13 ก.พ.56 พรุ่งนี้จะครบกำหนดคลอดแล้ว (40 สัปดาห์) แต่ยังไม่มีวี่แววเลย คุณหมอก็อัลตร้าซาวด์ให้ บอกว่าเด็กกลับหัวแล้วแต่ยังไม่ลงอุ้งเชิงกราน จะรอสักอาทิตย์หน้าไหม เราก็เลยบอกคุณหมอว่า เราขอผ่าได้ไหม คุณหมอก็บอกว่าถ้าเจ็บท้องคลอดก่อนก็มาได้นะ ถ้าไม่เจ็บเราจะผ่าคลอดเป็นวันอาทิตย์ที่ 17 ก.พ. 56 นัด 9 โมงเช้า
วันที่ 17 ก.พ. 56 เราก็เตรียมตัวออกจากบ้านกะสามีตั้งแต่ 8 โมงเช้า เตรียมสัมภาระ ทานข้าวเช้า แล้วก็ไปพบกะพยาบาลตอน 8 โมงกว่าๆ แจ้งว่ามาผ่าคลอด (โรงพยาบาลรัฐ) พยาบาลก็ถามว่าทำไมถึงจะผ่า เราก็บอกว่าเราครบกำหนดแล้วแต่ยังไม่เจ็บคลอด พยาบาลก็บ่นๆ ว่าหมอทำไมนัดมาวันนี้ ทำไมไม่นัดมาตั้งแต่เมื่อวานจะได้เตรียมผลเลือด มาป่านนี้จะได้ผ่ากันกี่โมง บลาๆๆๆ เราก็คิดในใจ พยาบาลบ่นหมอได้ด้วยวุ้ย
เราเปลี่ยนชุดนอนรอในห้องรอคลอด นอนรอเจาะเลือด ให้น้ำเกลือ ใส่สายฉี่ ได้ยินมาว่าเจ็บมาก แต่พอใส่จริงก็ไม่เจ็บเท่าไร แต่เรากลัวกันมากกว่า พอใส่ แล้วก็นอนรอ วัดชีพจร ตอบคำถามต่างๆ พยาบาลถาม รอๆๆๆๆ จนบ่ายโมงพยาบาลแจ้งว่าห้องผ่าตัดไม่ว่าง เพราะมีผ่าตัดอุบัติเหตุ รอต่อไปๆๆๆๆ วันที่เราผ่ามีอีกคนที่ผ่าวันเดียวกะเรา บ่าย 3 เตียงแรกถูกเข็นไป อีก 15 นาทีต่อมาถึงคิวเราแล้ว ดีใจก็ดีใจ กลัวก็กลัว จะได้เห็นหน้าลูกแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเราจะนอนเฉยๆ ได้ถึง 6 ชั่วโมง
เจ้าหน้าที่เข็นไปห้องผ่าคลอด แล้วก็ย้ายเราไปนอนรถเข็นอีกคันนึง แล้วก็นอนรอ พยาบาลก็มาถามประวัตินู้นนี่นั่น 4 โมงเย็นก็เข็นเข้าห้องผ่าคลอด ย้ายเราขึ้นเตียงผ่าตัด นาทีนั้นเรากลัวมาก เพราะไม่เคยผ่าตัดใดๆเลยในชีวิต แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไปได้ 4 โมงนิดๆ คุณหมอมา ถามว่า “เป็นไงครับ” คุณหมอพูดน้อยจริงๆ 555
พอคุณหมอมาก็เริ่มบล็อกหลัง จับเรานอนตะแคงข้างทำตัวงอ แล้วก็ฉีดยาเข้าที่หลัง ก็ได้ยินมาอีกว่ามันเจ็บมากๆ แต่พอโดนจริงๆ มันก็เจ็บเหมือนฉีดยาทั่วไป แล้วก็จับเราหงายท้อง กางแขน ใส่ที่วัดชีพจรที่นิ้ว ถอดเสื้อ เช็ดแอลกอฮอล์ เตรียมผ่า ช่วงเวลานั้นกลัวสุดใจ กลัวมากๆ มีเจ้าหน้าที่คอยบอกเรา เดี๋ยวจะหายใจแล้วรู้สึกหนักๆนะครับ ตอนนั้นเรารู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก เหมือนกำลังจะตาย เจ้าหน้าที่ก็บอกเดี๋ยวใส่สายอ๊อกซิเจนให้นะครับ เดี๋ยวจะรู้สึกดีขึ้น เดี๋ยวจะกดท้องนะครับ จะรู้สึกจุกๆ นิดนึง ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที 14.26 น. ได้ยินเสียงร้องจ๊ากๆ นั่นไง ออกมาแล้ว เฮ้อ รอดตายแล้วเรา ตอนนั้นคิดยังนั้นจริงๆ แป๊บนึงพยาบาลก็อุ้มลูกมาให้ดู ครั้งแรกที่เห็นหน้าลูก “ลูกใครวะ ทำไมหน้าสั้นจัง ฮา” แล้วก็อุ้มลูกจากไป ด้วยน้ำหนัก 3.50 กิโลกรัม
จากเวลา 4 โมงครึ่ง ถึง 5 โมง เรานอนให้คุณหมดเย็บแผล ได้ยินคุยพยาบาลคุยกันว่าเลือดออกเยอะ ช่วงเวลาที่ผ่า เรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา แต่เราไม่เห็นอะไร เพราะมีผ้าบังสายตาเอาไว้ จินตนาการเองเองล้วนๆ ได้แต่นอนดูนาฬิกา 5 โมงเย็นออกจากห้องผ่าตัด ย้ายจากเตียงขึ้นรถเข็น ย้ายไปห้องพักฟื้นข้างๆ ซึ่งก็อยู่ภายในตึกที่ผ่าคลอด พยาบาลแจ้งว่าคุณแม่เสียเลือดมากนะคะ เดี๋ยวนอนรอดูอาการก่อน อาจจะหนาวๆ เดี๋ยวห่มผ้าให้ ใส่ที่วัดชีพจร แล้วเขาก็เอาท่อที่ใส่ในผ้าให้เรา รู้สึกอุ่นๆ นอนอยู่อย่างนั้นอีก 1 ชั่วโมง ยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ ความเจ็บเริ่มมาเยือน 6 โมงเย็น ย้ายจากรถเข็นขึ้นรถเข็นอีกคัน ดุนเราไปห้องพัก ระหว่างทางที่เข็นเราไปทางมันก็ไม่เรียบ กระเทือนไปตลอดทาง เฮ้อ
พอเข้าห้องพักได้ พยาบาลก็ช่วยกันยกขึ้นเตียง เฮ้อ จะย้ายอีกนานไหมเจ็บแผลมาก พอ 2 ทุ่ม พยาบาลก็เอาลูกมาให้เราที่ห้องพัก จะได้ดูดนมแม่ ลืมบอกไปว่าเรามีปัญหาเรื่องหัวนมสั้น ก็ใส่ที่ช่วยให้หัวนมยาวตั้งแต่รู้ว่าท้อง แต่ก็ช่วยอะไร พอไม่ใส่หัวนมก็กลับไปเท่าเดิม ก่อนที่จะให้ลูกเราดูดเราก็ใช้ที่จุ๊บๆ ให้หัวนมยาวก่อนที่จะให้ลูกดูด นมเราก็ไม่ค่อยออก คุณหมอกะพยาบาลมาดู มาบีบนม น้ำนมมันก็แค่ซึมๆ แต่คุณพยาบาลก็บอกว่ามาแน่ เพราะว่าน้ำนมมันซึมออกมาและ เราก็ให้ลูกดูด ใช้ที่ปั้มมือปั้มบ้าง จะได้ช่วยให้น้ำนมมาเร็วขึ้น เวลาลูกร้องมากๆ ด้วยความสงสารเราก็ให้แม่เราอุ้มไปหาพยาบาล หานมให้ลูกกิน
จนวันที่ 3 เตรียมตัวกลับบ้าน เก็บของ เปลี่ยนเสื้อผ้า รอหมอบอกว่ากลับบ้านได้ แต่เช้านี้เรารู้สึกว่าลูกเราไม่ค่อยร้องกินนมเท่าไร เอาแต่นอนอย่างเดียว พอคุณหมอเด็กมา แล้วก็กดไปที่ตัวลูกเรา คุณหมอบอกว่าเด็กตัวเหลืองให้ตรวจเลือดก่อน ถ้าตัวเหลืองจริงจะต้องส่องไฟ ตอนนั้นเราก็ไม่รู้เรื่องตัวเหลืองอะไรเลย ไม่คิดว่าลูกจะตัวเหลือง ปรากฏว่าค่าผลเลือดลูกออกมาว่าตัวเหลือง เกินไป 0.01 ด้วยความที่เราอยากกลับบ้านพร้อมลูก เราก็ถามพยาบาลว่ากลับได้ไหม เกินมานิดเดียวเอง คุณพยาบาลก็บอกว่ากลับไม่ได้หรอกค่ะ มันเสี่ยง เด็กโตขึ้นอาจมีปัญหาอื่นๆอีก ต้องส่องไฟ เราก็คุยกะพยาบาลว่าอะไรยังไงดี เราจะอยู่ต่อที่โรงพยาบาล หรือจะกลับไปนอนที่บ้าน เราก็คุยกะสามีว่าเราจะกลับไปนอนที่บ้าน แล้วปั้มนมเอามาส่งที่โรงพยาบาลแทน เพราะว่าบ้านสามีก็ไม่ได้ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก
เวลา 12.00 น. ก่อนกลับบ้าน เรา แม่เรา และสามี ลงไปดูลูกที่ห้องส่องไฟ ห้องนี้เขาให้เราได้เฉพาะแม่ วันละ 4 รอบ เช้า กลางวัน เย็น และรอบ 3 ทุ่มนะ ถ้าจำไม่ผิด คุณพ่อให้เข้าได้บ่าย 3 ส่วนญาติอื่นๆห้ามไม่ให้เข้า ด้วยความที่ลูกคนแรก และเพิ่งจะมาห้องนี้เป็นครั้งแรก เราก็ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ เราก็เข้าไปดูลูกเรา จริงๆ แล้วคุณแม่ทุกคนเขาจะต้องเตรียมผ้าคุณหนูมาด้วย ไว้สำหรับห่อเวลาให้ลูกกินนม พยาบาลก็บอกว่าใครมาใหม่ก็ไปยืมผ้าตรงนู้นนะ เตรียมเก้าอี้ ล้างมือ แล้วก็อุ้มลูกมาให้นม เราก็เดินไปข้างในบอกพยาบาลข้างในว่ายืมผ้าขนหนูหน่อย ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไร พยาบาลก็บอกว่าผ้าขนหนูอะไร ไม่มี ใครบอกให้มายืม เราก็บอกว่าพยาบาลข้างนอกบอก แล้วเขาก็ชี้ไปที่ผ้าอ้อม เราก็ดูว่าคนอื่นเขาทำอะไรยังไงกัน แล้วเราก็จะไปอุ้มลูก ภาพแรกที่เห็นทำเราน้ำตาล่วง ลูกเรานอนอยู่ในตู้ส่องไฟ ใส่ผ้าอ้อม เสื้อไม่ใส่ มีผ้าก๊อตและสำลีพันที่ตาไว้ นอนร้องไห้ ภาพแรกที่เห็นมันสะเทือนใจมากๆ เราก็ร้องไห้ออก ด้วยความสงสารลูก พยาบาลก็ดุอีกว่า ร้องไห้ทำไม เดี๋ยวเครียดแล้วน้ำนมก็ไม่มาอีก บ่นๆๆๆ เราก็บอกว่าเราส่งสารลูก อุ้มลูกมานั่งให้กินนม แต่ลูกเราก็ไม่ค่อยกินนม เอาแต่นอน เขี่ยแก้ม เกาเท้าก็แล้ว ก็ไม่ค่อยจะยอมตื่น เวลาลูกลืมตา เราสังเกตเห็นเลยว่าตาลูกเรามันเหลืองมากๆ หมดเวลาเยี่ยม เราก็เดินร้องไห้ออกไปข้างนอก แม่กะสามีก็ถามว่าลูกเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เราก็บอกว่าไม่เป็นอะไร เราแค่สงสารลูกเฉยๆ